ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
ตอนที่ ๘๒๕
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอาริยา ประเทศศรีลังกา
วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ถ้าจะพูดธรรมต้องพูดทีละหนึ่ง ชัดเจนเลย ถ้าจะพูดถึงขณะแรกที่เกิด ใช้คำว่า ปฏิ เฉพาะ สนธิ สืบต่อ จากชาติก่อน หมายความว่าทันทีที่ตาย ที่เราใช้คำว่า ตาย หมายความว่า จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนเกิดแล้วดับ ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ไม่กลับมาเป็นบุคคลนี้ได้เลย และทันทีที่จุติจิต คือจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนที่เราใช้คำว่า ตาย ดับ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้นจิตเดี๋ยวนี้อายุนานเท่าไหร่ สืบต่อมาตั้งแสนโกฏิกัปจนกระทั่งมาถึงวันนี้ขณะนี้ จนกระทั่งถึงพรุ่งนี้ ต่อไปทุกวันทุกวันเป็นอย่างนี้
ผู้ฟัง แล้วเราทำไมไม่รู้อดีต ในเมื่อจุติจิตต่อเนื่องมาถึงปฏิสนธิ
ท่านอาจรย์ ต้องไม่ลืมว่า จิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเปล่าๆ เลย ไม่ว่าจะพูดถึงจิตใด จิตนั้นทำกิจอะไร เพราะฉะนั้นจิตขณะแรกทำปฏิสนธิกิจ ปฏิ-เฉพาะ สนธิ-สืบต่อ จากจิตสุดท้ายของชาติก่อน ตายทันที เกิดทันที ไม่มีอะไรคั่นเลย เป็นคนใหม่แล้ว สิ่งที่เคยรักที่สุด ไม่รู้จักเลย จะรู้จักได้อย่างไรเป็นคนใหม่ ไม่มีอะไรที่จะเหลือมาจากชาติก่อนที่จะเป็นคนนี้ได้เลย เพราะว่ากรรมที่ทำให้เกิด ไม่ใช่กรรมเก่า ที่ทำให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น เพราะสิ้นสุดกรรม กรรมนี่ก็แล้วแต่ จะทำให้มีอายุยืนยาวนานสักเท่าใด จะทำให้ระหว่างที่ยังไม่ตายจะมีการเห็น การได้ยิน แล้วแต่ผลของกรรมหนึ่งกรรมใด เพราะว่ากรรมที่ทำให้เกิด ประมวลมาซึ่งกรรมอื่นๆ ด้วย เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ถ้ามีการได้ฟังได้เข้าใจธรรม ไม่มีปัญญาแต่เกิดเป็นมหาเศรษฐี เป็นพระราชินีอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะว่าไม่มีใครไปบอกให้กรรมทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย แต่กัมมปัจจัย แต่ละคนขณะนี้กำลังฟังธรรม จิตที่เป็นกุศลของแต่ละคนหลากหลาย
เพราะฉะนั้นพอจุติจิตเกิด สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ถ้าเป็นผลของกรรมนี้ที่กำลังฟังธรรมเข้าใจ ก็จะทำให้จิตต่อไปเป็นผลของกรรมนี้เกิดขึ้น สืบต่อมีปัญญาเกิดร่วมด้วยมากน้อยอย่างไร แล้วแต่เหตุ รูปร่างฐานะครอบครัวต่อไปจะเป็นอย่างไร แล้วแต่กรรมอื่นๆ ที่ประมวลมาที่สามารถจะให้ผลในการเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ถ้าเกิดเป็นสุนัข กรรมที่เราได้ฟังธรรมเวลานี้ไม่มีทาง ฟังได้ ได้ยินได้แต่ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นอย่างม้ากัณฐกะ ม้าทรงพระโพธิสัตว์ขี่ออกจากพระราชวัง ตลอดชาตินั้นไม่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมเลย แต่พอม้ากัณฐกะตาย ด้วยความโศกเศร้าที่จะไม่ได้อยู่กับพระโพธิสัตว์อีกต่อไป แต่กุศลนั้นที่สะสมมาแล้วทำให้เกิดเป็นเทวดา เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทพบุตรกัณฐกะซึ่งเคยเป็นม้า ก็มาเฝ้าฟังธรรมได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้นกุศลความเข้าใจที่สะสมไว้ไม่หายไปเลย เหมือนอกุศลสะสมไว้ๆ เพราะฉะนั้นที่เราฟังธรรมวันนี้ ก็คือสะสมไว้ๆ เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อต้องการว่าแล้วเมื่อไหร่เราจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เมื่อเหตุสมควรแก่ผลเท่านั้น ไม่มีใครไปเร่งรัดทำอะไรได้เลย และปัญญาก็ต้องค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับขั้นด้วย เด็กเล็กๆ เพิ่งเกิด จะให้ไปเป็นคุณหมอทำการผ่าตัดหรืออะไรก็ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปัญญาเพียงขั้นฟัง จะให้ไปถึงปัญญาขั้นรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ดับกิเลสถึงความเป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจ ต้องเริ่มเข้าโรงเรียนของเรา โรงเรียนนี้ก็คือธรรม ได้ฟังเมื่อไหร่เข้าใจเมื่อไหร่ ขณะนั้นคือศึกษาธรรม ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเลือกสถานที่ เลือกหัวข้อ เลือกวิชา เพราะเหตุว่าทุกขณะเป็นธรรม ที่สามารถที่จะพูดถึงและก็เข้าใจได้ เมื่อวานนี้คุณหมอทำอะไรบ้าง
ผู้ฟัง ส่วนมากจะนั่งรถเกือบตลอด
ท่านอาจารย์ นั่งรถเห็นอะไรบ้าง
ผู้ฟัง ก็ตามสภาพจริง ก็เห็นทั่วๆ ไป
ท่านอาจารย์ พอเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง
ผู้ฟัง คิดถึงความสวยงาม ธรรมชาติตามหลักทั่วๆ ไป
ท่านอาจารย์ มากมายก่ายกอง เดี๋ยวนี้ไม่เหลือเลย เหมือนชาติก่อนๆ แล้วจะไปจำได้ไหม แค่ชาตินี้เรายังจำไม่ได้ และชาติก่อนเราจะไปเป็นใครที่ไหนทำอะไร ไม่มีทางที่จะจำได้ เพราะเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว ไม่มีความเป็นคนเก่าเหลือเลย
ผู้ฟัง ขอเรียนถามว่าคนเราตายแล้วเกิดทันที สัมภเวสี เป็นจิตที่เกิดแล้วใช่ไหม
ท่านอาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องศึกษาธรรมทีละคำ สัมภเวสีคือผู้ที่ยังต้องเกิดโดยศัพท์ ผู้แสวงหาที่เกิด หมายความว่าโลภะทำให้เรายังต้องเกิด
ผู้ฟัง แสดงว่ายังไม่ได้เกิดใช่ไหม
ท่านอาจารย์ จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ยังไม่ต้องถึงตาย เดี๋ยวนี้จิตเมื่อสักครู่นี้ก็ดับแล้ว และจิตเดี๋ยวนี้ก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นจิตที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ดับเป็นอดีต อนาคตคือเห็นที่ยังไม่ได้เกิด ก็เกิดเป็นปัจจุบัน การเกิดดับสืบต่อนี่เดี๋ยวนี้เลย เร็วมาก เพราะฉะนั้นการที่เราบอกว่าชาติหนึ่งๆ ก็เพียงแต่ว่าแสดงความเป็นบุคคลหนึ่ง ตามที่กรรมทำให้เป็น อย่างบางคนเกิดมาไม่กี่วันก็ตาย แล้วก็ไปเกิดที่ไหนก็ไม่รู้ ก็แล้วแต่กรรม บางคนก็มีอายุยืนยาวมาก แล้วก็จากโลกนี้ไป ก็แล้วแต่กรรม เลือกได้ไหมว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วแต่กรรม เพราะฉะนั้นภาษาไทยที่เราใช้นี่ก็ถูกต้อง ถึงแก่กรรม แต่เราละไว้ไม่พูดให้จบ ถึงแก่การที่กรรมนั้นหมดที่จะให้ผลต่อไป ถึงเวลาที่หมดกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้ก็ต้องเป็นบุคคลอื่น
คำว่า สัมภเวสี ภาษาบาลี ที่แปลโดยศัพท์ว่า ผู้แสวงหาที่เกิด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ไม่เกิด คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์เกิดทุกคน จากโลกนี้ไปแล้วก็ต้องเกิด และอะไรแสวงหา โลภะที่ยังมี เพราะฉะนั้นที่จะไม่เกิดอีก ก็ต่อเมื่อไม่มีโลภะติดข้อง ซึ่งจะไม่ติดข้องได้ ก็ต่อเมื่อไม่มีอวิชชาความไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกคนที่กำลังนั่งที่นี่ เป็นสัมภเวสี เพราะว่ามีโลภะ แล้วก็แสวงหาที่เกิด โดยไม่รู้ตัวว่าโลภะไหน จะพาไปไหน หรือกุศลไหนจะพาไปไหน เพราะว่าถ้าเป็นโลภะก็พาไปสู่อบายภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย นรก แต่ถ้าเป็นผลของกุศล ก็ตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไปถึงสวรรค์เพราะยังไม่ถึงพรหม
คำแต่ละคำที่เราได้ยิน ในพระไตรปิฎกขยายความอีกมาก เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎก เป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งที่จะอ่านศึกษา แต่ต้องด้วยความเคารพอย่างยิ่งที่ว่าไม่คิดเอง แต่ต้องศึกษาละเอียด แล้วก็เข้าใจจริงๆ แม้จะกล่าวว่าคำนี้มาจากคำไหน รากศัพท์เปลี่ยนเป็นอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของสำนวนภาษา แต่ต้องถึงความเข้าใจในอรรถ คือความเป็นอย่างนั้น แล้วก็จะเห็นได้ว่าความเข้าใจทั้งหมด ถ้ามีผู้ที่ได้ศึกษาจริงๆ เข้าใจจริงๆ ถูกตลอด จะไม่มีการไม่สอดคล้องกันเลย ไม่ว่าจะไปพบคำนี้ในสูตรไหน หรือว่าในพระวินัย หรือในพระอภิธรรมกับพระสูตร สอดคล้องกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่มีใครสักคนที่สามารถจะเข้าใจพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด ทั้งสิ้นทั้งปวงได้ เพียงแต่ว่าเข้าใจได้บางส่วน เท่าที่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าพระวินัยก็ละเอียดมากทีเดียว พระอภิธรรมยิ่งละเอียดมาก พระสูตรก็เป็นความละเอียดที่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมจะเข้าใจผิด
ด้วยเหตุนี้การศึกษา ถ้าไม่ศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ เป็นอันตราย เหมือนกับจับงูพิษข้างหาง ซึ่งสามารถที่จะกัดผู้ที่จับได้ แต่ถ้าผู้ใดก็ตาม ศึกษาเพื่อเป็นที่พึ่งให้เราเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถึงการดับกิเลสได้จริงๆ เพราะถ้าประมาทเข้าใจผิดเลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ยิน ใครพูดไม่สำคัญเลย ถูกไหม เป็นเหตุผลไหม จริงไหม ตรงไหม ถ้าตรงก็คือว่าคำนั้นเป็นคำที่ถูกต้อง และสามารถที่จะทำให้เข้าใจถูก เมื่อได้สอบทานกับพระไตรปิฎกและอรรถกถา เช่น คำว่า สัมภเวสี ถ้าเราได้ยินได้ฟังมาอย่างอื่น เข้าใจอย่างอื่น ก็ไม่ใช่คำที่ถูกต้อง แต่เมื่อได้ฟังคำที่สามารถเข้าใจได้ เราเกิดมาทุกคนแสวงหาหรือเปล่า เห็นไหม แสวงหาตั้งแต่เช้าเลย ก็ไม่รู้ ตื่นมาก็แสวงหาแล้ว ห้องน้ำอยู่ไหน แปรงสีฟันอยู่ไหน อาหารอยู่ไหน อะไรอยู่ไหน ยังแสวงหามากกว่านี้อีก เพราะฉะนั้นสัมภเวสี เพราะยังแสวงหาจึงยังต้องเกิดอยู่ ถ้าจะไม่เกิดคือดับโลภะ ดับกิเลสทั้งหมดไม่เหลือเลย แต่ถ้าตราบใดไม่รู้ก็ต้องแสวงหา กำลังแสวงหาด้วย
ผู้ฟัง สังเกตได้ว่าเวลาคนตาย พวกลูกหลานต่างๆ ภายใน ๓ วัน ๗ วัน วิญญาณของผู้ที่ตาย ก็ยังมาเวียนว่ายอยู่ บางคนเห็น บางคนก็ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ แล้วตอนที่ยังไม่ตาย เวียนว่ายหรือเปล่า พอเห็น แล้วก็ได้ยิน แล้วก็ได้กลิ่น ก็เวียนว่ายอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ เพราะฉะนั้นคำว่าสังสาระหมายความถึงการเกิดดับสืบต่อ จะใช้คำภาษาบาลีอะไรก็ได้ อายตนะอะไรก็ได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้จิตเห็นเกิดและดับเร็วมาก จิตที่เกิดต่อ เพียงขณะเกิดต่อไม่เห็น แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ได้ เหมือนเรานึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเราไม่เห็นได้ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดก่อนจิตเห็นเพียง ๑ ขณะก็ไม่เห็น เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น ๑ ขณะแล้วดับ จิตที่เกิดต่อไม่เห็น เพราะฉะนั้นจิตแต่ละ ๑ ขณะ แสดงกิจไว้ให้ไม่เข้าใจผิดในความเป็นอนัตตา และขณะนี้ก็กำลังเกิดดับวนเวียนเป็นสังสาระ ไม่ได้หยุดเลย จากเห็นมาเป็นได้ยิน มาเป็นคิดนึก มาเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าตายแล้วถึงจะไปเกิดวนเวียน เดี๋ยวนี้จิตเกิดดับ ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง สลับไป พอเห็นแล้ว หลังจากนั้นคิดทันทีเลย ได้ยินแล้วก็คิดทันที ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน
ผู้ฟัง แต่คนที่ตายไปแล้ว ก็ไม่เห็น จิตนึกคิด
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนคุณหมอ เมื่อสักครู่นี้เราเพิ่งพูด จิตสุดท้ายของชาตินี้ที่เราเรียกว่า ตาย เกิดทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้แล้วดับ จะเป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย แต่จิตอื่นเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นโดยกรรมเป็นปัจจัย ทำให้จิตนั้นเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ใช้คำว่าปฏิสนธิจิต ดับแล้วจะทำปฏิสนธิกิจอีกไม่ได้ เพราะจิตนี้เขาเฉพาะต่อจากจิตสุดท้ายของชาติก่อนเป็นจิตประเภทเดียวกัน เป็นผลของกรรมประเภทเดียวกัน แต่ทำกิจต่างกัน กิจปฏิสนธิต้องสืบต่อจากจุติเท่านั้น แล้วก็ดับ แต่กรรมก็ไม่ได้ทำให้สิ้นสุดเพียงแค่นั้น ยังทำให้จิตประเภทเดียวกัน ผลของกรรมเดียวกัน เกิดสืบต่อ แต่ไม่ได้ทำกิจนั้น แต่ทำภวังคกิจ ภวังคกิจหมายความว่า ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ไม่คิดนึก ไม่อาศัยทาง ๖ ทาง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าทวาร ทวาระ ไม่อาศัยตาเป็นทางเห็น ไม่อาศัยหูเป็นทางได้ยิน ไม่อาศัยจมูกเป็นทางได้กลิ่น ไม่อาศัยลิ้นเป็นทางลิ้มรส ไม่อาศัยกายเป็นทางรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่อาศัยใจคิดนึกเรื่องที่ได้เห็นแล้วได้ยินแล้ว เมื่อไม่เป็นจิตต่างๆ ที่ทำกิจเหล่านั้น จึงทำภวังคกิจ มาจากคำว่า ภว กับ อังคะ ดำรงภพชาติ เหมือนขณะที่หลับสนิทเลย ขณะที่หลับสนิทกับขณะที่ปฏิสนธิเหมือนกันเลย และก็จุติก็เหมือนกับขณะที่เป็นภวังค์หลับสนิท กับปฏิสนธิเหมือนกันเลย เป็นจิตที่เป็นผลของกรรมเดียวกัน แต่ทำกิจต่างกัน เมื่อกรรมนั้นสิ้นสุด จึงจะทำจุติกิจได้ คือเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แต่ถ้ากรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ต่อจากปฏิสนธิก็ต้องเป็นภวังค์
เพราะฉะนั้นเราหลับแล้วตื่น ระหว่างหลับเป็นภวังค์ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ แต่พอหลับแล้วตาย ภวังคกิจแล้วก็จุติกิจ แล้วก็ปฏิสนธิกิจ สั้นมาก ๑ ขณะ พอภวังค์แล้วก็เป็นจุติ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น ปฏิสนธิเกิดสืบต่อทันทีเป็นคนใหม่ จำคนเก่าไม่ได้เลย สิ่งที่เคยเป็นที่รักที่สุดไม่เหลือเลย ไม่รู้จัก ใครก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรตามไปได้เลย แม้แต่ความพึงพอใจผูกพันในใคร แต่พอต่างภพต่างชาติ ไม่รู้จัก จะยังไปผูกพันอยู่ได้อย่างไร ไม่ว่ามารดากับบุตร บิดากับบุตร มิตรสหาย สามีภรรยา บุตรธิดา ก็เป็นอื่น เพราะว่าเขาไม่ใช่คนเก่า ไม่เหลืออะไรเลยทั้งสิ้น เป็นคนใหม่ ไม่รู้จักกันก็ได้ อย่างเราทุกคนนี่เคยรู้จักกันมาก่อนชาติหนึ่งชาติใดได้แน่นอน แต่พอมาเปลี่ยนเป็นแต่ละบุคคล และก็ใหม่หมดเลย รู้จักกันก็รู้จักใหม่
เมื่อวานนี้เราก็มีการบูชาใหญ่เท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่จะระลึกถึงดินแดนแห่งนี้ ซึ่งสืบทอดพระธรรมโดยตรงจากประเทศอินเดีย ซึ่งในครั้งนั้นก็ชื่อว่า ชมพูทวีป ซึ่งไม่ได้หมายเฉพาะประเทศอินเดียเท่านั้น แต่เป็นที่ที่เหมาะแก่การที่จะได้ตรัสรู้ หลังจากที่พระพุทธเจ้าถึง ๓ พระองค์แล้ว ได้ตรัสรู้มาก่อน พระองค์นี้ก็เป็นพระองค์ที่ ๔ ซึ่งจะเหลืออีกพระองค์เดียว คือ พระศรีอริยเมตไตย จะคอยหรือไม่คอย แต่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ไม่มีทาง เหมือนกับที่ได้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วมากมายหลายพระองค์ แต่ก็คอยมาก่อนหรือเปล่า หรือไม่เคยคอยเลย หรือไม่เคยฟังธรรมเลย แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้ยินแต่พระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำนี้ไม่ใช่สำหรับให้เพียงจำได้ กราบไหว้ บูชา แต่ไม่เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นโอกาสซึ่งทุกคนไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่า จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะว่าก่อนที่จะปรินิพพาน พระองค์ก็ได้ตรัสไว้ว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม คือทุกขณะ แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังธรรม ถ้าฟังด้วยความเข้าใจ ด้วยการเห็นพระคุณ ที่สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ว่าจะเล็กน้อยสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็เป็นความเห็นถูกที่มั่นคง ที่จะทำให้ไม่ไปในทางที่ผิด และก็เป็นการที่จะได้เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่รูปที่เรากราบไหว้ ไม่เหมือนเลยด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งพระรูปกาย แล้วก็ปัญญาของคนที่เข้าใจว่ามีก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม จะรู้ได้เลยว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้ไม่ฉลาด เป็นผู้ที่สะสมมาไม่เห็นคุณค่าของการที่จะได้เข้าใจ แม้แต่เพียงหนึ่งคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น คำว่าธรรม ขณะใดก็ตามที่มีการเข้าใจถูกว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ปัญญาของใครสามารถที่จะค้นคว้า ไตร่ตรองด้วยตัวเองจนกระทั่งรู้ได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่มีจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริงคืออะไร
เพราะฉะนั้นประมาทธรรมเพียง ๑ คำก็ไม่ได้ และเมื่อมีความเข้าใจแล้ว เห็นพระคุณทันที ถ้าไม่มีการทรงแสดงพระธรรมจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะมีโอกาสได้เข้าใจความหมายของคำว่า ธรรม ในภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษามคธี เพราะเหตุว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ต้องไตร่ตรอง แล้วก็ตรงต่อคำที่ได้ฟัง ต้องเป็นสัจจบารมี เมื่อได้ฟังแล้วก็ตรงต่อความจริง เพื่อที่จะได้มีบารมีอื่นต่อไป เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีวิริยบารมี ฟังเพื่อเพียรที่จะสามารถไม่ว่าเมื่อใดก็ตามแต่มีโอกาสที่จะได้ฟังอีก เพราะเหตุว่าการได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้งไม่ใช่บังเอิญ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครก็จะมาได้ฟังธรรม แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี พร้อมทั้งเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดมีขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย บังเอิญบ้าง โชคดีบ้าง อะไรบ้าง แล้วก็เข้าใจว่าถูกต้อง แต่ความจริงแม้แต่หนึ่งที่ปรากฏ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่สมควรที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่มีคำว่าบังเอิญ
เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วจะรู้ว่า เป็นคนไม่รู้มานานแสนนาน จนกว่ามีโอกาสจะได้ฟังพระธรรมด้วยความไม่ประมาท ในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่นี้ก็รู้แล้ว ห่างไกลกันเกินฟ้ากับดิน ซึ่งแสนไกล ฝั่งนี้กับฝั่งโน้นของมหาสมุทร เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นผู้ฉลาด หรือเป็นผู้มีปัญญา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า จากการที่ได้ยินได้ฟังธรรม ประโยชน์สูงสุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้แต่ละคนที่ได้ยินได้ฟังพิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็มีความเข้าใจของตนเอง ถ้าฟังแล้วจำ สวดมนต์เก่ง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่าไม่ใช่พุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี โดยความเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งบำเพ็ญบารมี ไม่ใช่เพียงถึงความเป็นสาวกหรือถึงความเป็นปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าไม่ได้สามารถที่จะทำให้คนอื่นถึงการที่จะรู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่าพระธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง และพระธรรมที่ลึกซึ้ง ก็คือแต่ละคำที่จะได้ยินเรื่อยๆ ไป ตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟัง แล้วก็ไม่ละเลย ไม่ประมาท เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า วงศาคณาญาติ ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ของเรา เพราะเหตุว่าเกิดคนเดียว แล้วก็ตายคนเดียว แล้วก็อยู่ในโลกทุกวันนี้ เห็นคนเดียว ได้ยินคนเดียว ได้กลิ่นคนเดียว ลิ้มรสคนเดียว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสคนเดียว คิดนึกคนเดียว เพราะฉะนั้นแต่ละคนแต่ละใจ ขณะนี้กำลังคิดนึก ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความคิดของใครได้
เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม สิ่งที่มีจริงไม่ลืมเลย ต้องมั่นคงว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ก็เป็นเพียงสิ่งที่เราคิด มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ว่าเวลาที่รู้ว่าสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มี สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมที่จะให้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมว่าทุกคำกำลังมี และสามารถที่จะเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดงว่า เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เมื่อเกิดแล้วต้องดับไป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
