ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807


    ตอนที่ ๘๐๗

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เหตุการณ์ผ่านมา ๒,๕๐๐ กว่าปี ก็ได้ยินคำว่าขันธ์ และถ้าอยู่ ณ ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสถาม คงจะตอบว่าไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ แต่ความรู้เท่ากับผู้ที่เป็นพระโสดาบัน พอฟังพระสูตรนี้ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า เพราะฉะนั้นความรู้ต่างระดับกันมาก แม้แต่จะพูดว่า รูปขณะนี้เกิดดับ เข้าใจได้ แต่ปัญญาไม่ถึงการที่จะรู้ยิ่งกว่านี้ จนกระทั่งสามารถที่จะกล่าวได้ว่า รูปไม่เที่ยง

    เพราะฉะนั้นโดยยอดก็คือว่า ผ่านไป เข้าใจเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าจะเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้อง มั่นคง ไม่เปลี่ยน ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิดในพระพุทธพจน์โดยคิดเอง ก็ต้องขอทบทวนข้อความโดยละเอียด ขอเชิญคุณอรรณพ

    อ.อรรณพ ในข้อ ๑๒๗ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปมิใช่ตัวตน หากรูปนี้จะเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ ขอได้หรือไม่

    อ.อรรณพ ขอไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ รูปต้องเป็นอย่างที่เป็น ไม่ให้ปวดฟันได้หรือไม่ ไม่ให้ฟันหักได้หรือไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยชัดเจนอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เราเลยสักอย่าง แล้วก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา จนกว่าผู้มีพระภาคตรัสถามคือ ตรัสเตือนให้พิจารณา ให้เริ่มเข้าใจให้ถูกต้องจริงๆ ที่เคยคิดว่า เป็นของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ ความจริงก็คือว่าไม่ใช่ของเราเลยสักอย่างเดียว ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นในข้อแรกคือข้อ ๑๒๗ ก็รวมความว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน เพราะถ้าเป็นตัวตนแล้ว จะสามารถขอให้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือขันธ์ทั้ง ๕ เป็นได้อย่างใจชอบ ก็เป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ ขอ รูปขอไม่ได้ เวทนาคือความรู้สึก ขอได้หรือไม่ อย่าเสียใจ หรือบางคนอยากจะดีใจ ขอให้ดีใจมากๆ ได้หรือไม่ ก็ไม่ได้เลย นี่ก็คือชีวิตประจำวัน ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เอง บังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง มิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคก็ตรัสรวมไปเลยว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นสังขารธรรม มีปัจจัยเกิดขึ้นดับไปไม่เที่ยง ไม่พอที่จะรู้ความจริงว่า แต่ละหนึ่งๆ ซึ่งไม่รู้เลยที่หลงเข้าใจว่าเป็นเราในแต่ละวัน ค่อยๆ พิจารณาว่า รูปไม่เที่ยงแน่ๆ แต่รักรูปมากใช่หรือไม่ ทะนุถนอมรูปมากใช่หรือไม่ ติดข้องในรูปว่าเป็นของเรามากใช่หรือไม่ เมื่อไรปัญญาจะรู้ว่ารูปไม่ใช่ของเรา รูปไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นจะทะนุถนอมอย่างไร รูปก็ต้องเป็นอย่างที่รูปจะต้องเป็น ความรู้สึกก็เหมือนกันใช่ไหม จากวันหนึ่งๆ เราติดข้องในรูป เพราะเราต้องการความรู้สึกเป็นสุขจากรูป ทั้งหมดเลย ทำไมต้องมีดอกไม้สวยๆ มีอาหารอร่อย ทั้งหมดเพื่อความสุข ซึ่งเกิดจากรูป หรือเกิดจากอะไรก็ตามแต่ สิ่งที่ชาวโลกเมื่อเกิดมาแล้ว และต้องมีความรู้สึกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ต้องการที่สุดคือต้องการความสุขจากสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นลืมคิดอีกแล้ว ว่าแค่สุขนิดเดียวและสิ่งนั้นก็หมด แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ทุกข์มากก็คือว่าเป็นที่ตั้งของความยึดถือมากขึ้นๆ จนกระทั่งสามารถที่จะเปลี่ยนจากสุขเป็นทุกข์ได้ เพราะความต้องการสุข แต่เมื่อไม่ได้สุขอย่างใจก็เป็นทุกข์

    เพราะฉะนั้นบังคับบัญชาไม่ได้ ความสุขก็ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นต้องไม่ใช่พูดรวมๆ ไป แยกให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมคือพูดเรื่องขันธ์ คือเดี๋ยวนี้เป็นขันธ์ พูดเรื่องความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน ก็กำลังมีปรากฏ แต่ลืม ลืมว่าเมื่อสักครู่ต้องการความรู้สึกสุขจากอะไร จากอาหารอร่อย ใช่หรือไม่ ทั้งหมดเลย ไม่ว่าต้องการอะไรจากรูป ต้องการสิ่งที่น่าพอใจที่ทำให้รู้สึกเป็นสุข เกิดมาก็ติดข้องแสวงหาสุข ลืมว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา ทุกขณะที่เกิดขึ้นก็ต้องหมดไป

    อ.อรรณพ จะขอจำดีๆ ได้หรือไม่ เลือกจำสิ่งที่น่าจำ ประทับใจดีๆ

    ท่านอาจารย์ ทุกคนที่ฟังธรรมตอบได้หมดเลย แต่ลืมก็เลยถาม เลยคิดนิดหน่อย แต่อาจจะเพื่อให้คนอื่นเข้าใจขึ้น ว่าเลือกได้หรือไม่ ไม่อยากจำเรื่องที่น่ากลัวเลย จะจำหรือจะลืมดี ไม่อยากจำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงความไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นจะเลือกจำ หรือจะเลือกลืมก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมทั้งหมด นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากว่าจะเข้าใจแต่ละคำของพระธรรม เพื่อให้เรารู้ถูกตามความเป็นจริง ซึ่งหลงไม่รู้ไ ม่เข้าใจ นานแสนนานมาแล้ว แล้วก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งยิ่งขึ้น

    อ.อรรณพ พระธรรมมีคุณค่ามหาศาลในชีวิตประจำวันเราจริงๆ เพราะบางสิ่งที่อยากจะจำ บางครั้งก็ลืม ก็คือไม่ได้มีกำลังของความจำนั้น

    ท่านอาจารย์ แต่ความเป็นตัวตน ก็อยากจะจำว่า ขณะนี้เป็นธรรม เห็นหรือไม่ สำเร็จไหม ฟังแล้วว่าเป็นธรรมทุกอย่าง ควรอย่างยิ่งที่จะไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้จำ ไปจำว่าเป็นคนนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะกำลังของปัญญาไม่พอ ให้ทราบว่าสภาพธรรมที่ตรงกันข้าม ความไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ แต่ความรู้สามารถจะรู้ทุกอย่าง ไม่เว้นเลย ไม่ต้องหนีไปอยู่ป่าไกลๆ ไม่ต้องไปที่ไหน เมื่อเป็นปัญญาแล้ว สามารถที่จะรู้ความจริงทุกอย่าง ที่กำลังปรากฏ เมื่อได้เป็นปัญญาที่อบรมแล้ว แต่ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นอยากจะจำว่าเป็นธรรม อยากจะจำว่าความรู้สึกขณะนี้ไม่ใช่เรา อยากจะจำว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่สำเร็จ เพราะเหตุว่าสะสมความจำว่าเป็นเรามานานมาก หนทางเดียวคือ ค่อยๆ เข้าใจถูก จำถูกแทนจำผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา

    อ.อรรณพ ไม่ได้แน่นอน เพราะว่าพระองค์ตรัสไว้อย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญามิใช่ตัวตน หากสัญญานี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ และทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ เรื่องรูป อาพาธคือป่วยไข้ได้เจ็บคงไม่สงสัย แล้วสัญญาจะอาพาธอย่างไร

    อ.อรรณพ เป็นความจำที่ไม่ดี ความจำในความสยดสยอง

    ท่านอาจารย์ หรือในความเป็นตัวตน อกุศลเกิดเมื่อไร ทั้งจิตและเจตสิกเป็นอกุศลทั้งหมด อาพาธแล้ว ป่วยหนักด้วย แล้วแต่จะป่วยระดับไหน เพราะฉะนั้นทุกคนที่กำลังนั่งสบายๆ ความป่วยไข้ของนามธรรม สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏ หารู้ไม่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงเห็นความป่วยไข้อย่างหนัก ของผู้ที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ และยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นคนป่วยก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นคนป่วย

    เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่า จิตหรือสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ นามธาตุป่วย หนักหนายิ่งกว่ากาย เพราะเหตุว่ารูปรักษาได้ เป็นแผลรักษาได้ ทำได้ทุกอย่าง แต่ใจเป็นทุกข์อะไรจะรักษา ยาที่ประเสริฐสุดมี พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ดีแล้ว แต่ไม่ยอมรักษาก็มี จริงหรือไม่ อกุศลไม่ดี โกรธไม่ดี พูดไม่ดี แต่ก็พูด สะใจ บางคนก็ว่าอย่างนั้น แล้วพูดทำไม อาพาธหรือเปล่า ขณะนั้นเป็นโรค เป็นไข้ เดือดร้อนที่จะต้องเป็นอย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลย กลับพอใจที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอวิชชากับวิชชา ห่างไกลกันมาก อยู่ร่วมกันไม่ได้เลย

    อ.อรรณพ ไม่ใช่อาพาธแค่รูป ความรู้สึกก็ดี ความจำก็ดี เป็นอกุศล ขณะนั้นก็อาพาธมาก เป็นความเสียหายของจิตใจ เป็นอกุศลสัญญา เป็นสัญญาวิปลาสในอกุศลต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าเป็นโรคจิตอยู่ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ อาการหนัก ถ้าไม่ฟังธรรมจะรักษาได้อย่างไร ก็เห็นอาการหนักของคนที่เป็นโรคอกุศลกันมากมายอยู่ตลอดเวลา โดยตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังเป็นอกุศล

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างสังขาร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่กล่าวถึงความรู้สึก กับการเห็น การได้ยิน วันหนึ่งๆ มีอะไรอีกหรือไม่ นอกจากสภาพจำ จำได้ว่านี่อะไร นอกจากรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์แล้ว นอกจากเห็น นอกจากได้ยิน คิดนึกแล้ว ไม่มีอะไรเลยหรือในชีวิตวันหนึ่งๆ

    อ.อรรณพ มีความคิดนึก

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย ที่เหลือ คิดอะไรบ้าง

    อ.อรรณพ ความคิดนึก ความพอใจ ความอะไรต่ออะไร

    ท่านอาจารย์ คิดอะไร เห็นหรือไม่ กุศลและอกุศลคิด ห้ามคิดไม่ได้เลย เห็นแล้วควรจะหมด ดับแล้ว แต่คิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ด้วยโลภะ ความติดข้องหรือความขุ่นเคือง ที่กล่าวอย่างนี้ก็หมายความว่า ธรรมมีมาก แต่ธรรมที่เกิดกับใคร คนนั้นรู้ ไม่ใช่คนอื่นไปรู้ธรรมที่เกิดกับคนอื่นได้ ด้วยเหตุนี้วันหนึ่ง เมื่อสักครู่นี้เอง ติดข้องในอะไรบ้างหรือเปล่า ท่าน้ำมีลมพัดเย็นสบาย แค่นั้น

    เพราะฉะนั้นนอกจากความสบาย นอกจากความจำ ก็ยังเป็นความชอบ เพราะฉะนั้นสิ่งอื่นนอกจากการจำ สภาพที่จำและสภาพที่รู้สึก ที่เหลือทั้งหมด เป็นสังขารขันธ์ ถ้าไม่กล่าวถึงจิตก็เป็นสังขารขันธ์ คือเจตสิกอีก ๕๐ แต่ละหนึ่ง ประมาณไม่ได้เลย เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าเป็นอกุศล อาพาธเพราะขณะนั้นป่วย เพราะว่ามีกิเลส ซึ่งกิเลสก็เป็นโรคเป็นภัยอย่างยิ่ง แล้วธรรมฝ่ายดีเป็นไปเพื่ออาพาธอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็นึกแล้วว่าจะต้องถาม ธรรมไม่เที่ยง เกิดและดับไป เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไร ที่จะมีสิ่งซึ่งเกิดและดับไม่รู้จบ ไม่มีวันจบ เพราะเหตุว่ายังมีเหตุที่ดี ที่เป็นกุศล ที่จะทำให้ต้องเกิดดีๆ แต่ไม่เที่ยง เกิดเป็นเทพ อายุเท่าไร นับไป เกิดเป็นพรหมอายุยืนกว่าเทพอีก นับไป แต่ละขั้นของรูปพรหม เกิดเป็นอรูปพรหมนานเท่าไร นับไป แต่ไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ เป็นทุกข์หรือเป็นสุข สิ่งใดที่อาพาธจึงเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่

    เพราะฉะนั้นการคิด การเข้าใจธรรม ต้องตามลำดับขั้นของปัญญา เพราะฉะนั้นขณะกำลังฟังอย่างนี้ เราไม่พูดถึงอย่างอื่น เพราะเหตุว่ากำลังเริ่มที่จะเข้าใจ แต่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจก็ต้องเพิ่มขึ้น เห็นโทษเพิ่มขึ้น มิเช่นนั้นก็จะไม่มีพระอริยสาวกตามลำดับขั้น คือมีพระโสดาบัน ดับกิเลสคือความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ดับวิจิกิจฉา สงสัย เป็นไปได้หรือว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับ แต่ฟังธรรมแล้วยังสงสัยหรือ ถ้าเห็นไม่ดับ จะมีได้ยินหรือ จะมีคิดนึกหรือ ในเมื่อเห็นก็ไม่ใช่คิด ได้ยินก็ไม่ใช่คิด ขณะใดที่คิด ขณะนั้นไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นจะอยู่ไหน ขณะที่คิดเกิดขึ้น ก็ต้องดับไปแล้ว

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังอย่างมั่นคง แล้วไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วไม่ดับหรือ ก็ต้องดับทั้งหมดเสมอกันหรือไม่ในความไม่ใช่เรา ในความไม่ใช่ของเรา ในความเป็นเพียงธรรม ซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นและดับไป จะดีชั่วอย่างไรก็แค่เกิดเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป แต่ผลหลากหลาย ตามระดับขั้นของสภาพธรรมนั้นๆ ว่าสภาพธรรมฝ่ายไม่ดี ไม่ดีระดับไหน จะทำให้เกิดผลระดับไหน สภาพธรรมที่ดีงามระดับไหน จะทำให้เกิดผลที่ดีงามระดับไหน แต่ทั้งหมดก็คือว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เมื่อยังเกิดอยู่ก็ต้องดับ เกิดดับอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นปัญญาจึงค่อยๆ เห็นความอาพาธ ความเป็นทุกข์ ความไม่เที่ยง ความไม่รู้ เพราะกิเลสแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นโทษ

    อ.ธิดารัตน์ อาพาธในที่นี้ หรือความป่วยไข้ในที่นี้ ถ้าละเอียดลงไปคือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นทุกข์ เพราะทนอยู่ไม่ได้และต้องดับด้วย ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ โดยทั่วไปใช้คำว่า อาพาธ หมายความว่าเป็นโรคภัย เจ็บไข้ได้ป่วย ใช่หรือไม่ แล้วสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ร่างกาย เจ็บป่วยเมื่อไร หรือไม่เจ็บป่วยเลย

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงความรู้สึกเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าเราพูดถึงอาพาธ เป็นสุขหรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ ไม่สุข

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอาพาธเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ เป็นสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เดือดร้อน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นการเกิดแล้วเดือดร้อนหรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ เกิดแล้วก็นำมาซึ่งทุกข์

    ท่านอาจารย์ แล้วโดยเฉพาะถ้ามีความเข้าใจทุกอย่างดีหรือชั่ว เกิดแล้วดับ เสมอกันหมด ไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นเป็นทุกข์เหมือนกันหรือไม่ เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน แต่สภาพธรรมหลากหลาย ก็เป็นสิ่งซึ่งจะทำให้เกิดผลหลากหลาย แต่ลักษณะที่เกิดดับเหมือนกันหมด ไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมค่อยๆ เข้าใจ และไตร่ตรอง และก็รู้ว่าปัญญา ความเข้าใจถึงระดับไหน ทุกคนรู้ตัวเอง กำลังฟังธรรมเข้าใจ ระดับไหน ปริยัติหรือไม่ เพราะปริยัติ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่ต้องฟัง เข้าใจถึงที่สุดในคำนั้น เช่นคำว่า ธรรม สิ่งที่มีจริง ถึงที่สุดว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่มีจริงๆ ชั่วคราวที่เกิดขึ้นและดับไป

    เพราะฉะนั้นจริงเฉพาะตอนที่ปรากฎว่ามี หลังจากนั้นคือไม่เหลืออีกเลย ลวงหรือไม่ แม้แต่การที่จะเข้าใจคำว่า เท็จ ก็หลากหลาย ตั้งแต่เริ่มอะไรเท็จ อะไรจริง แม้นามรูปก็เท็จ เห็นหรือไม่ ปัญญาต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่เราจะไปพูดถึงทั้งหมดทีเดียวได้ ในเมื่อเพียงแต่เริ่มฟัง และเข้าใจแค่ไหน ยังไม่ได้เข้าใจอย่างมั่นคงเลย ก็อย่าไปทำอย่างอื่น ให้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมั่นคงก่อน แล้วค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งมั่นคงขึ้นเป็นสัจจญาณ ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อไรในความไม่ใช่เรา ปัญญาแค่นี้ อยากมีปัญญามากๆ หรือไม่ ถ้าไม่อยากจะมีคำถามหรือไม่ว่า ทำอย่างไรจะมีปัญญามากๆ นั่นแสดงว่าอะไร อยากแล้ว แล้วเหตุผลเป็นอย่างไร ปัญญาแค่นี้แล้วจะให้มากถึงระดับไหน โดยวิธีไหน โดยไม่เข้าใจเลย แต่พยายามพากเพียรไปทำให้เกิดขึ้น จะเป็นปัญญาหรือ ก็เป็นตัวตน

    เพราะปัญญาต้องเป็นความเข้าใจถูก และสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ มีมาก เดี๋ยวนี้ก็มาก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ คิดนึก สุขทุกข์ ทั้งหมดไม่เคยรู้ตามความเป็นจริงเลย จนกว่าปัญญาอีกขั้นหนึ่งคือ ปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่า ปฏิบัติ จะเกิดขึ้นเพราะได้เข้าใจในพระพุทธพจน์ โดยรอบรู้ทีละคำ มั่นคงจริงๆ เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะที่ได้เข้าใจแล้วเกิดขึ้น รู้สิ่งที่กำลังปรากฎเดี๋ยวนี้ตรงตามที่ได้เข้าใจ ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลย ทำก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ความอยากไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้จริงๆ เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่จากไปไหนเลย ไม่ว่าอะไร เมื่อไร เขาอยู่นั่น แต่ใครจะเห็น ปัญญาเท่านั้นที่รู้ ถ้าปัญญาไม่รู้ ไม่มีทางละแน่นอน แสดงให้เห็นว่าปัญญาต้องมากระดับไหน จึงสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฎ ไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่มีหนทางอื่นเลย แต่โลภะ ความติดข้องต้องการไม่ไปไหนเลย ไม่จากสิ่งนั้นก็มาสู่สิ่งนี้ ไม่จากเรื่องนั้นก็จากเรื่องนี้ สังเกตได้จากคำที่ขณะนั้น เพราะต้องการหรือเพราะอยาก แต่ลืมว่าอยากอย่างไรก็ต้องค่อยๆ ฟังไป และรู้ได้เลยว่า ต้องเข้าใจ ใครจะมาวัดความเข้าใจของใครได้ นอกจากบุคคลนั้นเอง บุคคลนั้นเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตรง รู้แค่ไหนคือแค่ไหน แล้วรู้จากไหน ก็ต้องรู้ว่าจะรู้ขึ้นอีกได้เพราะอะไร

    อ.อรรณพ ข้อต่อไป เป็นข้อที่สองของพระสูตรนี้ หรือข้อที่ ๑๒๘ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ซึ่งพระภิกษุก็คือท่านพระปัญจวัคคีย์ ท่านก็กราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า แล้วพระองค์ก็ทรงถามว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า พระปัญจวัคคีย์ตอบว่า เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงว่า สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นตัวตนของเรา ภิกษุก็ทูลว่า ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย กราบเรียนท่านอาจารย์กล่าวถึง รูปไม่เที่ยง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้รูปใดกำลังปรากฎ เห็นหรือไม่ ที่จะเข้าใจความต่างของผู้ที่ได้อบรมปัญญาแล้วกับผู้ที่เพิ่งจะได้ฟัง รูปหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ขณะนี้แข็งปรากฏที่กายบ้างหรือไม่ ที่กายไม่ใช่ว่า เย็นร้อน อ่อนแข็ง จะเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่กายบอกว่าฉันเจ็บ ผิดแล้ว ใช่หรือไม่ กายไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ ไม่ว่าจะภายในภายนอก เป็นสิ่งที่กำลังมีชีวิตอยู่หรือเป็นซากศพก็ตามแต่ ศพก็คือกายที่ไม่มีจิตเกิด แต่กายที่ยังมีชีวิตอยู่ หมายความว่ามีธาตุรู้เกิดที่รูปนั้น รูปนั้นจึงเป็นรูปที่ทรงชีวิต แล้วก็เป็นรูปที่เกิดจากกรรมด้วย ถึงจะเป็นรูปที่ต่างจากรูปอื่น ซึ่งไม่เกิดจากกรรม

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ แข็งมีหรือไม่ ที่กำลังปรากฏ มีคนจับ จับแล้วต้องแข็งปรากฏ แต่เดิมเข้าใจว่า แข็งมีอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า มีอยู่แล้วตลอดเวลาเข้าใจว่าอย่างนั้น ลืมอีกแล้ว สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีการดับเป็นธรรมดา และถ้ากำลังมีปรากฏให้รู้ว่ามี ไม่ดับได้หรือ สิ่งที่กำลังปรากฏว่ามี แม้แข็งแค่นี้ นิดเดียว ก็หมายความว่าแข็งนั้นต้องเกิด ไม่เกิดจะปรากฏว่าเป็นแข็งได้อย่างไร แต่ก็ลืม ไปจำไว้ว่าเรามีร่างกายตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า เพราะฉะนั้นกำลังกระทบแข็งตรงไหน ก็เข้าใจว่านั่นคือร่างกายของเรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    31 พ.ค. 2568