ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797


    ตอนที่ ๗๙๗

    สนทนาธรรม ที่ เซอร์เจมส์ รีสอร์ท จ.สระบุรี

    วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    อ.คำปั่น ซึ่งการเกิดในสวรรค์ เป็นผลของกุศลกรรม เป็นผลของความดี รวมไปถึงการเกิดเป็นมนุษย์ด้วย ก็เป็นผลของความดี แต่ถ้าเกิดในอบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์นรกเกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นผลของอกุศลกรรม ในสมัยพุทธกาลมีครอบครัวหนึ่ง มีคนอาศัยอยู่ ๔ คน ๑ พ่อ ๒ แม่ ๓ ลูกชาย ๔ ลูกสะใภ้ ผู้เป็นพ่อเป็นพ่อค้าขายข้าว ก็มีความโลภอยากได้กำไรมากๆ ก็เอาข้าวปนกับดินแดงเพื่อให้มีน้ำหนักที่มีมาก ส่วนลูกชายก็มีมิตรสหายมาก เวลาที่มิตรสหายมาบ้าน พ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยต้อนรับเท่าไหร่ ก็โกรธพ่อโกรธแม่ ใช้เชือกสองเส้นตีฟาดไปที่ศีรษะของผู้ที่เป็นแม่ ส่วนลูกสะใภ้ขโมยอาหารที่เตรียมไว้ให้กับคนในครอบครัวกินก่อน เพื่อน พอคนในครอบครัวถามว่าเนื้อที่เตรียมไว้จะทำเป็นอาหารนั้นเธอกินไปหรือเปล่า ก็บอกว่าโกหกว่าไม่ได้กิน ถ้ากินจริงๆ ขอให้ได้เกิดชาติใดก็ตามในทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้กินเนื้อแผ่นหลังของตัวเอง ผู้ที่เป็นแม่ก็เวลาที่มีคนมาขอสิ่งของ ก็จะบอกว่าไม่มี ซ่อนไว้บอกว่าไม่มี ใครมารบเร้าอย่างไรก็ตาม ที่มาขอความช่วยเหลือก็บอกว่าไม่มี ก็แสดงถึงว่าทำอกุศลกรรมด้วยการโกหก ด้วยการพูดไม่จริง ๔ คนนี้ ชาติถัดไปเกิดเป็นเปรตเป็นผลของอกุศลกรรม ผู้ที่เป็นพ่อเกิดเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานด้วยการกอบเอาพวกแกลบที่เต็มไปด้วยถ่านเต็มไปด้วยไฟ รดราดมาที่ตัวเองได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ส่วนผู้ที่เป็นลูกชายที่ใช้แส้ใช้เชือกสองเส้นฟาดไปที่ศีรษะของผู้ที่เป็นมารดา เกิดเป็นเปรตแล้วก็ใช้ค้อนเหล็กทุบศีรษะของตัวเองได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ส่วนผู้ที่เป็นลูกสะใภ้ก็มีเล็บยาวเกิดขึ้น ใช้เล็บเฉือนเนื้อที่อยู่ข้างหลังมาบริโภคได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ส่วนผู้ที่เป็นมารดาที่โกหกว่าของไม่มี เวลาที่มีอาหารเกิดขึ้นก็สิ่งนั้นก็เต็มไปด้วยคูถเต็มไปด้วยหมู่หนอนแล้วก็กินสิ่งสิ่งนั้นด้วยความทุกข์ความทรมาน นี่คือตัวอย่างของคนที่กระทำไม่ดีแล้วก็ได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจและเป็นผู้ตรงในเรื่องเหตุกับผล ก็จะรู้ได้ถึงหนทางที่เราจะไปสู่ เพราะว่าขณะนี้ทุกคนก็กำลังก้าวไป แล้วแต่ว่าจะไปทางไหน จะไปทางที่ไปสู่นรก หรือว่าไปสู่สวรรค์ หรือว่ามาสู่โลกนี้ เพราะว่าถ้าเหตุดี ผลก็ต้องดี ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงความจริงให้เราเห็นถูกต้อง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะค่อยๆ ละอกุศลเพราะเห็นโทษ ต่อให้ใครจะมาบังคับสักเท่าไหร่ ก็บังคับใจไม่ได้ ต้องเป็นไปตามการสะสม เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้น ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ซึ่งเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะไม่นำทุกข์โทษภัยมาให้เลย

    ด้วยเหตุนี้แต่ละคนก็เริ่มที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นอนัตตา แม้ว่าใครอยากจะเกิดบนสวรรค์ หรืออยากจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย มีเกียรติยศชื่อเสียงใดๆ ก็ตาม ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับคุณความดี ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการทุจริต แต่ก็เลิกไม่ได้สำหรับผู้ที่สะสมมามาก จนกว่าจะมีความเข้าใจถูกในเหตุและผลตามความเป็นจริง กุศลกรรมนำมาสู่โลกนี้ พร้อมทั้งกิเลสที่ได้สะสมมาด้วย เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมีความเข้าใจขึ้น กิเลสก็จะค่อยๆ ลดไปทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถที่จะดับได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่อดทน ขันติบารมี วิริยบารมี รู้ว่าพระธรรมลึกซึ้งและยาก และก็เป็นอนัตตา แต่ไม่เหลือวิสัยสำหรับเหตุที่จะค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง ถ้าสวดมนต์แบบเราไม่ได้รู้ความหมายทุกประโยคแบบนี้

    ท่านอาจารย์ นกแก้วได้ยินเสียงไหม นกขุนทองได้ยินเสียงก็พูดได้แต่ไม่รู้ความหมาย ไม่ใช่พุทธประสงค์ที่จะทรงบำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะให้คนพูดคำที่เขาไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง อย่างนี้เราต้องทำความเข้าใจในบทสวดก่อนที่จะเริ่มสวดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทุกคำสามารถที่จะเข้าใจขึ้นเมื่อได้ฟังบ่อยๆ และก็ได้พิจารณาไตร่ตรองทุกคำเว้นไม่ได้เลย อิติปิโส ภควา แปลว่าอย่างไร คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จะมีข้อความต่อไป ทรงเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น

    ท่านอาจารย์ เคยพูดไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะไม่พูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะเหตุว่าทุกคำสามารถเข้าใจได้ แม้เพราะเหตุนี้ เหตุอะไรเห็นไหม ต้องคิดแล้ว อยู่ดีๆ ก็พูดว่าเพราะเหตุนี้ แต่ไม่รู้ว่าเหตุอะไร แต่เมื่อฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว แม้เพราะเหตุนี้ รู้เลยที่ทรงตรัสรู้ความจริงว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีเป็นธรรม คือมีจริงๆ เกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ดับไปจริงๆ เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ ก็เห็นถูกต้องว่าเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อเข้าใจจริงๆ แม้เพราะเหตุนี้ที่ทรงอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเข้าใจความหมายว่าเพราะเหตุนี้ พอพูดเรื่องกรรม ไม่ใช่เราใช่ไหม รูปทำกรรมได้ไหม รูปคิดร้ายกับใครได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสภาพรู้หลากหลายคือเป็นจิตและเจตสิก

    ด้วยเหตุนี้เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องก็รู้ว่าเจตสิกที่มากถึง ๕๒ ประเภท มีเจตสิกหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพที่จงใจ มีไหมวันนี้ จะกระทำอะไร นั่นคือเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ จะรู้หรือไม่รู้ เจตนาเจตสิกก็เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเกิดขึ้นเป็นไปตามเจตนานั้นๆ พร้อมทั้งเจตสิกอื่นที่เกิดร่วมกัน ถ้าเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น ชอบสิ่งนั้นเป็นโลภเจตสิกที่ติดข้อง เจตนาที่เกิดร่วมด้วย ชอบมากหรือไม่มากก็ตามแต่ มีความจงใจที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะได้มาจะขอหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ จะมีความต้องการมากน้อยสักเท่าไหร่ อาหารมีตั้งหลายอย่างบนโต๊ะ จงใจเจตนาเอื้อมไปที่จะตักมากหรือน้อยตามเจตนา ทุกอย่างไม่พ้นจากเจตนาเจตสิกเลย แต่ว่าสภาพธรรมทุกอย่างมีหลายระดับ ตั้งแต่กิเลสซึ่งละเอียดมากไม่รู้เลย เช่น ขณะที่นอนหลับสนิทเหมือนกันหมดเลยไหม คนที่หลับสนิททุกคนไม่คิดไม่เห็นไม่ได้ยิน แต่พอตื่นขึ้นเพียงแค่เห็นต่างกันไปหมดเลย แต่ละคนจะชอบหรือไม่ชอบ ก็เพราะการสะสมของธรรม ซึ่งเจตนาเจตสิกต้องเกิดกับจิตทุกขณะ ถ้าขณะนี้ที่กำลังเห็นเหมือนไม่มีเจตนาใช่ไหม เกิดแล้วเห็นแล้ว แต่เจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิตนั้นมีกิจหน้าที่ขวนขวายกระทำกิจกระตุ้นเตือนสหชาตธรรม สหคือเกิดร่วมกันคือจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันขณะนั้น ให้กระทำกิจของตน นี่หนึ่งขณะจิต

    การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้เห็นความไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่เป็นธรรมทั้งหมดที่เป็นอนัตตา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มากขึ้นก็รู้ดีรู้ชั่วเพิ่มขึ้น และปัญญาก็จะนำไปในกิจทั้งปวงในทางที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ทั้งตนเองและบุคคลอื่นด้วย โลกจะร่มเย็นเป็นสุขไหม ถ้ามีความเห็นที่ถูกต้องว่าทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งหลากหลายมาก แล้วแต่ว่ามีอะไรที่สะสมมาเท่าไหร่ก็เป็นไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่เจตนา แล้วแต่เจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกัน ซึ่งต่างทำหน้าที่ต่างๆ ในขณะนั้น

    ผู้ฟัง ไปปฏิบัติธรรมที่วัดไหน หรือจะทำอย่างไรดีจึงจะเหมาะสม

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจธรรม จะปฏิบัติธรรมได้ไหม ก็ตอบว่าไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะไปปฏิบัติธรรมโดยไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร ถูกต้องไหม เข้าใจธรรมก่อน เพราะเหตุว่าธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลืมคำนี้ไม่ได้เลย ขอถามว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าง่ายไหม

    ผู้ฟัง ไม่ง่าย

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจแล้วจะปฏิบัติได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เปลี่ยนคำพูด เพราะฉะนั้นคุณหมอคงทราบแล้วใช่ไหม ไปปฏิบัติธรรม ถ้าคนนั้นไม่เข้าใจธรรม ปฏิบัติธรรมไม่ได้ และเมื่อเข้าใจธรรมแล้วไม่ไปปฏิบัติธรรมแน่นอน เพราะเข้าใจแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจเดี๋ยวนี้ แล้วถ้าฟังต่อไป จะรู้ว่าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งตามลำดับ ขั้นแรกที่สุดเมื่อทรงแสดงพระธรรมแต่ละคำลึกซึ้ง เช่น คำว่าธรรมลึกซึ้งไหม มีจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ ไม่กลับมาอีกเลย คำนี้ไม่ใช่หมายความว่าให้เพียงฟังเข้าใจ แต่สามารถที่จะรู้จริงประจักษ์แจ้งจริงๆ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นค่อยๆ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้องว่า ธรรมเป็นเรา ไม่เข้าใจเลยว่าเป็นธรรม เราเห็น เราคิด เราสุข เราทุกข์ เราเกิด เราตาย เข้าใจว่าอย่างนั้น แต่ความจริงธรรมต่างหากเกิด ธรรมต่างหากเป็นสุข ธรรมต่างหากเป็นทุกข์ สุขเป็นธรรม ทุกข์เป็นธรรม ไม่เว้นเลย ทุกอย่างเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เพราะไม่รู้จักความหมายของคำว่าปฏิบัติ พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงตามลำดับ ปัญญาที่จะเกิดก็ต้องเกิดตามลำดับ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ใครจะรู้ ไม่มีใครรู้แน่นอน เพราะฉะนั้นเมื่อฟังเท่าไหร่รู้เท่านั้น ฟังมากขึ้นเข้าใจมากขึ้น ก็ยังคงเป็นปริยัติซึ่งคนไทยใช้คำสั้นๆ ว่าปริยัติ หมายความว่ารอบรู้ ไม่ใช่เพียงฟัง ไม่ใช่เพียงได้ยิน แต่รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ลึกซึ้งทุกคำ แล้วแต่ละคำด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รอบรู้ในคำหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะรอบรู้ในคำอื่นๆ ต่อไป แต่ถ้ามีความรอบรู้ในคำว่าธรรม ธรรมคืออะไร ธรรมมีเท่าไหร่ ธรรมมีกี่ประเภท เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม เข้าใจธรรมจนกระทั่งมีความรอบรู้จริงๆ ใช้คำว่าสัจจญาณ เป็นความมั่นคงของความเข้าใจซึ่งไม่เปลี่ยน นำไปสู่จากปริยัติ คือปฏิปัตติ ภาษาไทยก็เรียกสั้นๆ อีก ปฏิบัติ แต่ ปฏิ หมายความว่าเฉพาะ ปัตติ หมายความว่าถึง ถ้าเป็นภาษาไทยตามรูปศัพท์ ถึงเฉพาะ ถ้าไม่ได้ฟังไม่เข้าใจเลย อะไรถึง ถึงอะไรเฉพาะ แต่พอฟังเข้าใจว่าธรรมนั่นเอง ขณะนี้เป็นธรรม และก็ทรงแสดงไว้ว่าธรรมขณะนี้เกิดดับ แต่ว่าเพียงฟังยังไม่ประจักษ์การเกิดดับ แต่ผู้ที่ได้ประจักษ์การเกิดดับ ฟังแล้วเป็นสาวก เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ต่างรู้ความจริงตามที่ได้ทรงแสดง เมื่อทรงแสดงแล้วเข้าใจแล้ว เข้าใจในความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้นมั่นคงขึ้น

    เพราะฉะนั้นไม่มีใครไปทำอะไร แม้แต่เข้าใจเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ใครไปทำให้เกิด แต่พอฟังแล้วเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ดับ และความไม่เข้าใจก็เกิดต่อ เพราะเหตุว่าเข้าใจเพียงนิดเดียวแล้วก็เพียงบางอย่าง แต่ยังมีอีกตั้งหลายอย่าง ชีวิตทั้งวันตั้งแต่เกิดมาไม่ได้เข้าใจขณะไหนว่าเป็นธรรมเลย แต่เมื่อศึกษามีความเข้าใจมากขึ้น รอบรู้ขึ้นธรรมเป็นอนัตตา ย่อมมีธรรมที่เกิดขึ้นถึงเฉพาะด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จึงเป็นปฏิปัตติเป็นสติสัมปชัญญะที่เกิดพร้อมปัญญา เพราะได้เข้าใจจากการฟังมั่นคงจนกระทั่งเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้เดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย นั่นคือความหมายของปฏิปัตติคือปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจแล้วไม่ไปไหน เพราะเดี๋ยวนี้สภาพธรรมเกิดดับ ไปทำไม ไปไหน ไปแล้วก็ไม่รู้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นแล้วพระธรรมอันตรธาน แล้วก็ลบเลือนเพราะเข้าใจผิด ถ้าคำสอนใดไม่ตรงกับความจริงไม่ใช่พระพุทธพจน์ และคำสอนนั้นๆ ย่อมทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจะอุปมาเหมือนกลองใบหนึ่ง ก็ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงความค่อยๆ ลบเลือนเสื่อมสูญไปของพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นสาวก ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงโดยละเอียดโดยรอบคอบจริงๆ ก็เป็นเหตุให้พระธรรมอันตรธาน ก็เปรียบเหมือนกับกลองของกษัตริย์จำพวกหนึ่ง ก็คือกลองอานกะ บางครั้งก็จะเรียกว่าตะโพนก็ได้ เพราะว่าเป็นกลองใหญ่ เวลาที่ตะโพนอานกะเกิดความชำรุดก็จะมีการเอาลิ่มสลักมา เพื่อที่จะประกอบให้โครงแข็งแรงขึ้น จนกระทั่งในที่สุดแล้ว โครงเก่านั้นหายไป หายไปหมดเลย เหลือแต่โครงลิ่มที่ตอกเข้าไปใหม่ ก็เปรียบเสมือนกับพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงก็ค่อยๆ ลบเลือนไป เมื่อไม่มีผู้ศึกษาไม่มีผู้ฟังด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เมื่อไม่เข้าใจคำสอนก็เหมือนกับกลองที่ชำรุด เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็เอาคำสอนอื่นมาใส่แทนคำสอนเก่า ในที่สุดก็คำสอนเก่าก็ลบเลือนอันตรธานไปไม่เหลือเลย คือหมายความว่าถ้าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ก็จะคิดเองพูดเอง แต่ไม่ใช่คำที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีความเข้าใจผิดสอนผิดทำผิด มีมิจฉามรรคหนทางผิดเกิดขึ้น ตรงกันข้ามกับสัมมามรรคมีองค์ ๘ ซึ่งทรงแสดงไว้เพื่ออนุเคราะห์ไม่ให้มีความเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงเป็นผู้ที่ละเอียดแล้วก็ถูกคือถูก ผิดคือผิด

    ผู้ฟัง คำว่าบุญ เพราะตอนนี้ก็เป็นที่นิยมมากในเรื่องที่จะไปทำบุญ ๙ วัด อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นบุญหรือเปล่า ก็เป็นบุญที่ไหนก็ได้ใช่ไหม แต่คำว่าไปทำบุญ รู้จักบุญหรือเปล่า ไปทำอะไรที่วัด ๙ วัดที่จะเรียกว่าเป็นบุญ คำแรกก็คือไหว้พระ ไหว้ใคร ไหว้พระพุทธรูป รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือว่าไหว้พระพุทธรูปแต่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นสิ่งซึ่งต้องตรง เพราะฉะนั้นกลองใบนั้นก็ใกล้ที่จะอันตรธานเพราะมีสิ่งอื่นไปปะแทนคำจริง เพราะฉะนั้นธรรมต้องตั้งต้นตั้งแต่ต้นบุญมีจริง เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก ทั้งจิตและเจตสิกก็ได้ แต่เมื่อเข้าใจถูกต้องว่าจิตเท่านั้นเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ ไม่รักไม่ชังไม่สุขไม่ทุกข์ แต่กำลังเป็นใหญ่ในการเห็นในการได้ยินขณะนี้เป็นจิต แต่เจตสิกก็เป็นสภาพนามธรรมรู้สิ่งเดียวกับจิต แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่มีกิจของตน เพราะฉะนั้นเจตสิกที่เป็นฝ่ายดีเกิดกับจิตใด จิตนั้นดี เพราะฉะนั้นบุญก็ทั้งจิตและเจตสิก แต่สภาพที่เป็นบุญจริงๆ ที่เป็นสภาพที่ดีงาม ก็คือเจตสิกฝ่ายดี เพราะฉะนั้นจะมีคำหลายคำที่แสดงความละเอียด เช่น สำหรับจิต จะใช้คำว่าปัณฑระหมายความว่า ไม่กล่าวถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเลย ทั้งกุศลและอกุศลเป็นสภาพธรรม ซึ่งไม่กล่าวถึงเจตสิก

    เพราะฉะนั้นเป็นธาตุรู้เท่านั้นไม่ดีไม่ชั่ว อกุศลจิตก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้เป็นปัณฑระ กุศลจิตก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เป็นปัณฑระ จิตของพระอรหันต์ ก็เป็นปันฑระ จิตของคนที่เกิดในอบายภูมิก็เป็นปัณฑระ จิตเห็นก็เป็นปัณฑระ คือกล่าวเฉพาะจิตล้วนๆ เป็นปัณฑระ แต่เวลาที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าเป็นเจตสิกฝ่ายดี จิตย่อมดีด้วยเป็นกุศลจิต เพราะแทนที่จะกล่าวถึงเจตสิกฝ่ายดี ๑๙ ประเภทหรือมากกว่านั้น ก็กล่าวถึงจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานว่า เป็นจิตที่ดีคือประกอบด้วยเจตสิกที่ดี เพราะฉะนั้นก็เป็นคำที่ละเอียดเพิ่มขึ้น ถ้าจะกล่าวว่าบุญเป็นอะไร โดยตรงเป็นเจตสิกฝ่ายดี ใช้คำว่าโสภณเจตสิก ซึ่งค่อยๆ ฟังไปทีละเจตสิกก็ได้ หรือจะรู้จำนวนรวมก็ได้ เช่น อโลภะไม่ติดข้อง ดีไหม ไม่หวั่นไหวถ้าไม่ติดข้อง ไม่ว่าจะเป็นลาภหรือเสื่อมลาภ ไม่ว่าจะเป็นยศหรือเสื่อมยศ ชั่วคราวไม่ใช่ของใคร แล้วแต่อะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งผลของบุญระดับไหน ก็ไม่มีใครไปยับยั้งผลของบุญระดับนั้นได้ ถ้าจะเป็นผลของบุญเพียงเล็กน้อย ก็มาจากเหตุเล็กน้อย ถ้าเป็นผลของบุญใหญ่ก็นำมาซึ่งผลใหญ่ ชั่วคราวแล้วก็หมดไป มีใครบ้างที่จะครอบครองอาณาจักรอาณาเขตเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ค้ำฟ้า ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก ก็เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว เพราะอโลภะไม่ติดข้อง เป็นบุญหรือเปล่า ไม่ติดข้อง อโทสะไม่โกรธ เพราะฉะนั้นก็เป็นโสภณเจตสิกฝ่ายดีงาม เมื่อเกิดกับจิต จิตนั้นก็เป็นเจตสิกที่ดีงาม เราก็ใช้คำว่ากุศลจิตก็ได้ แต่ก็มีจิตที่ดีงามอื่นด้วย ซึ่งไม่ใช่กุศลจิต แม้จิตเพียงจิตประเภทเดียวยังหลากหลายมากมายอย่างนี้ เริ่มเข้าใจขึ้นในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เพราะเหตุนี้พระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไปวัดกราบอะไร กราบพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เมื่อไหร่ เมื่อเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจไม่มีทางเลย ก็กราบพระพุทธรูป แล้วขอด้วย ไม่ใช่กราบเปล่าๆ ใช่ไหม ขอแล้วได้ไหม ใครให้ได้ไหม ทั้งหมดต้องเป็นเหตุและผล เพราะฉะนั้นขณะนี้ไม่ต้องไปวัด บุญเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจการฟังพระธรรมกับการไปวัด แล้วไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย จะไปไหน ต้องเป็นผู้ตรง ไปทำไม ไปเพื่ออะไร บางคนบอกว่าไปเพราะจะได้บุญ มาแล้ว ต้องการบุญอยากได้บุญ เพราะไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นความติดข้อง โลภะติดข้องในทุกอย่าง เห็นอะไรก็ชอบ ได้ยินเสียง ได้กลิ่นลิ้มรส เกิดมาติดข้องเพราะไม่รู้ สิ่งเดียวที่โลภะติดข้องไม่ได้เลย โลกุตรธรรม อีกแสนไกล เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งไม่เกิด ไม่มีปัจจัยที่จะปรุงแต่ง เป็นนิพพาน เป็นธรรมที่ดับกิเลส ก็อีกไกล เพราะเหตุว่าต้องรู้จักกิเลสก่อน เพราะว่าถ้าไม่รู้จักกิเลสก็ดับกิเลสไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    21 พ.ค. 2568