ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
ตอนที่ ๘๑๘
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ความติดข้องมีตั้งหลายอย่าง แต่ทั้งหมดก็รวมอยู่ที่ความเป็นเรา ความเป็นตัวตนหรือว่าความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งดูเหมือนเที่ยงมีอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้ามีปัญญาถึงระดับที่สามารถที่จะเห็นจริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง และคิดว่า สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้สามารถที่จะมีสภาพธรรมที่เข้าใจถึงเฉพาะจริงๆ ในสิ่งเดียวที่กำลังปรากฏ และสิ่งนั้นเกิดขึ้นและดับไป ตรงกับที่ได้ฟังไหม
ผู้ฟัง คือว่าต้องค่อยๆ เข้าใจจนเป็นความมั่นคงที่จะเห็นสภาพธรรมปรากฏเพียงแต่ละหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะว่าขณะนี้ถึงจะได้ยินได้ฟังคำว่า ขณะใดก็ตามเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น มีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ จางแค่ไหน หรือมั่นคงแค่ไหน ที่สามารถที่จะทันทีที่ได้ยิน หรือขณะใดก็ตามสามารถรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ จะนำไปสู่การเข้าใจถูกลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ไหม ที่จะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จนกระทั่งถึงสิ่งนี่แหละเกิดและก็ดับ
เพราะฉะนั้นการติดข้องในสิ่งที่มี ก่อนที่จะประจักษ์แจ้งอย่างนี้ก็คือว่า ไม่รู้เลยว่า หลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ทุกอย่างที่เหมือนมีเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีทั้งนั้น เพราะเหตุว่าจากไม่มีเลยก็เกิดมีขึ้น แล้วก็เร็วแสนเร็วที่เพียงปรากฏว่ามีก็หมดไป แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้จริงๆ ก็จะมีขณะที่สามารถกำลังเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ โดยไม่ใช่เรา โดยความเป็นอนัตตา ซึ่งจะเกิดเมื่อไหร่ ไม่มีใครสามารถที่จะกำหนดได้เลย แต่ความเข้าใจที่เริ่มมีในขณะที่ฟัง เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง เพียงแค่ฟังว่าขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ใครจะฟังไม่ออก แต่ความลึกซึ้งของการที่จะเข้าใจให้ถึงความจริงของสิ่งที่ปรากฏแค่ไหน เพราะเหตุว่า เห็นเมื่อใด ก็ลืมไปทุกทีว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น และขณะนั้นเริ่มเข้าใจในความเป็นจริงว่า เพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แน่นอน ขณะนั้นก็เป็นการเริ่มต้นที่จะค่อยๆ คลายความติดข้องในสิ่งซึ่งเคยยึดถือว่ามี แล้วก็จนถึงขณะที่สามารถจะรู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่แต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น อะไรทั้งนั้นเดี๋ยวนี้สามารถเป็นสิ่งที่เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นมีลักษณะอย่างนั้น ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้น เพราะเกิดขึ้นและก็ดับไป เพราะฉะนั้นติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างเพราะไม่รู้ว่า เพียงจากไม่มี แล้วก็เกิดให้รู้ว่ามี แล้วก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ไม่มั่นคงพอที่จะเห็นสภาพธรรมปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ยังอ่อนเยาว์มาก เพราะว่าฟังเข้าใจ และก็นานๆ ก็ฟังก็เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกทีละน้อยทีละน้อยเหมือนจับด้ามมีด และไม่ต้องมีใครมาบอกเลยว่า ใครเข้าใจแค่ไหน แต่ผู้นั้นเองก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า แม้เพียงคำว่า ขณะนี้มีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่เพียงคำพูด เป็นความที่เข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ แล้วก็อย่างอื่นไม่ใช่สิ่งนี้ เช่น เสียง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แล้ว แล้วก็มีเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นแต่ละทาง แต่ละขณะ ที่มีลักษณะหนึ่งลักษณะใดปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจความจริง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริงเข้าใจจริงตรงตามที่ได้ฟัง นั่นคือปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ต้องเป็นไปด้วยการละคลายความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้นขณะไหนก็ได้ เดี๋ยวนี้เห็นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏหรือยัง ได้ยินเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏหรือยัง แข็งเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏหรือยัง เพราะแข็งก็ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ฟังไปและก็สภาพธรรมขณะนี้เป็นจิตและเจตสิก ไม่มีใครเลย เพราะฉะนั้นขณะที่ฟัง ถ้าไม่มีจิตไม่ได้ยินเลยใช่ไหม แล้วก็ถ้าไม่มีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ก็จะไม่มีการที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง เพราะจิตเห็นไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เป็นผลของกรรมที่ทำให้ต้องเกิดขึ้นเห็นและก็ดับไป แล้วก็มีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อมากมายหลายประเภท จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่า ไม่ใช่เราเลยสักขณะเดียว ขณะนี้ที่รู้ว่ามีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น สิ่งที่เห็นสภาพที่เห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ไม่มีใครในขณะนั้นด้วย
ผู้ฟัง ความติดข้องด้วยความเป็นเราด้วยความรักตน ผมก็มานั่งพิจารณาว่าต้องการรูปที่สวย เห็นในสิ่งที่น่าเห็นน่าพอใจ ก็ด้วยความเป็นเรา
ท่านอาจารย์ คิดจะละ หรือว่าเพียงเข้าใจให้ถูกต้อง
ผู้ฟัง ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ถ้าใครคิดจะละไม่มีทางสำเร็จ เพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นการดับกิเลส ให้เห็นความมากมายหนาแน่นของกิเลสว่า มากจนกระทั่งแม้ปัญญาที่สามารถรู้ความจริงประจักษ์แจ้งความจริง ก็เพียงละการที่เคยไม่รู้ และก็เคยเข้าใจผิดที่เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่กิเลสอื่นยังเต็ม เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เราละ แต่เป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจถูกตามลำดับ แล้วจะรู้ความจริงว่า ไม่มีอะไรที่สามารถที่จะละกิเลสได้นอกจากปัญญา แล้วข้ามขั้นไม่ได้ด้วย จากการเป็นปุถุชนจะไปถึงความเป็นพระอรหันต์ หรือว่าจะไปถึงความเป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นไปไม่ได้ แม้แต่กำลังฟังขณะนี้ เข้าใจแค่นี้จะให้ถึงระดับขั้นของปฏิปัตติ ซึ่งเป็นสติสัมปชัญญะที่เกิดจากการฟังเข้าใจ ทำให้สามารถที่จะกำลังเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่มีใคร แต่เป็นสภาพธรรมที่ขณะนั้นเข้าใจ และเมื่อฟังพระธรรมแล้วก็จะเข้าใจคำว่าสติสัมปชัญญะ ซึ่งต่างกับขณะที่เพียงฟังแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ยังไม่ได้รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เพราะว่าเป็นปัญญาต่างขั้น
ผู้ฟัง แล้วความติดข้องด้วยความเป็นเราจะมีหลายระดับไหม เพราะอย่างถ้ามีบุคคลหนึ่งบุคคลใดกล่าวไม่ดี หรือทำไม่ดีกับบุคคลที่เรารัก เราสมควรที่จะโกรธเขาหรือเปล่า อันนี้ก็แน่นอนถ้าปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะไม่โกรธ ก็คงต้องโกรธ เพราะฉะนั้นระดับของความติดข้องในความเป็นเรา ก็จะมีหลายระดับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีความเป็นเราด้วยตัณหา ตัณหาเป็นอีกคำหนึ่งของสภาพธรรมที่ติดข้อง คือโลภะสภาพที่ติดข้อง เป็นเราด้วยตัณหา ติดข้อง แล้วก็เป็นเราด้วยมานะ แล้วเป็นเราด้วยทิฏฐิ แต่ว่าในวันหนึ่งวันหนึ่งยังมีความเป็นเราด้วยทิฏฐิ เพราะฉะนั้นความติดข้องเป็นเราด้วยตัณหาก็มีเป็นธรรมดา และความติดข้องเป็นเราด้วยมานะความสำคัญตนก็มีเป็นธรรมดา รวมทั้งขณะนั้นก็ยังมีการยึดถือว่าเป็นเรา แต่ว่าเมื่อละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะรู้ความจริง รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว ไม่มีความเห็นผิดเลยว่าเป็นเรา แต่มีความยินดีด้วยโลภะติดข้อง และมีความสำคัญในสภาพธรรมด้วยมานะ แต่ว่าไม่ใช่ด้วยทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะละความเป็นเราด้วยตัณหาหรือด้วยมานะ ก็ต้องละความเป็นเราด้วยทิฏฐิก่อน และเมื่อละความเป็นเราด้วยทิฏฐิ ก็ยังรู้ว่ายังเหลือเราที่ยังมีมานะสำคัญตนในสภาพธรรม แม้รู้ว่าไม่ใช่เราเลย แต่ก็เข้าใจถูกว่านั่นเป็นลักษณะของธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญในสิ่งซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา แม้รู้ว่าเป็นธรรมแต่ความสำคัญนั้นก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องของกิเลสเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ แล้วก็จะรู้ตามลำดับจริงๆ ว่า ข้ามขั้นไม่ได้เลย ได้ยินโทษของโลภะมากมาย สิ่งที่รักในโลกนี้ก็มีมากมายก็ต้องจากไป แต่ว่าพอจากไปแล้วไม่เหลือเลย ความติดข้องในสิ่งที่เคยพอใจติดข้องอย่างมากในชาติก่อน พิสูจน์ได้ในชาตินี้ ใครมีสิ่งที่รักในชาติก่อนมากมาย จากไปแล้ว ไม่รู้จักเลย ไม่ติดข้องอีกเลย
เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่จากโลกนี้ไป ก็มีความติดข้องในสิ่งที่มีในโลกนี้ที่เคยสำคัญว่าเป็นที่รักอย่างยิ่ง แต่พอจากไปแล้ว ไม่รู้จักเลย ไม่ติดข้องเลย แต่ความติดข้องสะสมไปทุกขณะที่จะมีต่อไปในชาติต่อไป และที่สำคัญที่สุดคือติดข้องในความเป็นเรายิ่งกว่าอื่น
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดถึงว่าทุกอย่างเป็นเรื่องลึกซึ้งแล้วก็เห็นยาก คือผมไปพิจารณาในเรื่องว่าง่ายที่สุดหมายความเมื่อวานนี้เข้าใจ ก็คือว่ามีสิ่งที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ คือการฟังธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากๆ พอฟังแล้วอาจจะคิดตามความเข้าใจของเราแต่ละคำ แต่ต้องรู้ว่าคำนั้นหมายความถึงอะไร ถ้าพูดถึงคำว่าธรรม ทุกคนก็พยายามที่จะเข้าใจว่าคืออะไร อาจจะเปิดพจนานุกรม ธรรมคืออะไร หรือว่าภาษาบาลีว่าอะไร มาจากคำว่าอะไร และคืออะไร ยุ่งยากไหม แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ธรรมดา จะใช้คำว่าง่ายหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ให้เข้าใจความหมายว่าธรรมดาของธรรมกำลังมี
เพราะฉะนั้นที่จะเข้าใจความหมายของธรรมโดยไม่ยากที่จะต้องไปค้นหา ไม่ต้องไปเปิดตำราเลยว่า คำนี้มาจากคำไหน ธาตุอะไร หมายความถึงอะไรบ้าง แต่ให้รู้ว่าแท้ที่จริงคำนี้ก็คือ หมายความถึงสิ่งที่กำลังมี ถ้าพูดอย่างนี้ไม่ต้องไปเปิดตำราค้นหาให้มากมาย ก็พอจะตรงกับความจริงไหมว่าต่อให้ไปค้นหาคำแปล หรือคำนี้มาจากธาตุอะไรในภาษาบาลี นั่นก็เป็นความรู้เรื่องคำ แต่ว่าแท้ที่จริงแล้วถึงไม่มีคำก็มีสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมที่จะเข้าใจคำนี้โดยไม่ยากในความหมาย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง นี่คือความหมายที่จะเข้าใจธรรมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าธรรมง่าย แต่คำว่าธรรมที่จะให้คนเข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ต้องไปเปิดตำรา ไม่ต้องไปค้นหา ก็คือว่าให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แค่นี้ลำบากไหม นี่คือความหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าธรรมง่าย ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะรู้ได้ แม้แต่เพียงธรรมก็คิดตั้งวันมาแล้วใช่ไหมว่าง่ายอย่างไร ยากอย่างไร อะไรต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้ารู้จักธรรมก็คือว่าเดี๋ยวนี้เอง จะเรียกภาษาอะไรก็ได้ แต่ว่าใช้ภาษาที่สามารถจะเข้าใจกันได้ในแต่ละชนชาติว่า ใช้คำนี้หมายความถึงอะไร
เพราะฉะนั้นเมื่อใช้คำว่าธรรมกับชาวเมืองมคธ เขาเข้าใจเลย หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่คนไทยไปหาธรรม รู้จักธรรมหรือเปล่า เพราะไม่เข้าใจใช่ไหม แล้วก็บางคนก็ศึกษาโดยตำราว่า ต้องไปค้นหาว่า คำนี้โดยศัพท์ มาจากไหน หมายความว่าอะไร ถึงหามาแล้วก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นที่ว่าความหมายของธรรม ที่จะไม่ต้องยุ่งยากไปหาตามวิธีการต่างๆ ก็คือให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่า สิ่งนี้แหละเป็นธรรม แต่ลึกซึ้งไม่ใช่ว่าตัวธรรมง่าย แต่หมายความว่าถ้าจะเข้าใจธรรมง่ายๆ ในความหมายของธรรม ก็คือว่าเป็นสิ่งที่มีจริง อันนี้ทุกคนต้องบอกว่าไม่ยาก ใช่ไหม มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงนั้นอะไรลึกซึ้งแล้ว ตัวสภาพธรรมลึกซึ้ง แต่คำแต่ละคำ ปฏิบัติธรรมฟังแล้วเหมือนเข้าใจ แต่ลึกซึ้ง เมื่อไม่เข้าใจความลึกซึ้ง ก็ผิดเลย นี่ก็คือเป็นสิ่งที่ต้องฟังโดยละเอียดจริงๆ ว่าแต่ละคำหมายความถึงอะไร ถ้ามีความเข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่ปรากฏ ก็คือว่าเป็นของธรรมดา ใครบ้างไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีเห็น เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจถูกต้องว่า เมื่อเห็นมี เห็นเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตรงตัวเท่านั้นเอง แต่ว่าความลึกซึ้งของเห็น ไม่ใช่ว่าง่าย แต่ว่าการที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรม ก็คือว่าเดี๋ยวนี้มีธรรม ให้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้นั่นแหละเป็นธรรม
ผู้ฟัง อยากขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ มีเพื่อนฝากถามว่า เพื่อนบอกว่า อนุสัยความเคยชิน เราสร้างเหตุดีให้เคยชินก่อน คือการปฏิบัตินั่นแหละประมาณนี้ หนูยังไม่ค่อยเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ทุกคนยอมรับไหมว่าธรรมลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจแต่ละคำจริงๆ สับสน คิดว่าเข้าใจแล้ว ได้ยินคำอะไรก็เหมือนเข้าใจแล้ว ได้ยินคำว่าปฏิบัติก็เหมือนรู้ ได้ยินคำว่าจิตก็เหมือนรู้ ได้ยินคำอะไรเหมือนไม่ต้องอาศัยการฟัง หรือไม่ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยก็รู้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ในฐานะของจะงอยปากยุงที่จุ่มลงในมหาสมุทร ควรที่จะได้เข้าใจแต่ละคำเพื่อไม่สับสน และจะได้เป็นความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ได้หมายความว่าต้องท่องต้องคิดแล้วก็พูดตาม แต่ความเข้าใจนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเลย เช่น ขณะนี้ถ้ารู้จักว่าธรรมคืออะไร เปลี่ยนไหม สิ่งที่มีจริง ไม่ว่าใครจะพูดถึงอะไรทั้งสิ้น ปฏิบัติธรรม หรือลมหายใจ หรืออะไรทั้งหมด ก็จะต้องเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่าเข้าใจความจริงนั้นหรือเปล่า หรือว่าคิดเอง
เพราะฉะนั้นขอกล่าวถึงแต่ละคำ เพื่อว่าเมื่อทุกคนเข้าใจแต่ละคำนั้นแล้วก็จะได้ต่อไป เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าคำใดที่เข้าใจถูกต้องแล้ว คำนั้นไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก ต้องตรงกัน เพราะเหตุว่าเป็นความจริงถึงที่สุด ไม่ใช่ว่าในพระวินัยปิฎกเป็นอย่างนี้ ในพระสูตรเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในพระอภิธรรมเป็นอย่างหนึ่ง แต่ธรรมเปลี่ยนไม่ได้ แต่นัยของการทรงแสดงธรรมหลากหลายมาก ตามที่ได้ทรงจัดไว้เป็นประเภทๆ ว่า ที่จัดไว้เป็นพระวินัย เป็นพระสูตร เป็นพระอภิธรรม แต่ข้อความในพระสูตรก็ต้องตรงกับพระอภิธรรม และถ้าไม่มีธรรมจะมีวินัยหรือ หรือแม้แต่นิมิต ซึ่งมีผู้ถามเมื่อวันก่อน เห็นดอกไม้ เห็นอะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่มีธรรมจะมีรูปร่างสัณฐานปรากฏให้เห็น ให้คิด ให้จำหรือ นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ทีละคำ เพราะฉะนั้นขอเชิญอ่านซ้ำเพื่อที่จะได้เข้าใจแต่ละคำ
ผู้ฟัง อนุสัยความเคยชิน
ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อน ใครบอกว่าอนุสัยคือความเคยชิน เห็นไหม ฟังแล้วเหมือนเข้าใจเลย ตามกันไปเลย อนุสัยคืออะไร คุณคำปั่น
อ.คำปั่น อนุสัยก็เป็นอกุศลธรรมที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ยังไม่สามารถดับได้ ที่ท่านเรียกว่า เป็นพืชเชื้อของกิเลสทั้งหลายที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กิเลสเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต และถ้าสะสมมีกำลังมากขึ้น ก็สามารถที่จะล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำแนกกิเลส ๓ ระดับ กิเลสที่ละเอียดมีกำลังที่ยังไม่สามารถดับได้ก็เรียกว่าอนุสัยกิเลส ไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แต่ว่าสะสมสืบต่อนอนเนื่องอยู่ในจิต เป็นปัจจัยให้มีกิเลสระดับต่อมาที่เป็นกิเลสขั้นกลุ้มรุมจิต เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ก็ลองพิจารณาดูว่าความโกรธในขณะที่เกิดขึ้นมาจากไหน ความติดข้องต้องการมาจากไหน เป็นต้น หรือแม้กระทั่งความเห็นผิด และความลังเลสงสัยเหล่านี้ ก็เป็นพวกของกิเลสที่ละเอียดที่ยังไม่สามารถดับได้ ก็เป็นเหตุให้มีกิเลสขั้นที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตทำกิจหน้าที่ และถ้าสะสมมีกำลังมากขึ้น ก็ล่วงเป็นทุจริตกรรมที่เรียกว่า วีติกกัมมกิเลส
ผู้ฟัง คือเพื่อนหมายความว่าต้องสร้างอนุสัยความเคยชิน คือการสร้างเหตุที่ดี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอนุสัยเป็นเหตุที่ดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแต่ละคำแสดงให้เห็นว่า เมื่ออ่านแล้วจะรู้ว่าผู้นั้นมีความเข้าใจอะไรหรือเปล่า ถูกต้องหรือเปล่า หรือว่าเพียงได้ยินก็ใช้คำนั้น ใช้คำว่าความเคยชินใช่ไหม อนุสัยเป็นความเคยชินตามจดหมายนี้ถูกต้องไหม ที่จะต้องไปสร้างขึ้นมาด้วยใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริง ความเคยชินมีเฉพาะสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้นหรือ ความเคยชินสิ่งที่ดีมีไหม ทุกคนตื่นแต่เช้าฟังธรรม เคยชินที่จะตื่น เคยชินที่จะมาฟังธรรมที่มูลนิธิ หรือเมื่อไหร่ หรือที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวแต่เพียงคำว่าเคยชิน ผู้ที่ฟังธรรมจะบอกว่าเคยชินในทางฝ่ายกุศลเป็นอนุสัยได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นอนุสัย หมายความว่าสภาพธรรมที่เกิดแล้ว ต้องเป็นฝ่ายไม่ดีเท่านั้น จะไปสร้างอนุสัยกันทำไม ไม่ต้องสร้าง มีอยู่แล้วพร้อมใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงต้องดับอนุสัย จึงสามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะตราบใดที่ยังมีอนุสัย ซึ่งตอนนี้ก็รู้เพียงเงาๆ ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ไม่ดี แต่ต้องรู้ระดับของสภาพธรรมด้วย ถ้าไม่มีอกุศลจิตเกิดขึ้นเลยจะมีอนุสัยไหม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าแต่ละคำ แสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริงต่างกาล แต่ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น ถ้าไม่มีอกุศลจิตเกิดแล้วดับ จะเอาอนุสัยมาแต่ไหน
สำหรับพระอรหันต์นี่ไม่มีเลย อกุศลจิตไม่เกิด จะเอาอนุสัยมาแต่ไหน แต่ว่าเมื่ออกุศลจิตเกิดขึ้นและดับไปมากๆ เลย ไม่ให้สะสมไว้ในใจได้หรือ สบายเลยเกิดก็เกิดไป ไม่เดือดร้อน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครต้องมีผลของอกุศลนั้นๆ แต่ธรรมไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่ออกุศลเกิดและดับ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดและดับไปแล้ว ดับไปแล้วจริง แต่เมื่อเกิดแล้ว ฐานะที่ได้เกิดขึ้น ฉาบทาจิตในขณะที่เป็นอกุศล ถึงแม้ว่าจะดับไปแล้ว สิ่งนั้นก็ยังติดอยู่ในจิตโดยฐานะซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเป็นปริยุฏฐานกิเลส ไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงานเลย แต่มีอยู่เพราะเหตุว่าอกุศลได้เกิดแล้ว แม้ดับไปแล้ว อกุศลนั้นก็เป็นอนุสัยที่จะสะสมสืบต่อไป
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องละเอียด จนกระทั่งว่าการสะสม เพราะเหตุว่าสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้หายไปไหนเลยสักอย่าง ทั้งทางฝ่ายกุศลและอกุศล ด้วยเหตุนี้จึงมีสองคำ อาสยานุสยะ ถ้าเป็น อนุสัย หมายความถึงอกุศลเท่านั้น ถ้าเป็น อาสยะ หมายความถึงการสะสมของทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ธรรมต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ถ้าจะพูดถึงความเคยชิน เคยชินจากการที่เป็นอกุศล จนกระทั่งเคยชินต่อการที่จะเป็นกุศล จนกระทั่งสามารถดับอกุศลได้ เพราะฉะนั้นคำถามของผู้ที่กล่าวคำว่าอนุสัย และก็จะไปสร้างอนุสัย จะต้องสร้างไหม มีอยู่แล้ว ฉาบทาติดอยู่ในจิตทุกขณะที่แม้ดับไปแล้วก็อยู่ที่นั่นแหละสะสมสืบต่อไป ยากแก่การที่จะดับอนุสัย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
