ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
ตอนที่ ๘๐๒
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร จ.นครปฐม
วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ผู้ฟัง ต่อเนื่องมาจากคำถามคุณณภัทรว่าสภาพธรรมเวลาเห็นเกิดขึ้น และดับไปก็ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ แล้วถ้าเกิดเป็นสภาพธรรมที่เราเป็นทุกข์จริงๆ โดยที่ไม่ได้พูดถึงทุกข์กาย ไม่สบายใจ หรือเป็นทุกข์อย่างนี้ เป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ทุกข์กาย ทุกข์ใจใช่ไหม ก็เป็นทุกข์เพราะเกิดขึ้นแล้วดับดีไหม น่าพอใจไหม อะไรก็ตามจากไม่มีแล้วมีขึ้นนิดเดียวแล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย ดีไหม ยังติดข้องไหม ถ้าติดข้องก็ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี รู้แล้วว่าไม่มีเลย ยังติดข้อง ก็ติดข้องตามสบายใช่ไหม ไม่มีใครบังคับ จนกว่าจะเห็นว่า สิ่งนั้นหรือควรที่จะยินดี ในสิ่งที่ไม่มีเลย แล้วก็เกิดมีขึ้น แล้วก็หมดเลย ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือปัญญาเท่านั้นที่กว่าจะค่อยๆ เห็นจริงอย่างนี้ได้ ตามลำดับขั้นของปัญญาด้วย ถ้ายังไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ กับสิ่งที่เพียงปรากฏให้รู้ ใน ๑ ขณะ ไม่มีอื่นเลย ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ สะสมจนมั่นคง และสภาพธรรมก็จะปรากฏตามความเป็นจริง เพราะละความติดข้อง ความไม่รู้
ผู้ฟัง ขณะที่เห็นเกิดแล้วเห็นดับแล้วไม่รู้สึกทุกข์เพราะว่า..
ท่านอาจารย์ เห็นหรือ
ผู้ฟัง ไม่ใช่ ไม่เห็น แต่ทำไมถึงว่ากล่าวถึงพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่า ทุกข์ก็คือสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนฟังแล้วเห็นหรือยัง
ผู้ฟัง ยังไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเป็นทุกข์ไหม
ผู้ฟัง ยังไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังไม่เห็นทุกข์ ถูกไหม ทั้งๆ ที่กำลังเป็นทุกข์ก็ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์
ผู้ฟัง แต่มีลักษณะของไม่พอใจเป็นกิเลส
ท่านอาจารย์ ไม่ใช้ปัญญา เป็นเราต่างหากที่ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นกว่าจะทุกอย่างเป็นธรรม คิดดูว่าเมื่อครู่ก็เป็นเราเข้ามาแล้ว
ผู้ฟัง เป็นเราทุกข์
ท่านอาจารย์ จนกว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นธรรม
ผู้ฟัง เพราะเป็นแค่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นดับไป แต่ก็เอามาคิด
ท่านอาจารย์ คิดเป็นธรรมหรือไม่
ผู้ฟัง ก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะหมด ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่เหลืออะไรเลยที่จะสงสัย เพราะว่าโสตาปัตติมรรค ขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ดับวิจิกิจฉานุสัย ตราบใดที่ยังไม่รู้ต้องสงสัย แต่พอรู้แล้วจะสงสัยหรือ
ผู้ฟัง ไม่สงสัย
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ความจริงไม่มีอะไร ต่างกับเดี๋ยวนี้มีมากมายเลย โน่นก็มี นี่ก็มีใช่ไหม และอะไรจะจริง เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร เพราะสิ่งที่มีเมื่อครู่นี้หมดแล้ว แล้วจะมีอะไร ถ้าไม่มีสิ่งซึ่งเกิดสืบต่อ จะไม่มีอะไรเหลือเลย แต่เพราะเหตุว่าสิ่งนี้ดับไปก็จริง แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อเร็วมาก ไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่นี้ดับแล้วหมดแล้ว เพราะมีสิ่งใหม่เกิดปรากฏเหมือนไม่ได้ดับ ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่จะได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก แล้วก็จะประจักษ์แจ้งเมื่อไหร่ ชาติไหน ไม่มีใครรู้ แต่ต้องถึงเวลา ไม่ใช่มีใครเป็นตัวตนไปเร่งรัด
ผู้ฟัง มีคำถามสั้นๆ ว่าตายแล้วไปไหน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จิตที่ดับแล้วไปไหน เสียงเมื่อครู่นี้ดับแล้วไปไหน
ผู้ฟัง หมดไปเลย
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าตราบใดที่ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิดก็ต้องเกิด ไม่ใช่ไปไหน ดับแล้วแต่ว่ามีสิ่งที่มีปัจจัยทำให้เกิดสืบต่อ และตัวที่ตายนี่ไม่ได้ไปไหน ดับไปไม่กลับมาอีกเลย
ผู้ฟัง เกิดต่อ ก็คือ ตามเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ เห็นเกิด พอมีได้ยิน เห็นไม่มีแล้ว ถ้าไม่มีได้ยินมาต่อ ก็ไม่มีอะไรเหลือ เหมือนกับจิตขณะสุดท้ายดับแล้ว ตายแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเกิดต่อก็ไม่มีอะไรเลย แต่ว่าเห็นดับไปแล้วใช่ไหม แล้วเดี๋ยวนี้ได้ยิน ฉันใด ตายแล้วจิตขณะนั้นดับ และก็ต้องมีจิตอื่นเกิดสืบต่อ ใครจะไปยับยั้งไม่ให้จิตเกิดสืบต่อ เพราะว่าจิตหนึ่งขณะที่ดับ จิตนั้นแหละเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ยับยั้งไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้นั่งกันอยู่ตรงนี้ ใครยับยั้งไม่ให้จิตเกิดบ้าง เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่าขณิกมรณะ สิ่งที่เกิด แล้วดับ คือตายไปเลยทุกขณะไม่กลับมาอีกเลย แต่ก็มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นสืบต่อ เพราะฉะนั้นไม่ได้ไปไหนเลยแต่มีผลของกรรมที่ได้ทำแล้วเกิดขึ้น ต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ที่ว่าตาย แล้วไม่รู้ว่ากรรมไหนด้วย ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็สามารถที่จะไปเกิดในนรกได้ เกิดเป็นเปรตได้ เกิดเป็นอสูรกายได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ เรียกว่าอบายภูมิ ภูมิที่ไม่เจริญจะฟังธรรมก็ไม่รู้เรื่อง ได้ยินแค่เสียง ตาก็เห็น แต่ไม่รู้ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นมนุษย์ ก็มีมนุษย์ที่พิการตั้งแต่กำเนิดได้ หมายความว่ากรรมที่ได้กระทำที่จะไม่ให้เกิดตา กรรมนั้นแหละก็ทำให้จักขุปสาทไม่เกิดเมื่อถึงเวลาที่ธรรมดาจักขุปสาทต้องเกิด ก็ไม่เกิด ไม่มีใครทำอะไรสักอย่างเลยนอกจากรรม ซึ่งเป็นเจตสิก อกุศลเจตสิก หรือกุศลเจตสิก เกิดกับจิต กระทำกรรมนั้น เป็นกุศลศีล อกุศลศีล ถึงเวลาก็ให้ผล ครั้งแรกของชาตินี้ ซึ่งเป็นผลของกรรมคือจิตที่เกิดขณะแรก ใช้คำว่าปฏิสันธิหรือปฏิสนธิจิตสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ไม่เกิดสืบต่อจากจิตขณะอื่นเลย ปฏิสันธิเฉพาะที่จะต้องสืบต่อจากจุติ ผลของกรรมหนึ่งจะต้องสืบต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ บ้านใหม่มาได้ย้ายเลย ไม่รู้เป็นอย่างไร บ้านใหม่ ถึงเมื่อไหร่ก็รู้
บ้านใหม่อยู่ในน้ำได้ไหม อยู่ในป่าได้ไหม ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ กรรมทำได้ทุกอย่าง ทุกอย่างเป็นธรรม ซ้ำหรือเปล่า ซ้ำจนกว่าจะขณะนี้เข้าใจเลยว่าเป็นธรรม เดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธรรม
ผู้ฟัง โดยทั่วๆ ไปที่บอกว่าให้คิดบวก คำว่าคิดบวกมักจะตามหลังด้วยการบอกว่า เมื่อเราคิดบวก เราก็จะต้องทำ
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว คำนี้ไม่มีในภาษาไทย ไปเอาภาษาอื่นมาแปล แล้วก็ใช้ ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่เราใช้อยู่ เราพูดในภาษาของเราได้ คิดดีๆ ง่ายมาก ไม่เห็นต้องบวกอะไร ใช่หรือไม่ ก็คิดดีๆ คิดให้ถูกต้อง แล้วไปคิดบวกอะไร เพราะฉะนั้นเราจะชินต่อการที่จะตามความไม่รู้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่พูด ถามเลยว่าอะไร จะตอบได้ไหม
ผู้ฟัง กรณีการคิดดีๆ ก็ขึ้นกับการสั่งสมของเราเหมือนกัน ถูกหรือไม่
ท่านอาจารย์ แล้วคิดบวกไม่เหมือนหรือ
ผู้ฟัง เปลี่ยนจากบวก เป็นดีๆ
ท่านอาจารย์ ก็เหมือนกัน จะคิดอะไรก็ตามการสะสมทั้งนั้น คิดดี คิดร้าย ก็ตามการสะสม ถ้าสะสมมาที่จะคิดร้าย แล้วจะให้มาเป็นคิดดีได้หรือ ถ้าสะสมคิดดีๆ เมตตาเขา จะให้ไปคิดร้ายกับเขาได้หรือ
ผู้ฟัง ถ้าเป็นการสั่งสมก็บังคับบัญชาไม่ได้ ถูกหรือไม่
ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธรรม ใครจะไปบังคับ ใครก็คือธรรมทั้งนั้น ไม่มีการบังคับ แต่เป็นไปตามปัจจัย เพราะว่าการฟังธรรมขั้นปริยติ หมายความถึงรอบรู้ ไม่ใช่ฟังเผินๆ แต่เข้าใจ รอบรู้จริงๆ เปลี่ยนไม่ได้เลย เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ ที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างที่ได้ฟังเลย แต่ไม่ใช่ว่าเพราะเรา แต่เป็นเพราะถึงเวลาที่สติสัมปชัญญะ ที่จะรู้ตรงลักษณะนั้นเข้าใจด้วยตามที่ได้ฟัง อบรมไปจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟังอีก
เพราะฉะนั้นจึงมีปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธะ และสอดคล้องกับสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ฟังธรรมเข้าใจเมื่อสักครู่ ก็ตอบได้หมด แต่ยังไม่ถึงสัจจญาณ เพราะเหตุว่ายังไม่มั่นคงชนิดซึ่งไม่เปลี่ยน ความจริงต้องเป็นความจริงอย่างนี้แน่นอน ลืม แต่เมื่อฟังอีกมั่นคงอีก ไม่เปลี่ยน เป็นอย่างนี้ กว่าจะถึงกิจจญาณ ซึ่งหมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นสติและปัญญา ที่ถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยความเข้าใจตัวธรรม ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่ใครสักคน ลักษณะรู้ต้องกำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เสียงปรากฏมีสภาพรู้ ซึ่งขณะนี้ นามธรรม รูปธรรม จิต เจตสิก เป็นนามธรรม รูปเป็นรูปธรรม เกิดดับไม่มีใครรู้เลย กลายเป็นเรานั่งอยู่ที่นี่ ฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ก็คือจิต เจตสิก รูป เท่านั้นทั้งหมด หลากหลายมาก เกิดดับอย่างเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นโลกที่ปรากฏกับความไม่รู้ ต้องต่างกับโลกที่ปรากฏกับปัญญาที่รู้ขึ้น
ผู้ฟัง มีคำถามง่ายๆ ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร สั่งสอนอะไร หรือจะตอบตามหนังสือตำราที่เราเรียนมาอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ตอบไปแล้วว่าความจริง ถามมาว่าความจริงอะไร ต้องให้เขาคิด นี่เป็นการอนุเคราะห์ ให้เขาเข้าใจธรรมด้วยตัวเขา ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเลย ต่อให้เราไปพูดว่า ธรรมเป็นอนัตตา ไม่ต้องเด็กวัยรุ่น วัยไหนก็ลืมแล้ว ลืมแล้วอยู่ตลอด ใช่หรือไม่ แต่ถ้าให้เข้าใจด้วยตัวของเขาเอง เขาจะลืมหรือ ในเมื่อเขาคิดเอง ไตร่ตรองเอง มั่นใจเองที่จะตอบ
สิ่งนี้เป็นการที่เรียกว่า ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ที่ไปเฝ้าพระองค์ตรัสถาม จักขุวิญญาณ จิตเห็นเที่ยงหรือไม่เที่ยง ถามทำไม ทำไมไม่บอกไปเลย เขาจะได้คิดไตร่ตรอง เพราะกำลังเห็น มีจริงๆ
ผู้ฟัง เป็นความจริง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ให้เขาต้องไปแสวงหา พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แล้วก็คิดเอง จะได้เป็นปัญญาของเขา บางคนก็บอกว่าเขาถาม ทำไมไม่ตอบ มาให้เขาคิด ใครตอบ ปัญญาของใคร ความเข้าใจของใคร จะเอาปัญญาของคนอื่นหรือ หรือว่าต้องการที่จะรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพียงฟังคนอื่นแล้วจำไว้ ขอยืมปัญญาหน่อยได้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ได้ พระธรรมลึกซึ้งอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว
ท่านอาจารย์ โดยเฉพาะด้วยความเป็นอนัตตา แต่ถ้าด้วยความเป็นตัวตน ที่ใช้คำธรรมดาว่า สู้กันใหญ่ สู้ตายใช่ไหมด้วยความเป็นเรา อาจหาญร่าเริงที่จะสู้ แต่ถ้ารู้ว่าไม่ใช่เรา สู้ไม่ไหว ใช่ไหม เพราะไม่ใช่เรา จะสู้อะไรกับกิเลส ไหนลองสู้กิเลส เมื่อสักครู่นี้อาหารอร่อยหรือไม่ สู้ได้ไหม สู้ไหวไหม
ผู้ฟัง ตักอาหารมาหลายอย่างเลย
ท่านอาจารย์ นักรบยิ่งไวยิ่งไกล อยู่ต่อหน้าอย่างนี้ ไม่มีปัญญาแล้วจะเอาอะไรสู้ อะไรจะชนะ แต่ปัญญาที่รู้ความจริงนั้น สามารถที่จะละการยึดถือได้ ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราสำคัญที่สุด เพราะเป็นธรรม
ผู้ฟัง ในเมื่อท่านอาจารย์กล่าวว่า ขอยืมปัญญาใครก็ไม่ได้ แต่ในเมื่อปัญญาน้อยก็ต้องอาศัยปัญญาของ
ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ขอยืม ไปเอาของคนอื่นมาไม่ได้ ขอยืมคือต้องเป็นของคนนั้น
ผู้ฟัง แต่ก็ต้องอาศัยปัญญาของผู้รู้
ท่านอาจารย์ อาศัยคำ เพราะฉะนั้นมีคำว่า ปัญญัตติพละ หมายความว่าคำที่สามารถที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง เพราะทุกวันนี้ที่ฟัง ก็ต้องอาศัยปัญญาที่ท่านอาจารย์กล่าว เพื่อให้เข้าใจขึ้นๆ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องตามพระไตรปิฎกที่ได้กล่าวไว้แล้ว
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กรุณาขยายบัญญัตติพละ
ท่านอาจารย์ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนิ่ง ไม่พูดสักคำ สัตว์โลกมีโอกาสจะได้เข้าใจธรรมหรือไม่ เพราะฉะนั้นทุกคำ ไม่ใช่ตัวธรรม แต่คำนั้นส่องถึงธรรมที่มีจริงๆ แล้วถ้าไม่มีคำเลย ไม่มีทางเลยที่จะได้เข้าใจธรรมได้ เพราะฉะนั้นมีคำว่าปัญญัตติกับปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรมคือธรรมที่มีจริงๆ เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย ต้องเป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน เป็นปรมัตถธรรม
ไม่ต้องพูดก็มีเห็น ใช่หรือไม่ ไม่ต้องพูดก็มีได้ยิน แต่ไม่ต้องพูดรู้หรือไม่ว่าอะไร เห็นก็มี ได้ยินก็มี คิดก็มี และไม่พูดสักคำ แล้วจะรู้หรือไม่ ว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นจึงมีคำเป็นปัญญัตติ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ทางตาก็โดยรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นอรรถบัญญัติ ทางหูก็เป็นสัทบัญญัติ แต่ละภาษาก็ใช้คำที่จะเข้าใจความหมายของคำนั้นได้
เพราะฉะนั้นคำใดมีพลัง เตชะ ธรรมเตชะ เป็นปัญญัตติพละ สามารถที่จะทำให้คนฟังไตร่ตรองเข้าใจได้ จากไม่รู้เลย เมื่อได้ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจคำนั้นในภาษานั้นว่า หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แล้วจะไม่เข้าใจหรือ ไม่ได้ไปพูดเรื่องอื่นเลย พูดถึงสิ่งที่กำลังมี ให้ฟังและไตร่ตรอง ไม่ใช่ต้องไปคิดด้วยความเป็นเรา เข้าใจเมื่อไร จิตและเจตสิกทั้งนั้นเลย เจตสิกก็ทำงานของเจตสิกไปแต่ละเจตสิก สติก็ทำหน้าที่สติ ปัญญาก็ทำหน้าที่ปัญญา เกิดดับพร้อมกันทุกขณะรวดเร็ว พอไม่เข้าใจก็เราทั้งหมดเลย
ถ้าตามคำในพระไตรปิฎกไม่มีผิด ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดเองด้วย แต่ถ้าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ประมาท ผิวเผิน ต้องคิด ฟังแล้วบอกว่า ฟังทำไมธรรม ต้องไปปฏิบัติ เห็นหรือไม่ ไม่ต้องไปหาความเห็นผิด ซึ่งใหญ่โตมากกว่านี้ แค่นี้ก็ผิดแล้ว ไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย การพูดความจริง เป็นการอนุเคราะห์อย่างยิ่ง เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่หวังร้ายต่อเพื่อนเลย เพราะรู้ว่ากำลังเห็นผิด กำลังเข้าใจผิด และผลของการเห็นผิด เข้าใจผิดมากมายสักแค่ไหน ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว สะสมต่อไป เห็นผิดต่อไปทุกชาติ พอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ไม่ไปเฝ้า ไม่ฟังธรรม
สนทนาธรรมที่กนกรัตน์รีสอร์ทอัมพวาจังหวัดสมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงพระนามที่สำคัญที่สุดก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้คำนี้คำเดียว จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่เริ่มฟังเริ่มศึกษาพระธรรมอย่างไร
ท่านอาจารย์ เริ่มต้นคือ ยังไม่รู้อะไรเลย แต่ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครจะมีชื่ออย่างนี้ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นพระคุณนาม จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และก็ทรงตรัสรู้ความจริงยิ่งด้วยปัญญา ซึ่งไม่มีใครเปรียบเทียบได้เลย แม้แต่เทวดา พรหม หรือใครก็ตาม มีสิ่งที่ไม่เข้าใจ เมื่อมาเฝ้ากราบทูลถาม ก็สามารถที่จะเกิดความเข้าใจของตนเอง นี่เป็นประโยชน์สูงสุดของการฟังธรรมแต่ละครั้ง ไม่ใช่ฟังว่าผู้พูดเข้าใจอย่างนั้น รู้อย่างนี้ แต่คำที่ได้ฟัง ธรรมเตชะ มีกำลังที่จะทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ยินคำที่สามารถที่จะเข้าใจและก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเอง
เพราะฉะนั้นใครจะให้อะไร ทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย ก็หายไป สูญไปได้ แต่ถ้าเป็นความเข้าใจของตนเอง และได้จากใคร คนนั้นต้องเป็นผู้ที่ทรงปัญญาและบารมี พร้อมทั้งพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ที่เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจธรรมคือสิ่งที่มีจริงซึ่งกำลังปรากฏ เพราะส่วนใหญ่เราเป็นคนที่ผิวเผิน ไม่รอบคอบ เพราะเหตุว่าฟังธรรมน้อย ได้ยินเพียงคำเดียวก็คิด แล้วก็คิดเองต่อไปอีก แต่ถ้าไตร่ตรองคำที่ได้ฟัง แล้วก็คิดไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ เช่นคำว่า ธรรมไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏมีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นธรรมทั้งหมด แต่ไม่รู้
เพราะฉะนั้นรู้ได้เลย แม้แต่คำว่าธรรม เราเผินแค่ไหน ที่คิดว่าเมื่อมีพระรัตนตรัย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ แสดงความจริงตามที่ได้ตรัสรู้ให้ได้ฟัง เข้าใจเพียงเท่านี้ไม่พอ เพราะว่ายังไม่รู้เลยว่าเพียงเท่านี้ แล้วธรรมคืออะไร แต่จากแต่ละคำที่ได้ฟัง รอบรู้หมายความว่า เข้าใจจริงๆ ในคำนั้นไม่เปลี่ยน ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ขณะนี้มีอะไรหรือไม่ หรือไม่มีอะไรเลย เมื่อมีสิ่งนั้นมีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงๆ ในภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม หมายความว่าสิ่งที่มีจริง มีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ ว่ามีจริง เช่นเสียงมีจริงหรือไม่ ปรากฏให้รู้เป็นเสียง เพราะฉะนั้นเสียงก็มีจริง เสียงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ภพไหน ภูมิไหน สิ่งใดก็ตามที่มีจริง สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
เพราะฉะนั้น เรารู้ธรรมหรือยัง มีจริงทุกชาติ กี่ชาติแล้วแสนโกฏกัปป์ มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ ทั้งหมด ซึ่งมีเมื่อวานนี้ วันก่อนนี้ ตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ซึ่งทุกคนก็จากไปแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร สิ่งที่มีค่าที่สุดที่เกิดมาเป็นมนุษย์ สามารถที่จะฟังเสียงที่ได้ยินว่า เสียงนั้นเป็นไปตามความหมายของสิ่งที่มีจริงๆ เช่น พูดว่าเห็น พูดว่าได้ยิน เป็นไปตามสิ่งที่มีจริง พูดว่าเห็นในภาษาที่ตนเข้าใจ ก็ไม่ได้คิดถึงได้ยินหรืออะไรเลย นอกจากคิดถึงเห็น พูดถึงโกรธ คำนี้ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า หมายความถึงความจริง มีจริงๆ ทุกคนก็โกรธ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า นั่นเป็นธรรมซึ่งมีจริง
เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้รู้ความจริงอื่น นอกจากเดี๋ยวนี้มีจริงๆ แต่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่า ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน
อ.คำปั่น นี่คือเบื้องต้น ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เป็นธรรมดาว่า ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีทางที่ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก จะเจริญขึ้นได้เลย จะไปนั่ง ไปทำอะไรที่ผิดปกติแล้ว จะให้ปัญญาเกิด นั่นไม่ใช่ตามพระธรรมคำสอนเลย
เพราะฉะนั้นหนทางที่ถูกต้อง คือตั้งใจฟังพระธรรมด้วยความเคารพจริงๆ ความรู้ความเข้าใจจึงจะเจริญขึ้น ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นจริงของพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เป็นธรรมเดช ธรรมเตชะ เพราะว่าสามารถที่จะเผาหรือทำลายบาปธรรมทั้งหลาย มีอวิชชา ความไม่รู้ มิจฉาทิฎฐิ ความเห็นผิด เป็นต้น เพราะฉะนั้นความไม่รู้ที่สะสมมานานแสนนาน ความเห็นผิดที่สะสมมานานแสนนาน เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมคำสอน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ก็จะค่อยๆ ขัดเกลาในสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่มีค่าจริงๆ ที่จะได้สะสมความเข้าใจความจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งน้อยคนที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟัง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
