ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810


    ตอนที่ ๘๑๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

    วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    อ.คำปั่น การเพิ่มพูนความเข้าใจในเบื้องต้น ถึงความประเสริฐของพระรัตนตรัย เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ การที่จะศึกษาธรรม ไม่ใช่ว่ารีบร้อนที่จะเข้าใจทั้งหมดเลย แต่ทีละ หนึ่งคำ เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริง ทุกคนก็อยู่ในโลกมานาน ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้โลกเดียว แต่ทุกโลกก็ไม่พ้นจากเห็น ไม่ว่าจะโลกไหน แล้วก็ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เหมือนเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าโลกไหน เมื่อไร แต่ก็ไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูกอะไรเลยทั้งสิ้น เมื่อเกิดมาแล้ว แม้แต่เพียงเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่เคยคิดไม่เคยเข้าใจว่า แล้วจากไม่เห็น นอนหลับสนิท แล้วมีเห็นได้อย่างไร หรือว่าขณะนี้ยังไม่มีเสียงเลย แล้วมีเสียงได้อย่างไร ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะความไม่รู้ และสภาพธรรมไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง หรือดลบันดาลให้เป็นอย่างอื่นได้ ไม่ให้เห็นเดี๋ยวนี้ได้หรือไม่ ไม่ได้ เห็นเกิดแล้ว ไม่ให้ได้ยินได้หรือไม่ ไม่ได้ ได้ยินเกิดแล้ว ไม่ให้คิดนึกได้หรือไม่ ไม่ได้ คิดนึกเกิดแล้ว แต่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีเลยสักอย่างเดียว

    แต่มีผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพราะมีความเข้าใจว่า ควรหรือที่จะมีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเลย นานแสนนานมาแล้ว เพราะสิ่งใดที่มีจริง สิ่งนั้นสามารถที่จะรู้ความจริงได้ถูกต้อง ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เพราะเหตุว่าไม่เคยสนใจ ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยคิด ว่าสามารถจะรู้ได้ ก็จากโลกนี้ไปโดยที่ว่า อยู่ไป เห็นไป ได้ยินไป สุขไป ทุกข์ไป ตื่นเต้น ตกใจสารพัด แล้วก็จากไป ไม่มีอะไรเหลือเลย

    เพราะฉะนั้นแต่ละวันตั้งแต่เป็นเด็ก เกิดมาก็ไม่มีอะไรที่เหลือถึงวันนี้ เมื่อวานนี้เองก็ไม่มีอะไรเหลือถึงวันนี้ และวันนี้ขณะนี้ก็ไม่เหลือจริงๆ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในขณะนี้ เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป โดยที่ไม่มีใครรู้เลย ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ ได้ยินเพียงเสียงแล้วก็หมดไป แล้วก็จำคำคือเสียงต่างๆ ที่ส่องถึงความหมาย เป็นไปตามความหมายแต่ละคำอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครไปคิด ไปทำ แต่ก็เป็นไปตามธรรมคือสภาพธรรมที่เป็นอย่างนี้เอง

    ด้วยเหตุนี้ก่อนอื่นก็จะต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ การศึกษาธรรมเพื่อมีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกในสิ่งที่มีและกำลังมี เพราะเหตุว่าเวลาที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ทุกเวลา ก็คือขณะที่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นต่อๆ ไป เพราะบังคับบัญชาไม่ได้ เหมือนกับไม่ได้คิดเลยว่า จะมาสู่โลกนี้ก็มาแล้วสู่โลกนี้ และจะจากโลกนี้ไปเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องจากโลกนี้ไป แล้วก็ไม่รู้เลยว่า เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ก็มีโลกที่เหมือนกับโลกนี้ที่เราได้เกิดมา แต่เมื่อจากโลกนี้แล้วจะไปสู่โลกไหน ไม่สามารถจะรู้ได้ นี่ก็คือโอกาสที่จะได้ฟังสิ่งซึ่งมีจริง และสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง ใครจะคิด การที่จะเข้าใจสิ่งที่มีตามปกติธรรมดา ต้องอาศัยกาลเวลานานสักเท่าไร ถ้าไม่ได้ยินคำสอนของผู้ที่ได้ตรัสรู้ พากเพียรเองหมดทาง ไม่มีทาง อย่างไรๆ ก็ไม่รู้ ก็เห็นเดี๋ยวนี้ แล้วทำอย่างไรจะรู้ได้ ถ้าไม่มีการฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว และได้ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นจึงไม่ประมาทสิ่งที่มีจริงขณะนี้ มีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริง ซึ่งสามารถที่จะทำให้เข้าใจได้ แม้ในขณะนี้ ทีละเล็กทีละน้อยว่า สิ่งนี่มีจริง กำลังฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง

    อ.วิชัย ในช่วงแรกก็กล่าวถึงความงดงามของสถานที่ แต่ความงดงามจริงๆ ก็คือธรรมที่ดีงาม เมื่อศึกษาพระธรรมก็รู้ว่า ธรรมที่ดีงามเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แม้แก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย การที่จะรู้จักธรรมที่ดีงามและอบรมธรรมที่ดีงามให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ แต่ละคำ เผินไม่ได้เลย ที่นี่สวยเมื่อไร

    อ.วิชัย เมื่อเห็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เห็นจะบอกว่าสวย ได้หรือไม่

    อ.วิชัย ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏเมื่อเห็นทุกขณะ ลืมไม่ได้เลย ที่บอกว่าเห็นก็ต้องหมายความว่า ขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทางตา ต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีตา ไม่มีทางที่จะเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งที่น่าพอใจสวยงามต่างๆ แต่ว่าต้องมีสิ่งที่มีจริง คือมีสิ่งที่ปรากฎ จึงกล่าวได้ว่าสวย และต้องมีสภาพที่เห็นด้วย แยกแล้ว มีจริงเดี๋ยวนี้เลย ศึกษาธรรมก็คือศึกษาให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี เพื่อเข้าใจถูกต้อง มีจริงแน่นอน และค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ มีเห็น ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็นแน่นอน และเห็นก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้าไม่มีตา ที่เราใช้คำว่า ตา ก็คือรูปที่มีลักษณะเฉพาะที่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ต่างกับหู แต่ละคำเป็นไปตามความหมาย ถ้ากล่าวถึงหูไม่ได้คิดถึงตา ถ้ากล่าวถึงจมูกก็ไม่ได้คิดถึงตา เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังมีตา ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น แค่นี้ คือธรรม ตาก็เป็นธรรม สิ่งที่สามารถกระทบตากำลังปรากฏว่ามีจริงๆ ก็เป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรม และคำว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ง่ายที่สุด ถ้าพูดถึงธรรมคืออะไร ก็คือสิ่งที่มีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง แล้วก็ไม่ปะปนกันด้วย เช่น ตาไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แล้วจิตที่เกิดเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    รู้จักธรรม ๓ อย่างแล้วใช่หรือไม่ รู้จักตา รู้จักสิ่งที่กระทบตาและรู้จักจิตเห็น ซึ่งกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ ทั้งหมดเป็นธรรมหมายความว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เกิดขึ้นโดยที่ว่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่รู้ว่าแม้แต่จะมีตาเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ไม่รู้ เพราะบางคนก็มีตา บางคนก็ไม่มีตา ทั้งๆ ที่อยากมีตา แต่ก็ไม่เหมือนคนอื่นที่มีตา พวกที่ไม่มีจักขุปสาทะ ตาบอด ปรารถนาสักเท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ เพราะเหตุว่าไม่มีตา ถึงมีตากำลังนอนหลับสนิทก็ไม่เห็น

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้เลย ชีวิตเป็นไปแต่ละขณะโดยความไม่รู้ โดยการที่ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เหตุที่จะทำให้เกิดสิ่งต่างๆ เดี๋ยวนี้โดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้ถึงความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่แสนสั้น เกิดขึ้นปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือถ้าไม่ลืมคำที่ได้ฟัง ก็จะมีความเข้าใจว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ก็คือเมื่อได้ยินคำว่า ธรรม อย่าเพิ่งรีบร้อนผ่านไป ต้องรู้ว่ามีจริง ถ้าไม่มีจริง จะฟังทำไม ฟังเรื่องที่ไม่จริง สิ่งที่มีจริงต้องสามารถที่จะรู้ได้ว่ามีจริงแน่นอน เพราะเหตุว่ากำลังปรากฏ จะกล่าวว่าไม่จริงก็ไม่ได้ แต่ฟังเพื่อให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมดนี้ และทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงให้คนอื่นได้ค่อยๆ เข้าใจถูกตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย

    เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏทางตาน่าชอบใจมากใช้คำว่า สวย และสิ่งที่ปรากฏทางตามี ๒ อย่าง สิ่งที่น่าพอใจก็มี สิ่งที่ไม่น่าพอใจก็มี แม้แต่ที่ชายทะเล ชายหาด มีทั้งสิ่งที่น่าพอใจและมีทั้งสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ที่ไหนๆ ก็เหมือนกันหมด แต่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมาก จนรู้ไม่ได้เลยว่า สิ่งที่น่าพอใจเพียงเล็กน้อยสั้นแสนสั้น และต่อไปก็มีสิ่งที่น่าพอใจสั้นแสนสั้น จนเดี๋ยวนี้จะบอกได้ไหมว่า แม้แต่เพียงดอกไม้ดอกหนึ่ง ขณะไหน ตรงไหน เป็นสิ่งที่น่าพอใจ และขณะต่อไปขณะไหนเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ

    เพราะฉะนั้นนี่คือสภาพธรรม ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ตั้งแต่ตื่นจนถึงขณะนี้ สภาพธรรมเกิดดับเท่าไรแล้ว นับไม่ถ้วนเลย เหมือนเป็นคนเก่า เป็นเราตั้งแต่เช้าตื่นมา ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่เห็นก็ไม่เหมือนเดิม ที่กรุงเทพฯก็เห็นอย่างหนึ่ง ที่นี่ก็เห็นอีกอย่างหนึ่ง นอกห้องก็เห็นอย่างหนึ่ง ในห้องก็เห็นอีกอย่างหนึ่ง จะเป็นเห็นอย่างเดียวกันได้อย่างไร แม้แต่เสียงแต่ละเสียง ก็ไม่ใช่ขณะเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมี เมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ทีละหนึ่งขณะ สืบต่อเร็วจนไม่ปรากฏว่าเกิดดับเลย แต่ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีการเกิดดับเปลี่ยนแปลง เห็นต้องมีแต่เห็น จะไม่มีโอกาสได้ยินเลย ตั้งแต่เกิดมาก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีการที่จะแก่ จะเจ็บ หรือว่าจะตาย จะจากโลกนี้ไปเลย แต่ชีวิตทั่วๆ ไปที่เราเข้าใจกันก็คือว่า มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย แต่เข้าใจผิด คิดว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับสืบต่อ ยากที่จะรู้ได้แม้ขณะนี้ แต่การฟังพระธรรม ก็จะทำให้เริ่มมีความเข้าใจถูกตามความเป็นจริง กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่เป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ต้องอาศัยการเข้าใจขึ้นๆ

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงดอกไม้ ถ้ายังเป็นสภาพที่ยังสด หรือว่ายังดูสวยงามอยู่ แต่ถ้าทิ้งไว้จะเหี่ยว ดูไม่สวยงาม ความเข้าใจอย่างนี้จะเป็นการเข้าใจธรรมหรือไม่

    ท่านอาจารย์ นี่คือความคิด ถูกต้องหรือไม่ แต่เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีลักษณะจริงๆ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่น่าพอใจ อีกอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ยังไม่ทันจะรู้เลยว่าเป็นอะไร เห็นหรือไม่ ความรวดเร็วของความจริงซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เสียงดังมาก ยังไม่ทันรู้ว่าเสียงอะไร แต่ว่าเป็นเสียงที่น่าพอใจไหม ตกใจกันทุกคน จะเป็นเสียงฟ้าผ่า หรือจะเป็นเสียงระเบิด หรือจะเป็นเสียงปืน หรือจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร เสียงนั้นไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นเสียง เป็นสิ่งที่ปรากฏ เมื่อจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้น ซึ่งแม้แต่การได้ยินเสียงนั้น ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา บางคนนอนหลับสนิท ไม่ได้ยินเลย แต่คนที่หลับอยู่ ตื่นขึ้นได้ยินเสียง ก็ห้ามไม่ได้

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทราบว่า แม้แต่การเกิดและเป็นไปแต่ละหนึ่งขณะ ก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ว่าเลือกไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งถ้าค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะทำให้ละคลายการยึดถือในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งคิดว่าเที่ยง คือไม่มีการที่จะเสื่อมสิ้นไปเลย ยั่งยืนอยู่ตลอดไป ซึ่งเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมก็จะทำให้เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้ว่าเสียงนั้นน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ สิ่งที่ปรากฏน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ให้ทราบว่าลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา หรือว่าเสียงต่างๆ ทางหู เสียงเบา เสียงเพราะ เสียงหวาน เสียงดังเกินไป หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่กลิ่นก็หลากหลายมาก ทุกคนก็ประสบด้วยตัวเอง บางกลิ่นกระทบแล้วก็ไม่พอใจ รสเช่นเดียวกัน สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย สุข ทุกข์ ก็ต่างกันมาก เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็คือว่า มีสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไป เร็ว และก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.วิชัย ถ้าคิดถึงความดีงาม ก็จะคิดถึงการที่จะช่วยเหลือ อุปการะหรือการที่งดเว้นจากการกระทำกรรมชั่วต่างๆ แต่ถ้ากล่าวถึงการที่จะมีโอกาสฟังพระธรรม และเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏบ้าง เข้าใจตาบ้าง เข้าใจเห็นบ้าง จะเป็นความดีงามที่จะอุปการะเกื้อกูลอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คิดไกลเลย ดีงามที่จะช่วยคนอื่น เข้าใจธรรมดีหรือไม่ งามหรือไม่ กับการที่ไม่เข้าใจเลย มีธรรมปรากฏทั้งๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกวันก็ไม่รู้ ความไม่รู้ดีหรือไม่ ความไม่รู้งามหรือไม่ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจว่า ดีงามในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการที่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เป็นสิ่งที่ดีงามแน่นอน เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจผิด ไม่หลงผิด แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ประเสริฐกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ซึ่งจะนำความดีงามยิ่งกว่านี้มาให้มากขึ้นได้ ก็ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นจุดเริ่มต้นของความดีงาม ซึ่งจะดีงามยิ่งขึ้น เพิ่มขึ้น จนถึงการดับกิเลสหมด เพราะทุกคนก็รู้ว่ากิเลสไม่ดี แล้วก็หาทางดับก็ไม่หา เพราะไม่รู้ว่าไม่ดี ไม่รู้จริงๆ ถามหลายคนว่า ฟังธรรมหรือไม่ เขาก็ไม่สนใจ ฟังทำไม ไม่เห็นสนุก แต่ละคำก็ยาก แล้วฟังไปก็ไม่รู้เรื่อง คิดว่าธรรมเป็นภาษาบาลี แต่ความจริงแม้พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงธรรมแก่ชาวมคธ ในภาษาของเขาคือภาษามคธี ซึ่งเขาเข้าใจได้ ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าในภาษาใดๆ ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเริ่มต้นความดีงาม คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่กล่าวถึงความดีงาม ที่เข้าใจธรรมว่ามีลักษณะอย่างไร จะเป็นการอุปการะความดีงามให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เร็วเหลือเกินใช่หรือไม่ จากฟังนิดหนึ่งก็จะดีงามมากๆ แต่จากการที่รู้ว่าได้ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนี้เข้าใจหรือไม่ ที่ได้ยินได้ฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจหรือไม่ ถ้าเข้าใจแล้วเข้าใจขึ้นอีกได้หรือไม่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เราฟังกี่คำ กับคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทั้งหมดเพื่ออุปการะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จนกระทั่งความดีงามเพิ่มขึ้น จนกระทั่งกับกิเลสได้หมด แล้วก็จะไม่ฟังหรือ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนรู้ตัวว่ามีกิเลสมาก เพราะเหตุว่าถ้าไม่ฟังธรรม ไม่รู้แม้แต่ว่ามีกิเลส บางคนบอกว่าเขาไม่มีกิเลส วันนี้ไม่ได้มีกิเลสเลย ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นทุจริตเลย เขาไม่มีกิเลส แต่เพราะไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ การที่จะเข้าใจธรรมได้ถูกต้องจริงๆ ไม่คลาดเคลื่อน ไม่ผิดก็คือว่า เมื่อได้ยินแล้วไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกต้องของตนเอง ซึ่งไม่เปลี่ยน เมื่อเข้าใจแล้วว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ก็เริ่มที่จะเข้าใจว่า เห็นเดี๋ยวนี้มีจริง เป็นธรรม ถ้ากล่าวว่าธรรมแล้ว หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ แล้วก็ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย

    เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตาคือเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งซึ่งเกิดแล้ว โดยที่ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เกิด อย่างโกรธ ขุ่นใจ ไม่มีใครชอบ แต่ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นของใคร ไม่ได้ทำให้เกิดสักหน่อย หรือแม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับแล้ว สิ่งที่ไม่มีแล้วจะเป็นของใคร เพราะไม่มีไม่ใช่ว่ามีอยู่ จะได้เป็นของใคร แต่ไม่มีจริงๆ ถ้าศึกษาต่อไปความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น จนกระทั่งมั่นคง ว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะเหตุว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน ในขณะที่ได้ยินต้องไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย และเช่นเดียวกัน ในขณะที่กำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ต้องไม่มีเสียงในสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ฟังเพื่อมีความเข้าใจถูกว่า แต่ละหนึ่งมีจริง เกิดมาในโลกนี้ก็จริง เห็นก็จริง คิดก็จริง สุขก็จริง ทุกข์ก็จริง แล้วก็จากโลกนี้ไปก็จริง แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยก็จริง แต่ความจริงยังไม่ต้องรอจนถึงจากโลกนี้ไป หรือถึงตอนค่ำ หลับสนิทไม่มีอะไรเหลือเลย แม้ขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงพิจารณาไตร่ตรองว่า แต่ละคำ ถูกหรือไม่ จริงหรือไม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ใครเป็นผู้ที่กล่าวคำนี้ และกล่าวคำนี้ได้อย่างไร คิดเอาเองหรือ หรือว่าได้ประจักษ์ความจริงแทงตลอด จนกระทั่งมีคำที่กล่าวถึงคำจริงนั้น ให้คนได้ศึกษาเข้าใจตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจ เป็นปริยัติ การฟังพระพุทธพจน์ ไม่ได้ฟังคำของคนอื่นเลย คนที่ฟังพระพุทธพจน์ จะรู้ได้เลยว่าเป็นคำใหม่ ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน ตั้งแต่เกิดมาไปโรงเรียนก็ไม่ได้สอนเรื่องนี้เลย ก็เป็นเรื่องวิชาการต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระพุทธพจน์ เป็นพระธรรมแล้ว ต้องเป็นคำใหม่ทั้งหมด แม้แต่คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ได้กล่าวว่าคน สัตว์ สิ่งของ แต่กล่าวถึงธรรม เพราะว่าทุกอย่างที่มีจริง มีจริงชั่วขณะที่เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็ดับไป เมื่อดับไปแล้วเป็นของใครได้

    ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ ดับแล้ว หมดแล้ว อยู่ไหน หาอีกไม่ได้เลย แล้วจะเป็นของใคร ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็เหมือนได้ยินเมื่อสักครู่นี้ ทันทีที่ได้ยินก็ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่ใช่ของใคร เกิดมาก็มีหู มีตา มีคิด มีนึก มีจำ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ไมมีเราเป็นเจ้าของ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไป

    นี่คือเบื้องต้นของคำสอน ซึ่งคำสอนที่ถูกต้องเป็นความจริง จริงตลอดไม่เปลี่ยนเลย จนกระทั่งสามารถที่จะถึงการดับกิเลส เป็นพระอรหันต์ได้ ก็จากความเข้าใจความจริง ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ ซึ่งเพียงเริ่มต้นที่จะเข้าใจความจริง ซึ่งมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ที่สำคัญที่สุด มรดกที่ล้ำค่าสำหรับชาวพุทธก็คือ ความเข้าใจจากการได้รับฟังพระธรรม พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก็เห็นว่า ชาวโลกไม่รู้ ด้วยพระมหากรุณา จึงทรงแสดงความจริง เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เท่านั้นเอง ไม่ใช่อย่างอื่นเลย เพราะจะมีสิ่งใดที่ประเสริฐเท่ากับความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความรู้ถูกในสิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม จุดประสงค์คือเพื่อเข้าใจถูก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    2 มิ.ย. 2568