ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808


    ตอนที่ ๘๐๘

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกำลังกระทบแข็งตรงไหน ก็เข้าใจว่านั่นคือร่างกายของเรา จะเป็นแขน จะเป็นนิ้ว จะเป็นขา จะเป็นอะไรก็ตาม คิดว่ามีอยู่แล้ว แต่จริงหรือ ในเมื่อไม่ปรากฏ แต่จำไว้ต่างหาก ว่ายังมีอยู่ นี่คือสัญญาวิปลาส ที่จำผิดคลาดเคลื่อนมานานแสนนาน แม้สิ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นเกิดดับ แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับเลย แต่ถ้าฟังอย่างนี้ก็เพิ่มความเข้าใจว่า ไม่มีเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแน่นอน แต่มีรูปแต่ละรูปซึ่งเกิดเพราะสมุฏฐาน ปัจจัยที่ทำให้รูปนั้นเกิดต่างๆ กันไป กรรมทำให้รูปเกิด รูปนั้นเกิดเพราะกรรมก็ได้ หรือว่ารูปนั้นเกิดเพราะจิต ไม่ใช่เกิดเพราะกรรม หรือรูปนั้นเกิดเพราะอุตุ ความเย็น ความร้อน ไม่ใช่รูปที่เกิดเพราะกรรม ไม่ใช่รูปที่เกิดเพราะจิต หรือรูปนั้นเป็นรูปที่เกิดเพราะอาหารที่บริโภคกลืนกินเข้าไป ไม่ใช่รูปที่เกิดจากอุตุ ไม่ใช่รูปที่เกิดจากจิต ไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรม ที่ตัวทั้งหมดมีรูปพร้อมทั้ง ๔ สมุฏฐาน ทีละกลุ่มเล็กๆ เล็กสุดที่จะประมาณได้

    เพราะเหตุว่าขณะนี้สิ่งที่เราคิดว่าแข็งแรง มั่นคง แตกย่อยทำลายละเอียดยิบในพริบตา เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียด จนบอกไม่ได้เลย แม้แข็งที่ปรากฏกระทบ ว่ารูปนั้นเกิดเพราะกรรม หรือว่าเกิดเพราะจิต หรือว่าเกิดเพราะอุตุ หรือว่าเกิดเพราะอาหาร เพราะแข็งที่จะปรากฎได้ ไม่ใช่เพียงกลุ่มที่เล็กที่สุด ที่ภาษาบาลีใช้คำว่ากลาปะ แค่หนึ่งกลาปะ ไม่มีทางเลยที่จะปรากฏ เหมือนเดี๋ยวนี้เห็นเพียงหนึ่งที่ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น ปรากฏหรือเปล่า แต่ต้องมี ใช่หรือไม่ มากมายจนกว่าจะปรากฏรูปร่างสัณฐานและจำได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความจริงว่า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ไม่ลืมคำที่ได้ฟัง ปัญญาถึงขั้นที่จะรู้ว่า ขณะที่แข็งปรากฏ แข็งนั้นเกิดและดับ นี่คือปัญญาที่อบรมแล้ว จึงได้ฟังว่า ทุกคำที่ได้ฟัง ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เป็นความจริงถึงที่สุด ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ มิฉะนั้นยังมีเรา แต่เมื่อใดที่ปัญญาเห็นแจ้งจริงๆ ว่า ขณะนั้นไม่มีอะไรนอกจากแข็งซึ่งเกิดและดับ เมื่อนั้นจึงจะค่อยๆ สลาย คลาย สละการที่เคยยึดถือว่ามีเรา และถ้าตราบใดที่ยังมีเรา ไม่มีทางที่กิเลสจะดับได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม พระธรรมอันตรธาน และผู้ที่ทำลายพระธรรมก็คือ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ที่จะดำรงรักษาพระธรรมไว้ว่า ลึกซึ้งและเป็นสิ่งที่กำลังมี และปัญญาความเห็นถูก ไม่ใช่เห็นถูกอย่างอื่น เดี๋ยวนี้มีสิ่งใด ปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ จึงสามารถที่จะรู้ความจริงว่า แม้แข็งที่ปรากฏขณะนี้ ก็ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้แล้วว่าเกิด เกิดแน่ๆ เพราะปรากฏ ดับแน่ แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับ แต่จากการฟัง ขณะนั้นมีคิด คิดไม่ใช่การรู้แข็ง เพราะฉะนั้นขณะที่คิด แข็งไม่ได้ปรากฏ เพราะไม่มีสภาพที่กำลังรู้เฉพาะแข็ง ซึ่งไม่ใช่คิด ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง ที่ฟังเพื่ออะไร สะสมไว้ๆ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่อยากจะให้ถึงเร็วๆ ประจักษ์แจ้งเร็วๆ ขวนขวายเร็วๆ ที่จะไปทำให้รู้ นั่นคือผิด ไม่ดำรงพระสัทธรรม ไม่รักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทำให้เข้าใจผิด ด้วยเหตุนี้ ต้องตรงทุกคำ จนกว่าปัญญาสามารถที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นสัจธรรม เป็นความจริง

    อ.อรรณพ รูปที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ข้อ ๑๒๙ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา กราบเรียนอาจารย์ครับ รูปที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันหมายถึงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ไม่มีปัญญาจะเห็นได้หรือไม่ เดี๋ยวนี้รูปไหนหยาบ ไม่ได้รู้สักรูปเดียว เกิดแล้วดับแล้ว รูปไหนประณีต ละเอียด ไม่รู้อีก รูปไหนภายใน ภายนอก ทั้งๆ ที่ความจริงรูปเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้จักรูป จะรู้หรือไม่ ว่าอดีตหมายความว่าอะไร และอนาคตหมายความว่าอะไร อดีตคือสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลยจะเป็นอดีตได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นก็ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดปรากฏแล้วดับ จึงสามารถที่จะรู้ว่า รูปนั้นไกลหรือใกล้ เลวหรือประณีต ภายในหรือภายนอก ทีละหนึ่ง อันหนึ่งอันเดียวที่เกิดแล้วดับ เมื่อใดที่เห็นด้วยปัญญาอันชอบในรูปหนึ่ง ต้องมีรูปนั้นปรากฎ จึงสามารถที่จะเห็นการเกิดของรูปนั้น และการดับไปของรูปนั้น รูปใดที่เกิดและดับ รูปที่ดับแล้วเป็นอดีตหรือเปล่า เกิดแล้วดับไป ไม่เหลืออีกแล้ว เป็นอดีต และรูปที่ยังไม่มาถึง แต่เมื่อรูปที่เป็นปัจจุบันที่กำลังปรากฏนี้ เกิดให้รู้ว่ากำลังปรากฏ เป็นปัจจุบัน แล้วก็ดับไป ก็มีรูปอื่นเกิดสืบต่อ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไปอีก เหมือนอย่างนี้เลย

    เพราะฉะนั้นเมื่อนั้น ขณะนั้นจะสงสัยหรือไม่ ในคำว่ารูปอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่เป็นปัจจุบัน เป็นอดีตและเป็นอนาคต เพราะขณะนั้นประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป จึงสามารถรู้ได้ว่า รูปนั้นที่ดับเป็นอดีต และรูปซึ่งเกิดต่อจากขณะนั้นก็จากอนาคต ก็เป็นปัจจุบัน ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ที่เราเกิดมาแสนโกฎกัปป์เป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่ละรูป หรือที่จะเกิดต่อไปอีกข้างหน้า เป็นอย่างนี้หรือเปล่า หมดความสงสัยทั้งในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และในอนาคตที่จะมาถึง เพราะได้ประจักษ์ความจริงของรูปในปัจจุบัน มิเช่นนั้นแล้ว จะไม่มีการรู้จักรูปเลย คิดแต่รูป รูปในอดีตรูปอะไร ถ้าขณะนั้นไม่ได้ปรากฏ จะปรากฏว่าดับแล้วเป็นอดีตหรือ ไม่ใช่มีอดีตเปล่าๆ มาให้รู้ ให้พิจารณา แต่ต้องมีสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่เกิด เป็นปัจจุบันที่มีเดี๋ยวนี้ดับไป

    เพราะฉะนั้นเมื่อดับแล้วก็เป็นอดีต รูปที่เป็นปัจจุบันนั้นเป็นอดีต และรูปที่เกิดสืบต่อ ซึ่งยังไม่เกิดก็เกิดสืบต่อ เป็นอนาคตที่ได้มาถึง หลังจากรูปที่เป็นปัจจุบันดับไปแล้ว เหมือนกันหมดหรือไม่ทุกรูป ไม่มีความสงสัยเหลืออยู่อีกเลย ไม่ว่ารูปใด ที่ไหน ในเทวโลกหรือในพรหมโลก มนุษย์โลก อบายภูมิ ไม่ว่าใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรูปนั้นเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับ ก็หมดความสงสัย ไม่ว่าจะในรูปอดีตที่หมดไปแล้ว หรือรูปอนาคตที่จะมาถึง เพราะได้รู้ความจริงของรูป ซึ่งกำลังปรากฏอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไปพิจารณาอดีตรูปได้ เพราะใครจะไปพิจารณาอดีตรูป แสนโกฎกัปป์รูปไหน พิจารณาอย่างไร แต่เมื่อรู้อย่างนี้ ปัญญามั่นคง รูปใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าในอดีตที่ผ่านมาแล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้ รูปใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้นก็ต้องเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม เห็นด้วยปัญญาอันชอบ ชอบคือตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่ไม่มีปัญญาเลย เพียงฟังเผินๆ แค่นี้ก็จะไปพิจารณารูปในอดีต ใครพิจารณารูปในอดีตได้ ในเมื่อดับไม่กลับมาอีกเลย หรือจะไปพิจารณารูปในอนาคตซึ่งยังไม่ได้เกิด ไม่รู้ว่ารูปใดจะเกิด จะเป็นรูปเลว รูปประณีต รูปไกล รูปใกล้ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่เดี๋ยวนี้มีรูปซึ่งเกิดแล้ว ถ้ารู้จริงๆ ด้วยปัญญาเห็นชอบตามความเป็นจริงก็คือว่า ขณะนี้เกิดและดับ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า ทุกรูปเป็นอย่างนี้

    อ.คำปั่น แม้แต่ละขณะๆ อย่างนี้ จะสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมที่เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน แล้วก็เป็นอนาคตอย่างไร

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเพราะเหตุปัจจัย ปรากฏขณะนั้นเป็นปัจจุบัน หรือเป็นอดีต หรือเป็นอนาคต

    อ.คำปั่น เป็นปัจจุบัน

    ท่านอาจารย์ เป็นปัจจุบัน แล้วสภาพธรรมดับหรือไม่

    อ.คำปั่น ดับ

    ท่านอาจารย์ ดับแล้วเป็นอดีตหรือเปล่า

    อ.คำปั่น เป็นอดีต

    ท่านอาจารย์ แล้วมีสภาพธรรมเกิดต่อจากสภาพธรรมที่ดับไปแล้วหรือเปล่า

    อ.คำปั่น มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมซึ่งก่อนจะเกิด ยังไม่เกิด แต่เมื่อสภาพที่เป็นปัจจุบันดับ สภาพที่เป็นอนาคตที่จะเกิดก็เกิดเป็นปัจจุบัน เพราะฉะนั้นสภาพธรรม หนึ่งที่เกิด เมื่อดับไปเป็นอดีต แล้วสภาพธรรมที่ยังไม่เกิด เมื่อเกิดสืบต่อก็เป็นปัจจุบัน ซึ่งก่อนจะเกิดสืบต่อขณะนั้นไม่ได้เกิด ฟังว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยเกิดและดับ แค่นี้ แสนโกฎกัปป์มาแล้ว เป็นอย่างนี้หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ขั้นเข้าใจก็เป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ และอนาคตก็จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ เป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ นี่คือขั้นคิด แต่ขั้นที่กำลังประจักษ์การเกิดดับ แข็งเดี๋ยวนี้กับแข็งแสนโกฎกัปป์มาแล้ว เหมือนกันหรือเปล่า แข็งข้างหน้าเป็นแข็งอย่างนี้หรือเปล่า เมื่อแข็งนี้เกิดและดับไปเป็นอดีต แข็งก่อนๆ ที่เป็นอดีตก็เป็นอย่างนี้หรือเปล่า และแข็งยังไม่เกิดแต่เป็นอนาคตก็เป็นอย่างนี้หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ถึงจะเป็นคนละแข็ง แต่เป็นลักษณะของแข็งอย่างเดียวกัน แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจพระพุทธพจน์ที่ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้จำกัดเลย เมื่อไร ขณะไหน อะไร สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีการดับไปเป็นธรรมดา ไม่เคยเว้นว่า เวลานั้นไม่เป็นอย่างนี้ อดีตไม่ได้เป็นอย่างนี้ อนาคตจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทุกอย่างเหมือนกันหมดทุกกาลสมัย ที่สำคัญที่สุดสิ่งที่ดับไปแล้วจะมาพิจารณาได้อย่างไร มีลักษณะอะไรที่จะมาทำให้พิจารณาเข้าใจได้ และสิ่งที่ยังไม่เกิด ไหนลองพิจารณา ไม่มีปรากฏให้พิจารณา แล้วจะพิจารณาอะไร สิ่งที่ดับแล้วก็ไม่กลับมาที่จะให้พิจารณาอีกเลย แล้วจะไปพิจารณาอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นเหตุเป็นผล

    ผู้ฟัง การจำสิ่งในปัจจุบันคือ ต้องพิจารณาในเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดในปัจจุบัน สิ่งที่ผ่านไปแล้ว มาระลึก ต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อไม่เข้าใจธรรมก็สงสัย จริงหรือเปล่า ความสงสัยเกิดเมื่อไรหมายความว่า ไม่เข้าใจธรรม ถูกหรือไม่

    ผู้ฟัง ถูก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องละเอียดอย่างยิ่ง จำ มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จำ เกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จำเกิด

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จำ จำหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้จำ จำจริง จำขณะที่มีจิตขณะนี้

    ท่านอาจารย์ จำเกิดกับจิต ถูกต้องหรือไม่

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ จิตรู้อะไร จำไม่ได้จำสิ่งอื่น นอกจากจำสิ่งที่จิตรู้ เพราะจำก็ต้องรู้ด้วย แต่รู้โดยจำ เพราะฉะนั้นขณะนี้จำเกิดดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จำเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นข้อสงสัยคือ

    ผู้ฟัง มีจำปัจจุบัน

    ท่านอาจารย์ จำขณะนี้เกิดดับ

    ผู้ฟัง เกิดดับไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วก็จำอีก เพราะเกิดอีก จิตไม่ได้ขาดขณะใดเลย สืบต่ออยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจำก็เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต สืบต่อตลอดเวลา ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เข้าใจ ความจริงถ้าจะกล่าวโดยเจตสิก สติเจตสิกก็ต้องเกิดพร้อมกัน แต่ไม่ใช่ระดับที่จะรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นอะไร เพียงแต่ฟังเข้าใจ ส่วนใหญ่ความเป็นเรามากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นฟังคำเดียว คิดเองกี่คำ บางคนเป็นเล่มๆ เลย หนังสือธรรมออกมาสี่เล่ม ล้วนแต่คำที่ฟังมาบ้างไม่กี่คำ แต่ความคิดมาก

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า การฟังแล้วคิดในสิ่งที่กำลังได้ฟัง แล้วเข้าใจ ต่างกับการฟังยังไม่เข้าใจดี ก็ไปคิดเองมากมายแล้วก็เข้าใจผิดด้วย ด้วยเหตุนี้ต้องแยกก่อน ฟังเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังแค่ไหน ฟังแล้วไปคิดอีกมากมาย เข้าใจหรือเปล่า หรือว่าสงสัย หรือเข้าใจว่าต้องเป็นอย่างนั้นตามที่คิดมาก่อน เคยคิดอย่างนั้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นต้องแยกการที่เคยคิดมาก่อน กับการที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ฟังทุกคำ ใหม่ เพราะเหตุว่าเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะพูดคำเหมือนคนที่ไม่เข้าใจมาเลยในสังสารวัฏฏ์เหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ หรือว่าแต่ละคำทำให้สามารถที่จะไตร่ตรอง เข้าใจได้ในแต่ละคำที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นก็ต้องแยกความคิดของตัวเอง กับการฟังธรรมและเข้าใจ

    ผู้ฟัง สิ่งที่ฟังผ่านไปแล้ว แต่ขณะนี้ที่จำ

    ท่านอาจารย์ รวมทั้งจำก็ผ่านไปแล้ว ดับไปแล้วด้วย ทุกอย่างเกิดและดับ

    ผู้ฟัง ใช่ แต่ก็เป็นนึกถึงสิ่งนั้นขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นนึกไม่ใช่จำ จำเกิดแล้วจำอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง การนึกก็คือการคิดถึงหรือตรึกถึง แต่ขณะนั้นไม่ใช่ที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส

    ท่านอาจารย์ คิดก็ต้องมีจำเรื่องที่คิด ไม่อย่างนั้นขณะนั้นคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเกิดพร้อมเจตสิก ทั้งหลายเกิดพร้อมกัน

    ผู้ฟัง แต่ขณะที่จะระลึก เป็นการตั้งใจ

    ท่านอาจารย์ จะระลึก ระลึกคืออะไร

    ผู้ฟัง ตรึกถึง

    ท่านอาจารย์ ทำไมถึงจะต้องมาทำอะไร ในเมื่อมันกำลังคิดอยู่แล้ว

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์แบ่งได้อย่างนั้นเก่งมาก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แบ่ง ความจริงที่ต้องเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ไปแบ่ง ทุกคนคิดอยู่แล้ว เป็นอนัตตา ลืมคำนี้ไม่ได้เลย คำที่ได้ฟังแล้ว ถ้าลืมคือเข้าใจผิด อัตตาเข้ามาแทนอนัตตาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย เข้าใจขึ้นๆ จากการที่ไม่เคยเข้าใจ ฟัง แล้วก็มีเจตสิกที่ไตร่ตรอง เป็นเหตุให้ความเห็นถูกเกิด ภาษาไทยใช้คำว่า ความเห็นถูก ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า ปัญญา ภาษาไทยก็คือ เข้าใจ นั่นเอง

    ผู้ฟัง ความคิดตรงนี้ เราก็ตัดมันทิ้งไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าคิดตัดก็ผิด ผิดมา เพราะว่าไม่เคยเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นก็มีตัวตน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นลืมคำแรกได้อย่างไร ที่ฟังมาทั้งหมด เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดคือ รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง คงจะห้ามไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำไมต้องห้าม ถ้าปัญญาเกิดขึ้นเข้าใจ ก็รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง มีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้ว ทั้งหมดกว่าจะถึงแต่ละขั้น ถ้าทราบว่า สัญญาคือสภาพจำ เกิดกับจิตทุกขณะ จบเลย ไม่ต้องมานั่งคิดอะไรอีกเลย ก็หมายความว่า รู้ว่า สัญญาเจตสิก มี จำเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่ต้องมานั่งคิดว่า แล้วสัญญาเขาจะไปทำอะไร ตรงไหน อย่างไรๆ แต่ให้รู้ว่าสัญญามีจริง บังคับบัญชาไม่ให้เกิดกับจิตก็ไม่ได้ เพราะอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ขณะนี้ใครจะรู้ว่ากำลังจำอยู่ หรือไม่รู้สัญญาก็เกิดแล้ว จำแล้วทั้งนั้นเลยทุกขณะ เท่านี้พอ

    ผู้ฟัง อดที่จะคิดไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะคิดมีสัญญาเจตสิก

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า ไม่ว่าเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร ก็คือไม่ลืมว่ามีสภาพจำ โดยไม่รู้ เพราะสภาพธรรมขณะนี้ จิตหนึ่งขณะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ถ้าขณะที่เข้าใจมากกว่านั้น ขณะที่เป็นอกุศลก็มากกว่า ๗ เพราะฉะนั้นเรารู้อันไหน

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้สักอย่าง เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันไปเลย แต่เริ่มเข้าใจว่า มีอะไรบ้าง ใช่หรือไม่ เช่นมีการเห็น มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องมีสภาพจำ สิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไปพร้อมกันเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรา จุดหมายคือให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ที่จะไปเปลี่ยนแปลง หรือจะไปฝืน หรือจะไปพยายามทำอะไร แต่ให้รู้ว่า มี แล้วมีอะไรบ้าง ใครจะรู้ ขณะนี้มีผัสสเจตสิก มีเวทนาเจตสิก มีสัญญาเจตสิก เอกคตาเจตสิก แล้วแต่สภาพธรรมที่เกิด ไม่รู้ แล้วจะรู้ได้ทีละหนึ่ง แล้วแต่อะไรจะปรากฏให้รู้ ไม่ใช่เราขวนขวายตั้งใจจะไปทำให้รู้ ก็ผิดอีก ไม่เข้าใจในความเป็นอนัตตาว่า แม้แต่อะไรจะปรากฏก็บังคับบัญชาไม่ได้ ขณะนี้ถ้าความรู้สึกไม่ปรากฏเลย มีแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และจะไปพูดเรื่องความรู้สึก ความรู้สึกก็เกิดแล้วดับแล้วหมด แต่มีทุกขณะจิตตลอดเวลา คือให้เข้าใจถูกต้องในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ขณะนี้มีสัญญาเกิดขึ้นอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ทุกขณะจิต

    ผู้ฟัง แล้วทำไมไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าทำไมคุณไม่ทราบ แต่หมายความว่า ควรรู้เกิดแล้วดับแล้วโดยไม่รู้ ทั้งหมดเลย ผัสสะก็ไม่รู้ เกิดแล้วดับแล้วก็ไม่รู้ เหมือนสัญญา เหมือนความจำเลย แต่ละหนึ่งเกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิต กี่ดวงก็แล้วแต่ กี่ประเภทก็แล้วแต่ แล้วแต่อะไรจะปรากฏ ให้เข้าใจถูกต้องว่าได้ฟังมาแล้ว ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไป เพื่อละความเป็นเรา จุดประสงค์ของการฟัง เพราะเคยเห็นผิด ยึดถือสภาพธรรมเป็นเรามานานแสนนาน แล้วจะค่อยๆ ให้หมดไป ก็ต้องอาศัยการฟังและเป็นผู้ตรง ไม่ใช่ความเป็นตัวตน ทำให้เบี่ยงเบนที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยลืมว่าแล้วอนัตตาหมายความว่าอย่างไร แต่ทราบหรือไม่ ไม่ว่าอะไรจะเกิด ปัญญาที่เข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา จึงสามารถละการเป็นเราได้ คิดถึงความคมกล้าของปัญญาที่อบรมแล้ว ไม่ว่าอะไรเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ ปัญญาละความเป็นสิ่ง หนึ่งสิ่งใดที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งนั้นได้ แต่ต้องอบรมทีละเล็กทีละน้อย ด้วยความมั่นคง ด้วยสัจจบารมี ความจริงว่าสิ่งนี้จริง รู้ได้ จะไปรู้สิ่งที่ไม่มีได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ขอถามเกี่ยวกับ อนัตตา

    ท่านอาจารย์ สักครู่ ยังไม่ไปไหน ได้ยินคำนี้เข้าใจว่า ความหมายคืออะไร ให้คุณคำปั่นช่วยก็ได้

    อ.คำปั่น อนัตตา ก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ไม่เป็นไปในอำนาจ คือบังคับบัญชาไม่ได้ บังคับไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ป่วยก็ไม่ได้ เพราะสภาพธรรมมีเหตุมีปัจจัยที่ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วที่สำคัญก็คือ ปฏิเสธต่อความเป็นอัตตา ในเมื่อเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ แล้ว ก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นเพียงธรรมแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น ที่เป็นจริง ที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลเลย นี่คือความหมายของอนัตตา โดยสรุปสั้นๆ ก็คือไม่ใช่ตัวตนนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ได้ยินคำเพิ่มแล้ว ใช่หรือไม่ อัตตากับอนัตตา คู่กัน แต่ความหมายต่างกัน เสียงก็ไม่เหมือนกัน อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่นี่มีหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง นี่คือความตรง ไม่ต้องไปคิดว่า เรารู้ธรรมน้อย เราฟังนิดหน่อยหรือเราไม่เข้าใจ ที่เป็นคำถามกับความจริงที่เคยเข้าใจ ต้องตามความเป็นจริงว่า คิดอย่างไร ขณะนี้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้ามี ยกตัวอย่างได้ว่าอะไร

    ผู้ฟัง มีดอกไม้ มีแจกัน

    ท่านอาจารย์ ดอกไม้เป็นสิ่งหนึ่ง แจกันเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีจริงๆ เมื่อไร

    ผู้ฟัง มีจริงๆ เมื่อเห็น

    ท่านอาจารย์ เมื่อเห็น เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ต้องคิดแล้ว เห็นอะไร นี่คือสิ่งซึ่งถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่มีทางรู้ เพราะเมื่อสักครู่นี้บอกว่า เห็นแจกัน เห็นดอกไม้ มีอะไรที่จริง ห้องนี้มีดอกไม้จริงๆ มีแจกันจริงๆ มีเมื่อไร ก็เห็น แล้วจะบอกว่าไม่มีได้อย่างไร ใช่หรือไม่ แต่ว่านี่คือคนทั่วไป แต่ความจริงแท้ๆ ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรมเลย ไม่มีทางที่จะรู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    31 พ.ค. 2568