ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794


    ตอนที่ ๗๙๔

    สนทนาธรรม ที่ เซอร์เจมส์ รีสอร์ท จ.สระบุรี

    วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ คนในสมัยพุทธกาลอบรมปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ฟังจากพระโอษฐ์ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระธรรมก็สืบทอดกันมาจนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฎกเป็นอรรถกถา อรรถกถาคือคำอธิบายข้อความในพระไตรปิฎก ซึ่งแสดงให้เห็นความยากลำบากว่า อรรถกถาอธิบายคำที่คนไม่สามารถจะเข้าใจได้โดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นเราเริ่มเข้าใจว่าแต่ละคำถ้าไม่อาศัยผู้ที่ได้เข้าใจแล้วอธิบาย เราไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย ความห่างไกลของคนในครั้งพุทธกาลกับคนยุคนี้เลย ข้ามยุคก่อนๆ ที่พระศาสนาสืบทอดมาก็คือว่าคนยุคนี้ห่างไกลจากการฟังธรรม มีแต่ประเพณีต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีการฟังธรรมเหมือนอย่างคนในครั้งนั้น ซึ่งตอนเย็นผู้คนที่อยู่ในเมืองที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ก็พากันถือดอกไม้ของหอมไปเฝ้าบูชาเพื่อฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ต้องไม่ลืม ถ้าเป็นรุ่นเก่าในยุคนี้ไม่ใช่รุ่นเก่าในครั้งโน้น ก็คือว่าห่างไกลจากพระศาสนามามาก จนกระทั่งไม่ได้เข้าใจเลยแต่ละคำที่มีในพระไตรปิฎก เพราะว่าแต่ละคำต้องศึกษาจริงๆ อย่างละเอียด เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐสุดในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ ซึ่งทำให้เรามีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังได้รู้ว่า ครั้งกระโน้นชาวเมืองต่างๆ เขาทำอะไรกัน เขามีโอกาสได้ฟังธรรม แต่เรายุคนี้คนรุ่นเก่าไปวัดแล้วก็อาจจะทอดกฐิน หรือทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ธรรม เริ่มจากการที่จะต้องเข้าใจทุกคำได้ยิน เพราะฉะนั้นจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถึงพระธรรมรัตนะคือแต่ละคำที่ตรัสไว้ไม่มีอะไรจะประเสริฐเท่า เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเข้าใจของผู้ได้ฟัง แต่ต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธาที่จะเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง เราฟังใคร เราก็ฟังมามาก คนประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆ เขาเป็นใครอยู่ที่ไหน ทั้งโลกก็ฟังมาแล้ว แต่ที่จะฟังพระธรรมของผู้ที่ได้ตรัสรู้และทรงแสดงไว้แล้ว ต้องมีประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่าประโยชน์เหล่านั้น แต่ว่าคนไม่ค่อยเห็น คนไม่ค่อยรู้ เพราะเหตุว่าเขายังไม่ได้เข้าใจโดยการศึกษาจริงๆ ฟังเผินๆ แล้วก็เผินมาเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เราเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร มีใครที่มีปัญญาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม ตั้งแต่ผ่านมา มีใครไหม ไม่มี เมื่อไม่มีแล้วก็ควรที่จะเคารพอย่างยิ่ง คือฟังแต่ละคำด้วยความไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ทีละหนึ่งคำ ยากไหมพระธรรม ถ้าพูดมากหลายๆ คำไม่มีทางเข้าใจได้เลย เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจทีละคำ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าพระธรรมหรือธรรมคำเดียว สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ จากความเป็นปุถุชนเมื่อมีความเข้าใจละเอียดขึ้นถูกต้องขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าขณะนี้พระธรรมคืออะไร ต่างคนต่างคิด แต่ว่าถ้าฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ แล้ว ก็ตอบตรงกันเหมือนกัน เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ถึงที่สุดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีพระพุทธรัตนะ มีพระธรรมรัตนะ เพื่อถึงความเป็นสังฆะรัตนะ ผู้ที่ดับกิเลสหมดจดโดยการเป็นสาวกคือผู้ฟัง เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง

    เพราะฉะนั้นวันนี้คนรุ่นใหม่กำลังเริ่มต้นที่จะศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพยิ่ง ที่จะเข้าใจแต่ละคำ คำเก่าๆ ที่เคยฟัง หรือเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วที่ไม่เข้าใจ มีคำตอบในพระไตรปิฎกทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็ขอเชิญร่วมสนทนากัน ธรรมคืออะไร เริ่มต้นคำแรก ถ้าได้ยินแล้วไม่เข้าใจ ไม่ใช่ผู้ที่ศึกษาธรรม ไม่ใช่คนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ธรรม ต้องเริ่มต้นธรรมคืออะไร ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนเขาถามบอกว่าคนรุ่นใหม่ใฝ่ธรรม แล้วธรรมคืออะไร จะตอบเขาได้ไหม แต่ว่าถ้าได้เข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะตอบได้ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ธรรมว่าธรรมคืออะไร ขอเชิญคุณอรรณพ

    อ.อรรณพ ที่ว่าคนรุ่นใหม่ใฝ่ธรรม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเหมือนหรือไม่เหมือนกับคนรุ่นก่อนถูกไหม ไม่ใช่เราตั้งเป้าว่าเราเป็นคนรุ่นใหม่ใฝ่ธรรม คนรุ่นก่อนๆ เขาทำอย่างไร จะผิดจะถูกอย่างไร เราก็ทำตามเขา อย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ธรรมได้ไหม ก็ไม่ได้ หรือถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนรุ่นใหม่ เราก็จะต้องใฝ่ธรรมอีกแบบหนึ่ง แหวกแนวมาจะถูกจะผิดไม่สนใจ ขอให้แตกต่าง ก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ก็คือต้องเข้าใจธรรมก่อน ไม่ทราบมีท่านจะร่วมสนทนาไหม

    ผู้ฟัง ชื่อ ... ขอร่วมสนทนา

    อ.อรรณพ เคยได้ยินคำว่าธรรมไหม

    ผู้ฟัง เคย บ่อยด้วย

    อ.อรรณพ บ่อยด้วย แล้วเข้าใจว่าธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองก็คือเหมือนที่พึ่ง เป็นสิ่งสงบเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วก็ในความรู้สึกคือโลกปัจจุบันที่เราอยู่กับโลกของธรรม โลกของธรรมเหมือนไปได้ช้ากว่า อยู่แล้วสบายใจ เย็น พอเราไปอยู่ในโลกของธรรม ทำให้เรามาพิจารณาตัวเองถึงสิ่งที่ทำลงไป เพราะว่าโลกปัจจุบันบางทีทำให้เราลืมตัว เราคล้อยตามตามสิ่งแวดล้อม จริงๆ เราอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้

    อ.อรรณพ ก็เริ่มที่จะใฝ่ธรรมแล้ว แต่ว่าความที่คิดเรื่องธรรมว่าธรรมคืออะไร เรียนสนทนาท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็ต่างคนก็ต่างคิด แต่ยังไม่ใช่ธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อฟังธรรมแล้วจะรู้สึกว่า เราพูดคำที่ไม่รู้จักเลยตั้งแต่เกิดใช้คำนั้นได้เลย แต่ละคำลองทบทวนที่ว่า อยู่กับธรรมแล้วสบายใช่ไหม แล้วทุกอย่างก็ช้าแล้วก็สงบใช่ไหม ตั้งหลายคำแล้ว ทั้งช้าทั้งสบายทั้งสงบ แต่ว่าตามความเป็นจริงทั้งหมดเป็นความคิดซึ่งต่างกันมากกับคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป คำนี้แสดงว่านานมาก เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ แม้เป็นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แต่คนอื่นก็รู้ไม่ได้ เริ่มเห็นความต่าง สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เราคิดว่าเรารู้ แต่เราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร ในเมื่อทรงตรัสรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่นี้พูดถึงโลก ถูกต้องไหม รู้จักโลกไหม โลกคืออะไร นี่คือธรรม ทุกคำพูดคำที่ไม่รู้จัก แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว เริ่มรู้จักว่าแท้ที่จริงแล้วคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว หมายความถึงสิ่งซึ่งใครก็ปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้นโลกมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ โลกคืออะไร เมื่อโลกมีจริง

    ผู้ฟัง ถ้าพูดถึงคำว่าโลก ก็จะคิดถึงวัฏจักรของชีวิต

    อ.อรรณพ อันนี้จะเป็นจุดเริ่มที่ให้คนรุ่นใหม่ค่อยๆ ที่จะใฝ่ในธรรมด้วยความเข้าใจ เมื่อเราใฝ่ในธรรม จริงเราอาจจะใฝ่ด้วยความคุ้นเคย หรือเราเกิดในสังคมชาวพุทธ และอย่างที่พูดมาว่าเราก็รู้สึกว่าวุ่นวาย ชีวิตอื่นๆ วุ่นวายทางโลกการงานอะไร แต่ธรรมก็ดูว่าสงบดี อย่างนั้นใช่ไหม แต่ว่าถ้าจะมีความเข้าใจอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน เมื่อสักครู่บอกว่าโลกก็คือวัฏจักรของชีวิต คืออย่างไร

    ผู้ฟัง ก็จะคิดไปถึงการเกิดแก่เจ็บตาย

    อ.อรรณพ อะไรเกิด

    ผู้ฟัง สิ่งมีชีวิต

    อ.อรรณพ สิ่งมีชีวิตเกิดใช่ไหม ก็คือเป็นคนเป็นสัตว์เป็นอะไรใช่ไหมเกิด

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรมจะได้ฟังคำใหม่ซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน ถูกไหมพูดอย่างนี้ เพราะว่าก่อนที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนได้ยินคำเก่าๆ ทั้งนั้นเลย คนเกิดคนแก่คนเจ็บคนตายมีอุบัติเหตุอะไรๆ ก็เป็นคำที่ได้ยินชินหูตั้งแต่เกิด แต่พอได้ศึกษาธรรม ก็จะรู้ว่าเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่ว่าเป็นคำจริง ใช้คำว่าวาจาสัจจะ ซึ่งทุกคนสามารถจะค่อยๆ พิจารณา และรู้ว่าเพราะเป็นคำจากพระโอษฐ์ หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วจึงเป็นคำใหม่ ซึ่งคนอื่นจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เช่น คำว่าโลก ถ้าจะออกเสียงตามภาษาบาลี ก็ใช้ว่าโลกะ แต่ว่าธรรมที่ทรงแสดง เข้าใจได้ในภาษาของตนของตน ไม่จำเป็นต้องไปติดคำในภาษาที่ชาวเมืองนั้นพูดหรือชาวเมืองนี้พูด เพราะว่าที่เราใช้ภาษาบาลีก็คือภาษามคธี ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสกับชาวเมืองมคธ เพราะฉะนั้นจะไปใช้ภาษาอื่นเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้ภาษาที่ทุกคนเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเราก็ใช้ภาษาไทย และภาษาไทยก็ใช้คำภาษาบาลีมาก แม้แต่คำว่าโลกก็มาจากคำว่าโลกะ ทุกคนคิดใหม่ฟังใหม่จากคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีโลกไหม จะมีสิ่งที่เราเรียกว่าโลกเดี๋ยวนี้ไหม ต้องคิด จะได้เป็นความเข้าใจของตัวเอง ประโยชน์อย่างสูงสุดของพระธรรม ก็คือว่าให้ผู้ที่ได้ฟังตั้งแต่ครั้งโน้นที่มีผู้ไปเฝ้า เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้องของตนเอง หลังจากที่ได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรองว่าถูกหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าต้องเชื่อ

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยสักอย่าง สักอย่างหมายความว่าไม่มีเลยจริงๆ แล้วจะมีโลกไหม ในความหมายไหนก็ได้ โลกนี้โลกโน้นหรืออะไรทั้งหมด ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีโลกไหม นี่คือปัญญาเริ่มต้นจากการไตร่ตรองเป็นของตนเองแต่ละคน ไม่ใช่บังคับให้เชื่อ แต่ให้ไตร่ตรองเพื่อที่จะได้รู้จักคำนี้จริงๆ ว่าโลกคืออะไร เราอยู่ในโลก และเราก็พูดเรื่องโลก เราก็คิดเรื่องโลก โลกโน้นโลกนี้ตั้งหลาย โลก แต่ว่าตามความเป็นจริง โลกที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ หมายความถึงอะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีโลกไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถูกต้องไหม ไม่มีอะไรเลย โลกก็ต้องไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนั่นแหละเป็นโลก ถูกไหม เพราะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดนั่นแหละเป็นโลก จะไปเอาโลกมาแต่ไหน ในเมื่อไม่มีมาก่อนเลย แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นแหละเป็นโลก จะไม่ใช่โลกได้หรือ เพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นที่เกิดขึ้นนั่นแหละเป็นโลก แต่ว่าโลกแต่ละโลกต่างกันใช่ไหม ดาวอังคารมีต้นไม้ใบหญ้ามีอย่างนี้ไหม ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์แต่ละดวงไป แต่ละโลกไปมีอย่างนี้ไหม แต่โลกนี้ที่เรากำลังอยู่ที่โลกนี้ เราเห็นโลกนี้ และเราคิดว่าโลกอื่นจะมีไหม คิดเท่านั้น แต่ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวงโดยสิ้นเชิง แต่ต้องศึกษาตามลำดับ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นขณะนี้รู้จักโลกว่า หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเกิดมี ถ้าไม่มี โลกไม่มี แต่ว่าในขณะนี้ในโลกมีตั้งหลายอย่างที่มีปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมกัน จากดินก็เริ่มมีหญ้า มีวัชพืช มีอะไรพวกนี้ทีละเล็กทีละน้อย มีต้นไม้ใหญ่น้อยต่างๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้นโลกมีจริงเมื่อเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดต่างกันเป็นสองอย่าง คืออย่างหนึ่ง อย่างเรากล่าวถึงต้นไม้ หรือว่าพืชพรรณใดๆ ก็ตาม เกิดแล้ว ถ้ากระทบสัมผัสเป็นอย่างไร นี่ธรรมดาเลย กอไก่ ขอไข่ เลย คือเป็นเรื่องตั้งแต่ต้นจริงๆ ก่อนที่เราจะไปถึงพระธรรมที่สูงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงจนกระทั่งดับกิเลสได้ กระทบสัมผัสต้นหญ้าเป็นอย่างไรรู้สึกอย่างไร ตอบแทนก็ได้ แข็งหรืออ่อนใช่ไหม กระทบสัมผัสดินเป็นอย่างไร แข็งหรืออ่อนอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นมี สิ่งนั้นแหละเป็นโลก เพราะเกิดขึ้นมีเป็นสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละโลก เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ คือตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ในห้องนี้มีอะไรที่มีจริงๆ ไหม มีหลายอย่างหรือ เปล่า จริงทั้งหมด กระทบสัมผัสก็มีแข็งจริงๆ เสียงขณะนี้ก็มีจริงๆ ขณะนี้เย็น เย็นก็มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นธรรมคือทุกสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง นี่เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าธรรม เพื่อที่จะใฝ่ธรรมที่จะเข้าใจความจริง คือธรรมว่าสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนมีจริง แล้วจะรู้ได้ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม อย่างนี้มีใครสงสัยไหม เพราะว่าถ้าสิ่งนั้นไม่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่มีจริงเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้นทุกอย่าง เพราะฉะนั้นธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอนทุกกาลสมัย ขณะนี้ทุกอย่างที่มีจริง เสียงมีจริงเป็นธรรม แข็งมีจริงเป็นธรรม เห็นมีจริงไหม คนที่ใฝ่ธรรม คนรุ่นใหม่ช่วยตอบ เห็นเดี๋ยวนี้มีจริงไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมใช่ไหม ถูกต้อง ตั้งแต่นี้ต่อไปเริ่ม เริ่มขึ้นบันได เริ่มแล้ว สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามมีจริงๆ สิ่งนั้นเป็นธรรมแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกันเลย เสียงก็เป็นธรรมหนึ่ง ไม่เป็นอย่างอื่นเลย เป็นเสียง แข็งก็เป็นธรรมหนึ่ง ไม่เป็นอย่างอื่นเป็นแข็ง เห็นก็มีจริงๆ เห็นเป็นธรรมมีจริงๆ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เห็นเกิดขึ้นเห็น ขณะนี้ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น แต่เมื่อเกิดเห็น เห็นจึงมีได้ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะปรากฏว่ามีจริง สิ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม เห็นเป็นธรรมไหม ทีนี้ถามกันเองได้ แล้วก็ตอบได้ด้วยใช่ไหมว่า อะไรเป็นธรรม ถ้าไม่เริ่มต้นอย่างนี้ ไม่ชื่อว่าศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักธรรม แล้วจะรู้ว่าตลอดชีวิตทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธรรม แต่เข้าใจว่าเป็นเรา รู้สึกว่าจะมีคำถาม

    ผู้ฟัง อยากทราบว่าชาติหน้ามีจริงไหม

    ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณคำปั่น ชา-ติ ชาติหน้า

    อ.คำปั่น ต้องเข้าใจก่อนว่าชาติคืออะไร ชา-ติหมายถึงการเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ซึ่งทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่เกิดมาเป็นบุคคลนี้ ก็ไม่พ้นจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงแล้วว่าธรรมคืออะไร ซึ่งก็เป็นการเริ่มต้นว่า คือสิ่งที่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ขอร่วมสนทนาตอนนี้ด้วย ชาตินี้มีจริงหรือเปล่า แต่ไม่รู้จักชาตินี้จึงสงสัยว่าชาติหน้าจะมีจริงไหม แต่ถ้ารู้จักชาตินี้ จะหมดสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือเปล่า และชาติก่อนมีหรือเปล่า แต่ถ้ายังไม่รู้จักชาตินี้ สงสัยจริงๆ ตายแล้วไปไหนกัน ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น นก หนู เป็ด ไก่ ทั้งหมดที่ตายแล้ว ไปไหนกัน เพราะยังไม่รู้จักว่าชาตินี้คืออะไร เพราะฉะนั้นก็สงสัยว่าชาติก่อนจะมีไหม หรือมีเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว แต่เมื่อเข้าใจชาตินี้แล้ว ชาติก่อนมีแน่นอน และก็ชาติหน้าก็มีด้วย เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีชาติก่อนๆ จะมีพระโพธิสัตว์ที่จะทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้อบรมปัญญาพร้อมที่จะตรัสรู้ความจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นเพียงเท่านี้ตอบได้หรือยังว่า ชาติก่อนมีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเมื่อชาติก่อนมีสิ้นสุดลง ก็มีชาตินี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้เมื่อไหร่ ไม่มีใครเรียกว่าเจ้าชายสิทธัตถะอีกต่อไป เพราะเป็นพระนามซึ่งไม่มีใครจะไปมอบให้เลย แต่ด้วยพระคุณสูงสุดจึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นพระโพธิสัตว์ ชาตินี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และได้ตรัสรู้ แล้วก็คนที่เกิดมา ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระอริยสาวกทั้งหลาย ต้องมีชาติก่อนๆ ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาจนกระทั่งได้รู้ความจริง แล้วก็เรายังไม่ได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นแต่ละชาติที่เกิดมา จากชาติก่อนมาเป็นคนนี้ ได้ฟังได้ยินได้สนุกสนานได้มีเพื่อนฝูงได้มีกิจกรรมต่างๆ และต่อไปจากโลกนี้ไปแล้วเป็นชาติต่อไป ซึ่งไม่ใช่ชาตินี้อีกเลย เคยได้ยินชื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีไหม หรือชื่ออะไรก็ได้ในพระไตรปิฎก วิสาขามิคารมารดาเคยได้ยินไหม ใครเคยได้ยินชื่ออื่นอีก หมอชีวกโกมารภัจจ์เคยได้ยินไหม ท่านยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ยังดับกิเลสไม่หมด เพราะฉะนั้นเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ผู้ยังมีกิเลสอยู่ก็ต้องเกิด เมื่อดับกิเลสหมดเมื่อไหร่ จิตขณะสุดท้ายดับไปใช้คำว่าปรินิพพานดับโดยรอบ พอที่จะเข้าใจลางๆ เงาๆ พอที่จะมั่นคงขึ้นไหมว่า ชาติก่อนมีแน่เพราะมีชาตินี้

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีชาตินี้หลากหลายต่างกันไป คนดีคนชั่วการกระทำต่างกัน และผลของการกระทำเหล่านั้นจะมีไหม แม้ว่าชาตินี้จะอายุเพียงแค่นี้ จากกันไปแล้ว เพียงแค่ไม่กี่ปีบ้าง ๘๐, ๙๐ บางคนอาจจะถึงร้อยปี แล้วกรรมที่ได้ทำแล้ว จะหายไป หรือ หรือจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเพียงเหตุผลเท่านี้ พอที่จะพิจารณาได้ไหมว่า จากโลกนี้ไปแล้วยังมีกิเลสอยู่ตราบใด ก็ต้องมีการเกิดอีกเป็นชาติต่อไป

    อ.คำปั่น ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องมีชาติต่อๆ ไปอย่างแน่นอน เพราะเหตุว่ายังมีเหตุที่ทำให้เกิด ก็คือยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นมีเพียงบุคคลประเภทเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีการเกิดในชาติถัดไปก็คือพระอรหันต์ ซึ่งพระอรหันต์ก็มี ๓ ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ ๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุด นี่คือประเภทแรก ประเภทที่ ๒ ก็คือในกาลที่ว่างจากพระพุทธศาสนาก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดับกิเลสเหมือนกัน แต่ว่าในฐานะที่ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และอีกประเภทหนึ่ง ก็คือในกาลสมัยที่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีผู้ที่ได้ฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แล้วก็ได้แทงตลอดสภาพธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น สูงสุดก็คือถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นพระอรหันต์สาวก ทั้ง ๓ ประเภทนี้ เมื่อปรินิพพานก็คือดับโดยรอบซึ่งขันธ์ก็ไม่มีการเกิดอีกเลย นี่คือความเข้าใจเบื้องต้น ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ยังมีกิเลสอยู่จะมีการเกิด อย่างเช่น เกิดมาเป็นบุคคลนี้ยังเกิดได้ ชาติก่อนๆ ก็ต้องเคยเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วนเลย แล้วก็ชาติต่อไปก็ต้องเกิด แต่ว่ายังไม่ถึง เพราะว่าจะไปถึงชาติถัดไปได้ก็ต้องละจากโลกนี้ไปก่อน นี่คือความเป็นจริง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    13 พ.ค. 2568