ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815


    ตอนที่ ๘๑๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

    วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อวานนี้ได้มีแล้ว ทุกคนจำได้นั่งอยู่ที่นี่ฟังธรรม แต่ว่าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะหลับจะตื่น ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ แต่ละวันซึ่งไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย อย่างน้ำตานี่คงไม่มีใครที่ไม่เคยร้องไห้ แต่ว่าร้องไห้มากหรือน้อย แล้วก็น้ำตานี่มากกว่าน้ำในมหาสมุทรต้องกี่ชาติ กว่าชาตินี้มีน้ำตาไม่มากเท่าไหร่ และกว่าจะถึงมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรคือแต่ละชาติที่เกิดมา ก็จะต้องมีน้ำตาแน่นอน ชาตินี้มีแล้ว ชาติก่อนมีแล้ว ชาติหน้าก็มีอีก เหมือนอย่างนี้ในอดีต ขณะนี้ต่อไปข้างหน้าก็ไม่พ้นจากความเป็นอย่างนี้ได้ แม้ว่าฟังธรรมเมื่อวานนี้ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงอย่างไรก็ตามแต่ แล้วก็พูดถึงเรื่องที่มีจริงๆ คือกำลังเห็นกำลังได้ยินว่าเป็นสิ่งที่มี บังคับบัญชาไม่ได้ และก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป หมายความว่า ไม่มีใครสามารถที่จะไม่ให้สภาพธรรมนั้นดับไปได้เลย ดับไปแล้วจริงๆ เมื่อวานนี้พิสูจน์ได้จริงๆ แต่กิเลสความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ คือเห็น ตามธรรมดาปกติก็ไม่มี แม้แต่คิด ก็รู้ว่าบังคับความคิดไม่ได้ เห็นทะเลสวยหรือจะอย่างไรก็ตามแต่ ต่างคนต่างคิด คิดแล้วก็หมดไป เวลานี้ไม่ได้คิดถึงทะเล เปลี่ยนเป็นคิดเรื่องอื่นอีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริง ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ให้เกิดไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปจนกว่า จะได้เข้าใจความจริงของธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ ได้ฟังเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน วันนี้ก็ฟังอีก ต่อไปก็ฟังอีก เพื่ออะไร เพื่อกว่าจะเข้าใจถูกตามความเป็นจริงมั่นคงแน่นอนว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไม่ใช่ของใคร เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธาตุ ธา ตุ นี่ แต่ละอย่างซึ่งไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งขณะนี้กำลังพิสูจน์ความจริงอย่างนี้ว่า แต่ละอย่างซึ่งขณะนี้ปรากฏไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ว่ามีแล้วในขณะนี้ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ได้ฟัง ครั้งเดียวไม่พอ ๒ ครั้งไม่พอ

    ก็มีเด็ก ที่อายุ ๑๕ เขาก็เข้าเว็บไซต์ของบ้านธรรม คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่รู้ ก็คิดว่าเล่นเกมส์ แต่ความจริงเขาก็ศึกษาธรรมโดยการค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถามเขาว่า จนกว่าเมื่อไหร่เขาบอกว่าจนกว่าจะตรัสรู้ คือฟังเท่าไหร่ก็ไม่พอแน่นอน ฟังแล้วลืม เพราะเหตุว่าคุ้นเคยกับเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เกิดมานี่ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดมั่นคง นานแสนนาน ที่จะให้พ้นจากการเข้าใจผิดว่าแท้ที่จริงแล้วนี่มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏแต่ละทางชั่วขณะที่ปรากฏ เช่นขณะที่ได้ยิน สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องไม่ปรากฏ นี่คือความรวดเร็ว เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่สามารถจะรู้ได้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโมฆะ แต่เพราะเหตุว่าเพราะสามารถจะรู้ได้ แต่ไม่ใช่มีใครไปบันดาล โดยวิธีอื่น เพราะหนทางนี้ เป็นหนทางของปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มี

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจมั่นคงเป็นสัจจบารมี ก็มีความอดทน อีกกี่ชาติไม่ต้องคิดเลย อีกกี่แสนชาติก็ไม่ต้องคิดอีก เพราะความจริงคือขณะนี้ ว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏมากน้อยแค่ไหน แล้วจะประมาณได้อย่างไร ว่าเมื่อไหร่จะถึงการรู้ว่าขณะนี้ ไม่มีอะไรปรากฏพร้อมกันอย่างนี้เลย แต่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะ ที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเท่านั้น ซึ่งขณะนั้นก็ต้องมีสภาพธรรมที่เกิดให้รู้ แล้วเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป เมื่อนั้น ความเข้าใจอย่างมั่นคงว่าคำที่ได้ยินมาแล้วนาน อาจจะเป็นแสนชาติหรือเป็นกัปป์หรือกี่กัปป์ก็เป็นความจริง ซึ่งสามารถที่จะรู้ได้ แต่ด้วยการละความติดข้องด้วยความเป็นปกติที่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เพราะว่าเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็กำลังดับ เกิดดับอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการฟังเป็นหนทางเดียว ที่จะให้เข้าใจความหมายได้ถูกต้อง ไม่ใช่หนทางอื่นเลย

    เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่าปริยัติ พระพุทธพจน์ ไม่ใช่คำของคนอื่น ฟังแล้วต้องรู้ว่าผู้ตรัสรู้ รู้อย่างนี้ ตรัสรู้อย่างนี้ ทรงแสดงความจริงอย่างนี้ เพื่ออะไร เพื่ออนุเคราะห์คนที่ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เวียนว่าย ก็คือวนเวียน เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวได้กลิ่นเดี๋ยวลิ้มรส สังสาระคือสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดดับสืบต่อกันไม่มีระหว่างคั่นเลย หยุดขณะไหนบ้างหรือเปล่า ไม่มีเลยสักอย่างเดียว เกิดแล้วดับไป แต่สืบเนื่องกันทันทีไม่มีระหว่างคั่น ทำให้รู้ว่าสภาพธรรมนี้ขณะไหนเกิดแล้วดับแล้ว และมีสภาพธรรมอะไรที่กำลังสืบต่อ เพราะว่าไม่มีการที่จะได้เข้าใจความจริงพอที่จะละคลายด้วยความเข้าใจว่าไม่ใช่เรากำลังฟัง แต่แม้ฟังก็เป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นได้ยิน และเมื่อได้ยินดับแล้ว ก็ยังมีนามธาตุ ธาตุรู้เกิดดับสืบต่อ จนเป็นขณะที่มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ทั้งหมดก็เป็นธรรม ซึ่งต้องฟังบ่อยๆ จนกว่าจะตรัสรู้

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงการที่ธรรมยังต้องเป็นไป แล้วก็ห้ามความเป็นไปของธรรมไม่ได้เลย แสดงว่าก็ต้องมีเหตุที่จะให้ธรรมนี้เป็นไป ที่แสดงถึงอวิชชาความไม่รู้แสดงถึงตัณหาความติดข้องที่จะให้ธรรมขณะนี้เป็นไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าอยากจะรู้เรื่องของแต่ละสภาพธรรม ต้องศึกษานาน แต่ก็เข้าใจเพียงชื่อ และเรื่องราว แต่ตามความจริง ความไม่รู้คืออวิชชาต้องตรงกันข้ามกับความรู้ เดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปเปิดตำราไหนเลย เปิดก็ไม่เจอ เพราะเหตุว่าขณะนี้เท่านั้น ที่สามารถจะรู้ว่ากำลังไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นคุณวิชัย รู้หรือเปล่าว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถ้าไม่มีมหาภูตรูปเลยจะไม่มีสิ่งที่กระทบตา และก็ปรากฏสืบต่อจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ซึ่งไม่ใช่คุณธีรพันธ์ แล้วก็ไม่ใช่คุณคำปั่น ไม่ใช่ใครสักคน

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่ากว่าจะเข้าใจแต่ละคำ ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ผู้ที่หนาแน่นด้วยความไม่รู้เพราะไม่รู้มานานมาก แล้วพอได้ยินได้ฟัง สามารถที่จะเข้าใจได้ทันทีนี่ยาก แม้แต่เพียงการที่จะค่อยๆ คล้อยตามความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วแค่หลับตาก็ไม่มีคุณวิชัย ไม่มีคุณคำปั่น ไม่มีใครเลยสักคน คุณธีรพันธ์ ก็ไม่มี ดอกไม้ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มีเลย จริงหรือเปล่า เปลี่ยนได้ไหม หลับตาแล้วให้เห็นเหมือนอย่างที่ลืมตาได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย นี่คือธรรม ความจริงซึ่งสิ่งที่ปรากฏเหมือนเป็นคนหนึ่งคนใด สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงแค่หลับตาไม่มี

    เพราะฉะนั้นความจริง ถึงไม่หลับตา ก็ต้องไม่มี กว่าจะรู้อย่างนี้ ไม่มีคืออะไร ไม่มีคุณวิชัยจริงๆ ไม่มีดอกไม้จริงๆ แต่มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ กว่าจะละคลายความติดข้อง เพราะเห็นเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นคนหนึ่งคนใด ที่คุ้นเคย จนกระทั่งสนิทสนม ผูกพันเป็นครอบครัว เป็นวงศาคณาญาติ เป็นมิตรสหาย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าไม่มี เพราะเหตุว่าจากไม่มีเลย แล้วมี แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย คือไม่มีเหมือนเดิม

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เพียงมี มีเพราะบังคับบัญชาไม่ได้ ต้องมีสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดนั้นก็ต้องดับไป และสิ่งที่มี ที่เป็นธาตุรู้ ก็มีเป็นธาตุติดข้องก็มี เป็นธาตุขุ่นเคืองก็มี ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธาตุ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ กำลังติดข้องมากๆ เลย แล้วบอกว่าละเสีย แค่บอก ใครก็ไม่รู้มาบอก ผิดไหม ละได้อย่างไร แต่ถ้าให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเพียงมี แล้วไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ไม่มี จนกว่าเมื่อไรจะประจักษ์ชัดว่าไม่มีเมื่อไหร่ ก็จะรู้สึกตัวได้ว่าติดข้องอะไร ในสิ่งที่ไม่มี เพราะไม่รู้ ทั้งหมดนี้ไม่รู้ใช่ไหม แล้วจะไปหาอวิชชาที่ไหน แต่กำลังฟังไม่รู้เลย เพราะไม่รู้อย่างนี้ขณะที่ไม่รู้นั่นเองก็ไม่ใช่เรา

    อ.วิชัย ถ้ามีความอยาก มีความปรารถนาสิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็ทุกข์ จากความยินดีพอใจติดข้อง ที่ไม่ได้สิ่งที่น่าปรารถนา แต่ว่าความลึกซึ้งของความที่ตัณหาความติดข้อง ที่จะเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นจะมีความลึกซึ้งอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนฟัง มีเรา มีคนมากมาย ทั้งหมดเลย มีโลก แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่มี แต่มีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไปสืบต่อ แน่นมากจนปรากฏว่าเป็นโลกที่กว้างใหญ่เป็นผู้คนมากมาย มีทั้งภูเขา มีทั้งแม่น้ำ แล้วก็ได้รู้ความจริง แค่เข้าใจจากการที่ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้มาก่อนเลย ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ นี่เบิกบานไหม อย่างน้อยที่สุดเพียงแค่ได้ฟังก็รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วก็ขณะที่กำลังรู้ความจริงอย่างนี้ ติดข้องเหมือนเดิมหรือเปล่า จากการที่เข้าใจขึ้นทีละเล็กที่ละน้อยไม่หวั่นไหว ทุกคน กลัวจากโลกนี้ไป ไม่อยากตายใช่ไหม อยากเป็นคนนี้อีกนานเท่าไหร่ดี สักเท่าไหร่ดี พันปีเอาไหม ถามจริงๆ ถ้าบอกว่ายังอยากจะให้เป็นอย่างนั้น ก็คิดดูถึงคนที่อายุพันปีก็แล้วกัน จะสบายเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ไหม แต่ยังอยากอยู่ ยังอยากมีชีวิตต่อไป รู้หรือเปล่า ไม่ต้องเสียดายอะไรเลยทั้งสิ้น

    เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีเหตุที่จะให้เกิด ต้องเกิด เพราะฉะนั้นตายแล้วต้องเกิด เหมือนกับเกิดมานี่ เกิดมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีเหตุไม่มีการเกิดเลย จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เพราะมีเหตุที่จะให้เกิด ยับยั้งไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ เกิดมาเป็นคนนี้ อย่างนี้ อีกนานเท่าไหร่ ใครรู้ เลือกได้ไหม อีกกี่วัน เย็นนี้ถึงหรือเปล่า พรุ่งนี้ต่อไปอีกเดือน หนึ่ง ปีหนึ่ง แต่ว่า ถ้ารู้ความจริงว่าตายนะ ปกติจริงๆ เหมือนหลับสนิท ใครกลัวบ้าง ตอนหลับ อยากหลับกันใช่ไหม วันนี้เหนื่อยมาก ตั้งแต่เช้ามาทำอะไรตั้งมากมาย อยากที่จะนอนแล้ว คิดดูก็คือไม่อยากเห็นอีก ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากได้กลิ่น ไม่อยากลิ้มรส มีใครชวนให้รับประทานอาหารอร่อยๆ ตอนง่วงๆ จะนอนนี่ จะรับประทานไหม ก็ไม่เอาแล้วใช่ไหม ขอนอนขอหลับดีกว่า ขอไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เกิดขณะแรกของชาตินี้ เป็นอย่างนี้ โลกไม่ปรากฏ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยินเลย แต่มีเกิดแล้ว และขณะที่โลกไม่ปรากฏคือขณะที่หลับสนิท ก็ยังมีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ยังไม่สิ้นความเป็นบุคคลนี้เลือกไม่ได้ แล้วแต่กรรม ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่กว่ากรรม ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไป ตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้นกำลังพูดอย่างนี่ จากโลกนี้ไปได้ไหม เพราะกรรม ถึงแก่กรรม การสิ้นสุดที่จะให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้น จากการเป็นบุคคลนี้ทันทีเลยที่จิตขณะสุดท้ายดับแล้ว ไม่มีสภาพธรรมที่เป็นผลของกรรมที่จะเกิดต่อเป็นบุคคลได้อีกต่อไป กรรมอื่นหนึ่งกรรมที่ได้สะสมมาแล้ว กำลังพร้อมที่จะเป็นปัจจัย ทำให้เกิดขึ้นต่อจากจิตขณะสุดท้ายในชาตินี้ดับ แล้วก็ประมวลมาซึ่งกรรมเล็กกรรมน้อยทั้งหลาย ที่สามารถที่จะให้ผลในชาตินั้น เหมือนชาตินี้ เกิดมาแล้วเพราะกรรมหนึ่งที่ทำให้เป็นคนนี้ไม่เป็นคนอื่น ประมวลมาซึ่งกรรมเล็กกรรมน้อยที่จะทำให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย อยากสุขกันทุกคนมากๆ ก็แล้วแต่กรรม ไม่อยากจะทุกข์สักนิดหนึ่งก็แล้วแต่กรรม ไม่อยากจะร้องไห้ เห็นอะไรเลือกไม่ได้ ได้ยินอะไรก็เลือกไม่ได้ เป็นปัจจัยให้เกิดโทมนัสอย่างไร ก็แค่ระหว่างที่มีชีวิตเท่านั้นเอง แล้วก็หมดไปหมดไป พอถึงขณะจิตสุดท้าย สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ปฏิสนธิจิต คือจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติ ใช้คำว่าปฏิสันธิจิต ที่ต้องเกิดเฉพาะหลังจากที่จุติจิตดับไป ให้จิตอื่นเกิดไม่ได้เลย นอกจากจิตนั้น เป็นผลของกรรมทำให้เกิดสืบต่อทันที จำชาติก่อนได้ไหม ไม่มีทางเลย เป็นคนใหม่ไม่เหมือนเป็นคนในชาตินี้ ซึ่งจำคนในชาติก่อนๆ ที่เคยผ่านมาเป็นที่คุ้นเคยสนิทสนมรักใคร่ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะรักบุตรธิดาทรัพย์สินเงินทองอะไรก็ตามอย่างยิ่ง ทันทีที่จากโลกนี้ไป พระนางอุพรีพระมเหสีก็เกิดเป็นนอน ก็เป็นสิ่งซึ่งเลือกก็ไม่ได้ เป็นอะไรก็ไม่ได้ แต่เป็นคนนี้แล้วในชาตินี้ เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดของเวลาที่มีค่าที่อยู่ในโลกนี้ก็คือเป็นคนดี เพราะเหตุว่าความไม่ดี ไม่ได้ให้ประโยชน์กับใครเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโทษของความไม่ดี คืออกุศลทั้งหลาย เพราะเห็นว่าสัตว์โลกนี่ต้องเป็นทุกข์เพราะกิเลสเพราะความไม่ดี แล้วใครจะแสดงความจริงถึงโทษของความไม่ดีจนกระทั่งสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้คนนั้นมีเวลาที่จะเป็นคนดีทุกขณะที่จะเป็นได้ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ดีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอจนกว่าจะเข้าใจความจริงของสภาพธรรมแล้วจะดีขึ้น

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เป็นสิ่งที่ตรงที่สุด ที่จะให้เข้าใจถูกต้องว่าแม้ก่อนนี้ก็มีศีล ๕ กันรู้จักทั้งนั้นเลยศีล ๕ มีกี่ข้อ แต่หลังจากที่ได้ฟังพระธรรมแล้วศีล ๕ ประกอบด้วยปัญญารู้ว่าเป็นหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ก่อนนั้นที่จะได้ฟังพระธรรมศีลแต่ละข้อไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ต่อเมื่อใดมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีความเห็นที่ถูกต้อง การที่เคยเป็นคนดีมาก่อนแล้วก็มีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นความดีที่เพิ่มขึ้นก็คือว่าสามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในความจริงของสภาพธรรม ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นเพราะประกอบด้วยปัญญา ซึ่งเป็นหนทางที่จะทำให้ดับกิเลสได้ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นคำสอนโดยตรง เมื่อผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานใน ๔๕ พรรษา อุปการะให้คนได้เข้าใจธรรมตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด ตั้งแต่เห็นโทษของกิเลสแต่ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะตราบใดที่ยังเป็นเรา ถึงเป็นคนดี ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้

    อ.วิชัย การฆ่าสัตว์ก็เป็นสิ่งที่ ไม่ควรกระทำเพราะเหตุว่าเป็นการที่จะเบียดเบียนสัตว์อื่นให้ได้รับความเดือดร้อนจนถึงกับสิ้นชีวิต การที่จะไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นกับการที่มีปัญญาด้วย แต่ปัญญาที่รู้คือรู้อะไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้น เป็นเราหรือเป็นกิเลสที่ทำให้เกิดการกระทำทุจริต ถ้าไม่โกรธจะคิดทำร้ายเบียดเบียนไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่คิด

    ท่านอาจารย์ แล้วโกรธยังมีอยู่ใช่ไหม

    อ.วิชัย ก็ยังมีอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อโกรธเกิดขึ้น กายวาจาเป็นไปตามความโกรธหรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็นไปตามความโกรธ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพราะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราแต่เป็นอกุศล จึงเห็นโทษของอกุศลว่าเพราะอกุศลนั่นเองจึงมีการเบียดเบียน เพราะฉะนั้นการที่จะละการเบียดเบียนด้วยความไม่ใช่เรา แต่เพราะรู้ว่าเป็นธรรมซึ่งมีอยู่มากในใจ ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจธรรมกิเลสก็ไม่ลดลงไปเลย เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่าก่อนนี้ที่ไม่เคยฟังธรรมเป็นเรา ก่อนฟังธรรมทุกคนเป็นเด็ก ก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน บางท่านก็บอกว่า ลูกของเขามีศีล ๕ ตั้งแต่เป็นเด็กเลย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียน ไม่พูดปด แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่เมื่อรู้ว่าเป็นธรรมความเข้าใจว่าไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่ตราบใดยังมีอยู่ เพราะยังมีความไม่รู้ ก็ย่อมเป็นโทษซึ่งไม่สามารถที่จะหมดไปได้ จนกว่าจะมีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ความที่จะรู้อาการเบียดเบียนหรือความที่จะรู้โทษการเบียดเบียน และสุดท้ายนี่ ก็มาตกลงที่ความที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นคือธรรมไม่สามารถที่จะสั่งการควบคุมใจให้เราไม่เบียดเบียนได้ ความเจริญของความรู้ความเข้าใจ เป็นอาการของการเจริญของสติ

    ท่านอาจารย์ สงสัย เมื่อวานนี้เราก็พูดถึงเรื่องความสงสัยว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปหาสงสัยในตำรา ขณะใดที่สงสัยเริ่มรู้จักว่าเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คงจะไม่ทราบ เพราะว่าสงสัยอยู่เรื่อย

    ท่านอาจารย์ กำลังสงสัยลักษณะที่สงสัยไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นสงสัยมีแน่นอน

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แต่เคยเป็นเราใช่ไหม

    ผู้ฟัง น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะว่าสงสัยเรื่อย

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าได้ศึกษาแล้วก็คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมแต่เพราะเราฟังธรรมไม่พอ เราก็เลยไม่รู้ว่าทุกขณะนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นสงสัยไม่สงสัยหรืออะไรก็ตามทั้งหมดก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นขณะที่คิด ก็มีจริงๆ แล้วก็เป็นธรรมด้วย และทุกคนก็กำลังคิด แล้วก็คิดต่างๆ กันไปด้วยโดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว คิดก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเมื่อฟังธรรมแล้ว ความเป็นเราความติดข้องในความเป็นเรานี่ยังไม่หมดไปเลย ให้ทราบแต่เพียงว่าติดความเป็นเรานี่มามาก แล้วก็เมื่อไหร่จะหมดความเป็นเรา เมื่อปัญญาถึงระดับขั้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล เมื่อนั้นจะหมดความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง บางคนก็กลัวมากเลย พอพูดๆ ไปก็ขอโทษที่พูดเรา ก็จะไปต้องขอโทษอะไร ก็ทุกคนก็ต้องใช้คำนี้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่พระสารีบุตรพระองค์ก็ต้องตรัสคำว่าตถาคต ซึ่งหมายความถึงพระองค์ แต่ใครก็ตามที่เข้าใจความจริงแล้ว เมื่อพูดก็รู้ว่าหมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องภาษา จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าแม้แต่สิ่งที่มี ก็มีทั้งภายใน และภายนอก ภายในที่เคยยึดถือว่าเป็นเราตรงนี้ ภายนอกคือตรงอื่นที่ไม่ใช่เรา การฟังธรรมเพื่อค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงโดยไม่ห่วงตัวเอง และเข้าใจแค่ไหน แล้วทำอย่างไรถึงจะหมดกิเลส แล้วทำอย่างไรถึงจะเข้าใจได้ นั่นคือการรักตนอย่างยิ่งความเป็นห่วงตัวตนซึ่งเพิ่มเข้ามาหลังจากที่ฟังธรรมแล้ว แต่ถ้าฟังธรรมแล้วรู้ ว่า โกรธก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุคือยังมีความไม่รู้ ยังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    6 พ.ค. 2568