ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820


    ตอนที่ ๘๒๐

    สนทนาธรรม ที่ มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก

    วันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีเป็นธรรม แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จึงใช้คำว่าปรมัตถธรรม ปรม ในภาษาบาลี ภาษาไทยก็ใช้คำว่า บรม เพราะว่าภาษาบาลีใช้ ป แต่ภาษาไทยใช้ บ แทนที่จะพูดอย่างภาษาบาลีคือภาษามคธีว่าปรม เราก็พูดรวมเป็นบรม ใหญ่มากไหม ใครเปลี่ยนแปลงได้ไหม เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ความดีเป็นความดี ความชั่วเป็นความชั่ว ปนกันได้ไหม เห็นกับได้ยินก็ปนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละหนึ่งๆ เป็นปรมัตถธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่มีแต่เฉพาะประเทศไทย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในห้องนี้ ที่ไหนก็ตามที่มีอะไร สิ่งที่มีนั้นแหละเกิดจึงมีได้ ปรากฏให้ร่วมมีได้เป็นธรรมทั้งหมด และก็เป็นปรมัตถธรรมด้วย เพราะฉะนั้นปรมัตถธรรมกับธรรมไม่ได้แยกกันเลย ถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ ก็รู้ว่าธรรมนั่นแหละเป็นปรมัตถธรรม เปลี่ยนนิสัยของแต่ละคนไม่ได้ ตามการสะสมมา โกรธเกิดขึ้นไม่ใช่ตลอดเวลา โกรธก็หมดไปหายไป ก็เป็นปรมัตถธรรม และพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้การเกิดดับของสภาพธรรม คิดดู ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ แต่สืบต่อกันจนไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นต้องดับไปในขณะที่ได้ยิน พอได้ยินดับไป ก็มีเห็นอีกแล้ว และก็ต้องมีคิดต่อจากเห็น ต่อจากได้ยินด้วย สภาพธรรมทั้งหมดรวดเร็วเกิดดับสืบต่อลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงเป็นอภิธรรม ไปงานศพสวดพระอภิธรรม เข้าใจหรือยังตอนนี้ว่า สวดเรื่องความจริงที่กำลังมีว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง และก็เป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมด้วย โดยมากก็จะสวดคำว่า กุสลาธัมมา เห็นไหม ไม่ใช่ใครเลย ความดีความงามสภาพธรรมที่ดี เกิดแล้วไม่ให้โทษเลยไม่ว่ากับใคร เด็กผู้ใหญ่ คนยากจนหรือว่าคนมั่งมีเป็นเศรษฐี ธรรมก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นกุสลาธัมมา ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมฝ่ายดี ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอยากจะให้มีมากๆ เป็นไปไม่ได้ แต่ขณะที่กำลังเข้าใจธรรม กุสลาธัมมา ไม่ใช่เราเลย ความเข้าใจถูกเป็นกุศลธรรม และก็มีกุศลธรรมอีกหลายอย่างก็เป็นธรรมฝ่ายดี แต่โลกนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะกุศลกรรม อกุสลาธัมมา ธรรมฝ่ายไม่ดีก็มี เพราะฉะนั้นพอไปฟังสวดตอนนี้ก็รู้เลย พูดเรื่องความจริงเดี๋ยวนี้ในขณะนั้นด้วย และก็ที่มีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เริ่มจะเข้าใจเมื่อได้ฟังพระธรรม ทุกคำเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงธรรมล้วนๆ เลยคืออภิธรรม พระไตรปิฎกมี ๓ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก แต่ทั้งหมดเป็นธรรม แม้แต่วินัยปิฎก ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้น ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น จะต้องมีพระวินัยหรือ เพราะฉะนั้นพระวินัยก็เป็นส่วนสำหรับพระภิกษุที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตาม แต่พระวินัยปิฎกก็มีเรื่องราวด้วยที่จะแสดงให้เห็นการบัญญัติสิกขาบทแต่ละข้อว่า แรกเริ่มเดิมทีไม่มีการที่จะต้องบัญญัติสิกขาบท บทที่จะต้องศึกษาในเพศบรรพชิตเรียกว่าสิกขาบท เว้นอะไรบ้าง และก็ทำอะไรบ้างมากมาย ถ้าคฤหัสถ์จะอ่านพระวินัยปิฎกดีไหม ดี ประพฤติตามด้วยดีไหม ก็ดี สิ่งที่ดีไม่ได้ห้ามว่า เราทำไม่ได้ แต่เพราะไม่รู้ต่างหากว่าดีอย่างไรบ้าง ทางกายทางวาจา แต่จะรู้ได้ว่าดีอย่างไรบ้าง เมื่ออ่านหรือศึกษาพระวินัยปิฎก เพียงเพื่อที่จะเข้าใจ เพื่อที่จะประพฤติตาม เพราะว่าพระธรรมมากมาย ใครศึกษาหมดทั้ง ๓ ปิฎกนี้ ก็ตลอดชีวิตก็คงไม่ได้ แต่ว่าประโยชน์คือศึกษาและเข้าใจ แล้วประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าศึกษาเป็นตัวหนังสือเข้าใจว่าศึกษาธรรม ไม่ใช่ เพราะว่าทุกคำส่องถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็เข้าใจว่าธรรมคืออะไร ฟังธรรมคืออะไร ศึกษาธรรมคืออะไร ปฏิบัติธรรมคืออะไร เพราะว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจถูก คำว่าพุทธะคือปัญญา เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญาทุกคำ แม้แต่คำว่าธรรม แม้แต่พระวินัยก็เข้าใจแล้วว่าคฤหัถส์อ่านได้ ประพฤติตามได้ เป็นเรื่องชีวิตธรรมดา เป็นมารยาทที่งามพร้อมทั้งกายวาจา พระภิกษุพูดเสียงดังๆ อย่างชาวบ้านไม่ได้ แล้วเราตอนที่เราพูดดังๆ นั่นกุศลหรืออกุศล ควรไหม งามไหม ชอบไหม แม้แต่การที่จะไปสู่สกุล ก็เหมือนกับไปบ้านมิตรสหาย ก็มีการที่ว่าควรจะทำอย่างไร ไม่ควรจะทำอย่างไร ทั้งหมดมีพร้อมในพระวินัยปิฎก ที่เราบอกว่าเรารักษาศีล ๕ และบางวันเราก็รักษาศีล ๘ มากกว่า ๘ ก็ได้ ถ้าอ่านแล้วเห็นว่าสิ่งใดดีตามพระวินัย ก็ประพฤติตามได้ เป็นสิ่งที่ดีมาก สำหรับพระอภิธรรมเข้าใจแล้ว หมายความถึงตัวธรรมล้วนๆ พระเจ้าปเสนทิโกศล ถ้าไม่มีสภาพธรรมไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีการกระทำทางกายทางวาจา ก็ไม่มีใคร ไม่มีพระเจ้าปเสนทิโกศล เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงธรรมล้วนๆ เป็นอภิธรรมปิฎก ถ้ากล่าวถึงวินัยข้อประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุ ซึ่งจะต้องรักษาให้สมบูรณ์ มิฉะนั้นก็ไม่ใช่เพศบรรพชิต นั่นก็เป็นพระวินัยปิฎก แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ทรงแสดงกับใครที่ไหนบ้าง ด้วยเรื่องอะไรบ้าง นั่นคือพระสุตตันตปิฎก

    เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมด ไม่มีที่ไหนใน ๓ ปิฎก ที่จะไม่ใช่ธรรม ที่จะไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับปัญญา แต่ว่าทรงแยกเพื่อให้เห็นว่า สำหรับการที่จะเข้าใจธรรม ก็ควรที่จะสอดคล้องกันทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าใครเข้าใจว่าศึกษาธรรม แต่ไม่ศึกษาอภิธรรมถูกไหม ไม่ถูก เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจ ธรรมนั่นแหละเป็นอภิธรรมเป็นปรมัตถธรรม และพระวินัยก็ต้องมีธรรม อภิธรรมก็ต้องเป็นธรรม พระสูตรก็เป็นธรรม แต่ว่าต่างกันโดยที่ว่าประมวลไว้เพื่อสำหรับพระภิกษุ ก็เป็นพระวินัยปิฎก สำหรับอภิธรรมล้วนๆ แต่ก็มีการกล่าวถึงบุคคลด้วย เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีสภาพธรรมก็ไม่มีบุคคลที่เราสมมติกันว่า เป็นคนดี เป็นคนเลว แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นเรื่องของสภาพธรรม นั่นคืออภิธรรมปิฎก ส่วนพระธรรมอื่นๆ ที่กล่าวถึงเรื่องอื่นทั้งหมด ก็เป็นพระสุตตันตปิฎก เคยได้ยินชื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีไหม นั่นแหละพระสุตตันตปิฎก วิสาขามิคารมารดา เรื่องราวทั้งหมดก็คือพระสุตตันตปิฎก

    เพราะฉะนั้นที่ถามว่าจำเป็นไหม ถ้าจะเข้าใจธรรม ทุกอย่างที่ทำให้เข้าใจถูกไม่เลือกว่าจะเป็นสูตรไหน หรือว่าจะอยู่ในพระอภิธรรม หรือจะอยู่ในพระสูตร หรือจะอยู่ในพระวินัย ถ้าสามารถทำให้เข้าใจได้ ทั้งหมดดี เพราะเหตุว่าดีกว่าไม่เข้าใจ จะฟังวิทยุหรือจะทำอะไรก็ได้ แต่ขอให้รู้ว่าขณะนั้นฟังธรรม คือฟังสิ่งที่มีจริง จึงจะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่น

    ผู้ฟัง ดิฉันเองยังไม่เข้าใจลึกซึ้งคำว่าธรรมกับธรรมะ อย่างเราพูดว่า ขอเป็นธรรมแปลว่าอะไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้ แต่พูดแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง พูดไปตามที่เขาพูดกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นธรรมมากมายทุกอย่างเลย กุศลก็มี อกุศลก็มี เพราะฉะนั้นขออะไร คงไม่ขออกุศลใช่ไหม ขอความเป็นธรรม ขอความเป็นธรรมก็คือความถูกต้อง ยุติคือสมควร สิ่งที่สมควรต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขอความสมควรแก่เหตุนั้น ความถูกต้อง ยุติธรรม เราพูดสั้นๆ ว่า ขอความเป็นธรรม แต่เราไม่ได้หมายความถึงอกุศลธรรม

    ผู้ฟัง ตัวดิฉันไปวัดทุกวันก็จริง แต่ฟังคำของพระที่สอนว่าธรรมคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมแล้วก็จะต้องตั้งจิตนึกถึงสิ่งที่ดีๆ และสิ่งที่ไม่ดีเราก็ไม่ฟัง คิดในสิ่งที่ดี ก็มีแค่นี้ที่ทราบ

    ท่านอาจารย์ พอหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็อยากได้รับธรรมอยู่เรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ คือท่านก็อธิบายหลายๆ อย่าง

    ท่านอาจารย์ ทีนี้เราทราบไหมว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องต่างกับคำสอนอื่น คือคำสอนของพระองค์ทุกคำให้เกิดความเข้าใจ ให้เกิดความเห็นถูกให้เกิดปัญญา แต่ถ้าเป็นคำสอนอื่นสอนให้ทำแต่ไม่ให้เข้าใจอะไรเลย แล้วทำได้หรือ ทำจิต จิตอยู่ไหน และจิตคืออะไร เดี๋ยวนี้มีจิตหรือเปล่า และใครทำจิตได้ เราพูดมาทุกคำเลย แต่ว่าถ้าจะศึกษาให้เข้าใจทีละคำ ใครรู้จักจิตบ้าง ใครไม่มีจิตบ้าง มีทุกคนใช่ไหม แต่ไม่รู้จักจิต คิดดู อยู่มาตั้งนาน แล้วก็บอกว่ามีจิตแต่ไม่รู้จักจิต เพราะฉะนั้นถ้าฟังพระธรรมแล้ว คำสอนทุกคำให้เรารู้จักสิ่งที่มีจริงๆ แม้แต่คำว่าจิต ขณะนี้เห็น เห็นกำลังเห็น ยังไม่บอกว่าเห็นอะไร มีเห็นไหม มีใช่ไหม ยังไม่ถามว่าเห็นอะไร เพียงแค่ว่ามีเห็นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีเห็น เห็นต้องเกิด ใครเห็นรูปร่างของจิตที่เห็นบ้าง แสดงว่าจิตไม่มีรูปร่าง แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีรูปร่างไม่มีสีสันไม่มีกลิ่นไม่มีรส แต่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ จิตเกิดขึ้นไม่รู้ไม่ได้เลย แต่จะรู้ทางไหน รู้ทางตากำลังเห็น คนตายไม่เห็นไม่มีจิตเห็น ยังไม่เป็นจิตของใครเลย เพียงให้รู้จักว่าจิตคืออะไรก่อน เพราะฉะนั้นฟังธรรมเริ่มเข้าไปถึงความละเอียดอย่างยิ่ง แล้วจึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงกับที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ไม่ใช่ผู้ใดคิดธรรม แล้วก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส แต่จะเห็นธรรมได้ก็ต่อเมื่อฟังแล้วเข้าใจ เพราะว่าทุกคำที่เราไม่รู้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ละเอียดยิ่ง แม้แต่คำว่าจิต เราพูดกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่รู้ว่าจิตคืออะไร แต่ ณ บัดนี้มีเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าหลับตาไม่มีสิ่งที่ปรากฏ และไม่มีจิตเห็น ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นต้องเป็นหนึ่ง อย่างหนึ่งในสังสารวัฏที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่รู้เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่นี้เราพูดถึงธรรม ผ่านคำนี้ไม่ได้เลย ทุกอย่างที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นขอทบทวนนิดหน่อย เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง เห็นจริง คิดจริง พวกนี้เป็นสิ่งที่มีจริง และอ่อนแข็งมีไหม มี อ่อนแข็งเป็นสภาพรู้หรือเปล่า สามารถรู้อะไรได้หรือเปล่า ตัวแข็ง ลักษณะที่เย็นๆ แข็งๆ รู้อะไรหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงก่อนอื่นทั้งหมด เข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมที่ต่างกันเป็น ๒ อย่างใหญ่ๆ สภาพธรรมอย่างหนึ่ง เกิดจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เสียงเกิดแล้วดับแล้วไม่รู้อะไร ไม่หิว ไม่โกรธ กลิ่นก็มีเกิดแล้ว ไม่สามารถจะจำอะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดในโลกนี้ หรือโลกไหนก็ตามสากลจักรวาลทั้งหมด ที่ไหนก็ตาม จะมีสิ่งที่แยกกันเป็นประเภทใหญ่ๆ ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่ง ธรรมอย่างหนึ่ง เกิดจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติคำเรียกสภาพธรรมนั้นว่า รูปะ หรือภาษาไทยใช้คำว่ารูป รูปธรรม เริ่มรู้จักรูปธรรมในอีกความหมายหนึ่ง สิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น คนตายไม่มีจิต แต่มีร่างกายเป็นรูป รูปของคนตายหรือรูปของใครก็เหมือนกัน คนที่นั่งอยู่ที่นี่เหมือนกันหมด รูปไม่รู้อะไร แต่จิตหรือสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ต้องรู้ เกิดเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามี เพราะมีธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้จะไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น แต่เพราะว่าเมื่อลืมตาเห็น ก็รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เวลาได้ยินเสียง ก็รู้ว่ามีเสียง ทุกคนรู้ว่ามีเสียง แต่ที่รู้ว่ามีเสียง คือสภาพรู้ที่เราใช้คำว่าได้ยิน ได้ยินเป็นสภาพรู้ เราจะใช้คำว่าจิตก็ได้ หมายความว่าเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ได้มีแต่รูปธรรม มีนามธรรมคือธาตุรู้ คือจิตด้วย เริ่มเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดแล้วต้องรู้ ใช้คำอะไรก็ได้ ใช้คำว่าจิตก็ได้ ใช้คำว่าวิญญาณก็ได้ ใช้คำว่ามโนก็ได้ ใช้คำว่ามนัสก็ได้ ใช้คำว่าหทัยก็ได้ จะใช้คำไหนในภาษาไหนก็ได้ ไม่เรียกเลยจิตก็เกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ นี่คือธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีเราไม่มีอะไรเลย แต่มีรูปธรรมกับนามธรรม ถูกต้องไหม ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ

    ผู้ฟัง คำว่าจิต คือช่วยให้มีสติ จะทำอะไร ก็ตั้งจิตก่อน

    ท่านอาจารย์ อันนี้เป็นการฟังธรรมเผินๆ รวบรัดรวดเร็ว แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอย่างละเอียดแต่ละหนึ่ง อย่างเมื่อสักครู่นี้ตั้งจิตตั้งอย่างไร อะไรจะไปตั้งจิต และใช้คำว่าสติ สติคืออะไร คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่สำหรับพูดตาม ไม่ใช่สำหรับท่อง แต่สำหรับเข้าใจให้ถูกต้องว่า นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริง ซึ่งพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ ใครจะไปตั้งจิต จิตเกิดแล้วดับแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้เกิดความเข้าใจของตนเอง จากการที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ความเป็นปุถุชนผู้มืดบอดมาเป็นการได้ยินได้ฟังคำ ซึ่งคนอื่นกล่าวไม่ได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำนำไปสู่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกจริงๆ ซึ่งไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย และก็แสดงความจริงด้วย อย่างจิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ถ้ากล่าวลอยๆ แล้วจิตอยู่ไหน ก็เดี๋ยวนี้ที่เห็น ก็เดี๋ยวนี้ที่ได้ยิน ก็เดี๋ยวนี้ที่คิด เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่ามีจิต ก็คือกำลังเห็นเป็นจิต ๕ ทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จิตเกิดขึ้นเห็น จิตเกิดขึ้นได้ยิน จิตเกิดขึ้นได้กลิ่นทางจมูก แล้วก็จิตเกิดขึ้นลิ้มรสในขณะที่รสปรากฏในขณะที่รับประทานอาหาร ต่อไปนี้พอรสปรากฏรู้เลย นั่นแหละจิตที่กำลังรู้รส ไม่ต้องไปหาจิตที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ก็นี่แหละจิตที่กำลังได้ยิน เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพรู้ ซึ่งชีวิตประจำวันก็จะปรากฏว่าจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสกาย เย็นบ้างร้อนบ้าง อ่อนบ้างแข็งบ้าง ถ้าไม่มีจิตไม่รู้ แข็งกระทบกายก็ไม่รู้ แต่ที่กำลังรู้แข็ง นั่นคือจิตที่รู้สิ่งที่กระทบว่าแข็ง และขณะที่คิดนึกก็เป็นจิต เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ มีจิตอาศัยตาหูจมูกลิ้นกายและใจคิดนึก จิตหลากหลายมากในวันหนึ่งๆ สภาพรู้ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นจิต พอจะเข้าใจจิตก่อน และต่อไปจะเข้าใจคำอื่นต่อไป เดี๋ยวนี้มีจิตทางตาเห็น หูได้ยิน ไปตั้งไม่ได้ ไปทำอะไรไม่ได้ เกิดแล้วดับแล้ว

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นไม่ลืมคำแรกที่ได้ฟัง การฟังธรรมต้องเข้าใจตามลำดับ และเปลี่ยนไม่ได้ด้วย ถ้ารู้จักว่าธรรมคืออะไร ทุกสิ่งที่มีจริง และธรรมที่มีจริงที่เป็นรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ธรรมที่เป็นธาตุรู้ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึกก็มีจริง แต่ว่าเป็นธรรมซึ่งต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นทั้งหมดโลกไม่ว่าโลกไหน ก็เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเป็นรูปธรรมกับนามธรรม ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นนามธรรมโลกไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะที่นอนหลับสนิท ลองคิด คือธรรมเป็นเรื่องคิด และความจริงต้องเป็นความจริง เปลี่ยนความจริงไม่ได้ การที่เราจะเข้าใจจิต เราต้องมีการคิดไตร่ตรองหลายด้าน หลายแง่หลายมุม จนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ว่าเราเข้าใจจิตแล้ว เพราะฉะนั้นลองคิดว่ากำลังหลับ มีจิตไหม มีแน่นอน ก่อนอื่นธาตุรู้ต้องมี แต่ขณะนั้นไม่ได้รู้ทางตา ไม่ได้รู้ทางหู ไม่ได้รู้ทางจมูก ไม่ได้รู้ทางกาย ไม่ได้คิดนึกทางใจด้วย แต่จิตนั้นเกิดดับดำรงภพชาติ เพราะตื่นขึ้นเห็นแล้ว ตื่นขึ้นได้ยินแล้ว

    เพราะฉะนั้นจิตหลากหลายมากที่ทรงแสดงไว้เป็น ๘๙ ประเภท แล้วทั้งหมดเรามีไม่ครบ เพราะเป็นจิตของพระอรหันต์บ้าง เป็นจิตของพระโสดาบันบ้าง หลากหลาย แต่เราก็สามารถที่จะรู้ว่าปกติไม่ขาดจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็จิตคิดนึกเรื่องต่างๆ เพราะเห็นบ้างได้ยินบ้าง นี่คือชีวิต เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ตายแล้วก็เกิดอีก เพราะฉะนั้นแทนที่จะคิดว่าเมื่อไหร่จะตาย ก็คือเมื่อไหร่จะเกิด ถ้าเกิดแล้วไม่เป็นอย่างคนนี้อีกแล้ว สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แต่ต้องเกิด เหมือนกับที่เราจากโลกก่อนนี้มา และเราก็ต้องเกิดเป็นคนนี้โดยเลือกไม่ได้เลย และการเป็นคนนี้ก็กำลังจะสิ้นสุดลง

    เพราะฉะนั้นการเกิดเลือกไม่ได้ แล้วแต่กรรมที่จะทำให้เกิดเป็นอะไร ขณะนี้เหมือนนายช่างวาดรูปภาพสำหรับชาติหน้าต่อไป รูปร่างจะสวยงามจะเป็นอย่างไร เครื่องประดับมากน้อยเท่าไหร่ สุขทุกข์เท่าไหร่ ก็มาจากการกระทำที่เป็นเหตุในโลกนี้ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงทุกขณะไม่ว่าก่อนเกิด ต้องมีการตายของชาติก่อน ถ้าชาติก่อนยังไม่ตาย ชาตินี้ก็เกิดเป็นอย่างนี้ไม่ได้ และก็ก่อนจะเกิดใหม่ก็ต้องมีการจากโลกนี้ไป ตายก่อนแล้วถึงจะเกิดได้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่ให้เราไปตั้งจิต แต่จิตมีจริงๆ เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจจิตทีละเล็กทีละน้อยว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็ต้องมีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้ และก็ดับไป ตรงกับคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ลืมไม่ได้ คือธรรมเป็นธรรม ไม่เป็นใครเลย

    ผู้ฟัง คำว่าจิต บางครั้งจิตฟุ้งซ่าน

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ตั้งจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ถ้าตั้งจิตได้หมายความว่าไม่เข้าใจจิต จิตเกิดแล้วดับ

    ผู้ฟัง ทีนี้บางครั้งจิตฟุ้งซ่าน

    ท่านอาจารย์ จิตฟุ้งซ่านเกิดแล้วดับ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ

    ผู้ฟัง เราจะมีคำว่าพุทโธ พุทโธ ซึ่งจะยึดติดมาอยู่ในใจ จะใช้ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นคิดคำว่าพุทธ แต่ไม่เข้าใจ คิดคำว่าโธ แต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แต่พระธรรมทุกคำให้เข้าใจ นี่เป็นมรดกเป็นทรัพย์ที่มีค่าประเสริฐสุด ใครจะให้ความเข้าใจได้ เกิดมากี่ชาติ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีคำที่ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้เลย เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมต้องรู้ว่า ไม่ใช่คำของคนอื่น แต่เป็นคำจริง ใช้คำว่าวาจาสัจจะ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้นถ้าไตร่ตรองและก็ฟังเพิ่มขึ้น จะเข้าใจขึ้นอีกมากทีเดียว ยังมีเวลาที่จะได้ฟัง แล้วก็มีเวลาที่จะเข้าใจขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    1 มิ.ย. 2568