ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795


    ตอนที่ ๗๙๕

    สนทนาธรรม ที่ เซอร์เจมส์ รีสอร์ท จ.สระบุรี

    วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ การที่จะได้ประโยชน์จริงๆ เป็นความเข้าใจของตนเองจริงๆ ต้องเป็นผู้ตรง การศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ จึงจะได้สาระ ไม่ใช่เชื่อเร็วเชื่อตาม แต่ต้องไตร่ตรอง ค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ความตรงต่อสิ่งใดถูกก็ถูก สิ่งใดผิดก็ผิด เพราะฉะนั้นถ้าจะได้สาระจากพระธรรมต่อๆ ไปต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่เขาคงไม่เชื่อเร็วว่า ชาติหน้ามีจริงอะไรอย่างนี้ แต่ว่าก็ยังไม่รู้จักชาตินี้

    ท่านอาจารย์ ก็กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ เพื่อให้ลองไตร่ตรองคิดดูว่า กว่าจะถึงความเป็นผู้ที่ประเสริฐด้วยปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ อย่างทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ใฝ่ธรรมที่จะรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าเพียงแค่ฟังเข้าใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่แม้มีอยู่ ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังเลยตลอดทั้งชาติก็ไม่รู้ว่าชาตินี้มีจริงหรือเปล่า แล้วก็เกิดมาจากไหน และจะไปไหน และแต่ละวันเป็นอย่างไร มีใครทราบว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่มีเหตุแล้วที่จะให้เกิดเหมือนเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ไม่รู้เลยว่าวันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น จะยังอยู่ในโลกนี้ต่อไป หรือว่าจะจากโลกนี้ไป ใครรู้ เช้าสายบ่ายค่ำ ไม่มีใครสามารถจะรู้สิ่งที่ยังไม่เกิด แต่ว่าเมื่อเป็นผู้ตรงต่อความจริงคือเหตุและผล ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล เพราะว่าเราพูดถึงเรื่องการเกิด เราก็ยังไม่รู้เลย อะไรเกิด เพราะฉะนั้นคำถามจะค่อยๆ ถามไป ค่อยๆ คิดไป ค่อยๆ ไตร่ตรองไป จนกระทั่งเป็นความรู้ความเข้าใจของตนเองอย่างมั่นคง เป็นผู้มีเหตุผลเป็นผู้ที่ตรงเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง ทุกคนตั้งแต่ตอนต้นที่เริ่มฟังธรรม จะคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่างเดียว เพราะไม่รู้ แต่เมื่อฟังแล้ว เริ่มเข้าใจเริ่มไตร่ตรองเริ่มรู้ และเริ่มคิดพิจารณาด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้มีอะไรเกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนนี้มีเสียงผมเกิดขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง จริงใช่ไหม จริงก็คือจริง นอกจากเสียงมีอะไรอีก

    ผู้ฟัง มีลมหายใจด้วย

    ท่านอาจารย์ รู้จักลมเรียกว่าลม แต่ลักษณะของลมเป็นอย่างไร เราเรียกชื่อต่างๆ แต่ว่าลักษณะจริงๆ เป็นอย่างไร ต้องมีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้

    ผู้ฟัง ลมเรามองไม่เห็น แต่เรารู้สึกได้

    ท่านอาจารย์ ทางไหน

    ผู้ฟัง ก็คือผมเอามือมา จะทำให้รู้สึกได้ว่าเย็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อาศัยตาใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อาศัยหู

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อาศัยจมูก

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ อาศัยกาย กายปสาทสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏว่าขณะนั้นเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว แต่ว่าเพราะเหตุว่าทุกอย่างปรากฏสั้นมาก เกิดแล้วดับไป แล้วก็เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้าขณะนั้นถ้าไม่กำลังปรากฏจริงๆ เราคิด แต่ไม่ใช่การรู้ใช่ไหม อย่างเราเคยกระทบน้ำแข็ง เราบอกว่าน้ำแข็งเย็น แต่ว่าไม่ใช่เย็นที่กำลังกระทบปรากฏ เพราะฉะนั้นก็ต่างกัน มีอะไรอีกนอกจากลม ภาพที่ปรากฏอันนี้ลองหลับตา มีภาพไหม ไม่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งสิ่งนั้นสามารถกระทบตา เราจะไม่รู้เลยว่าที่ร่างกายของเรามีรูปพิเศษอยู่ ๕ รูป รูปหนึ่งอยู่ที่กลางตามองไม่เห็นเลย แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ได้กระทบตาจะปรากฏไม่ได้เลยว่ามี แต่แม้ว่ามีตารูปพิเศษที่สามารถกระทบได้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่ก็ต้องมีจิตคือธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเห็น เพราะว่าจักขุปสาทรูปพิเศษนั้นไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ธรรมมีสองอย่าง อย่างหนึ่งเกิดมี แต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เย็นก็รู้อะไรไม่ได้ อ่อนแข็ง เสียงพวกนี้รู้อะไรไม่ได้ สิ่งที่รู้อะไรไม่ได้ทั้งหมดพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่าเป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม ไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้ามีแต่เฉพาะธาตุที่ไม่รู้อะไร หรือรูปที่ไม่รู้อะไร อะไรอะไรก็ไม่ปรากฏใช่ไหม ไม่ว่าจะมีแข็ง มีเสียง มีอะไร แต่ไม่มีธาตุที่เกิดขึ้นรู้ สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามี เริ่มอีกขั้นหนึ่งแล้ว ที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้นว่าสิ่งที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท ประเภทหนึ่ง เกิดจริงมีจริง แต่รู้อะไรไม่ได้เลย ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น อีกประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นมีจริง แต่ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น เกิดขึ้นรู้ เช่น ขณะนี้เมื่อสักครู่นี้บอกว่าเห็นภาพใช่ไหม สิ่งที่ถูกเห็นไม่รู้อะไร แต่เห็นเกิดขึ้นรู้ว่า มีสิ่งนั้นกำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เกิดหรือเปล่า เกิด

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างในห้องนี้ที่มีจริงทั้งหมดเกิดจึงมีจริง แล้วแต่ว่าจะปรากฏให้เห็นทางตา หรือว่าปรากฏให้ได้ยินเป็นเสียงทางหู ปรากฏให้รู้ว่าแข็งเมื่อกระทบสัมผัส ปรากฏให้รู้ว่าเป็นกลิ่น เมื่อมีกลิ่นกระทบกับจมูก หรือฆานปสาท รสต่างๆ ก็กระทบได้เฉพาะเมื่อกำลังลิ้มรส เพราะมีลิ้น ถ้าไม่มีลิ้นซึ่งเป็นรูปพิเศษที่เรามองไม่เห็นเลย เราเห็นแต่รูปร่างของลิ้น แต่ตัวปสาทรูปที่กระทบกับรส เรามองไม่เห็นเลย เราเห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่คือพระธรรมที่ทรงแสดงไว้อย่างละเอียดยิ่ง ให้รู้ว่าแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นโลกแต่ละโลกซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นความหมายของโลกก็คือสิ่งที่มีเกิดขึ้นและก็ดับไป เห็นเป็นโลกหรือเปล่า คิดว่าโลกต้องรวมกันหลายอย่าง แต่ว่าความจริงถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง โลกไม่มี เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นโลกก็ต่อเมื่อมีแต่ละหนึ่งรวมกันแล้วเข้าใจว่า เป็นโลก แต่ความจริงแล้วแต่ละหนึ่งนั่นแหละเป็นโลกแต่ละหนึ่ง เพราะถ้าเอาแต่ละหนึ่งออกหมดโลกก็ไม่มี

    ด้วยเหตุนี้ลองพิจารณาไตร่ตรองว่า สิ่งที่มีที่เกิดขึ้นนั่นแหละเป็นโลกแต่ละโลกได้ไหม ได้ นี่คือเริ่มเข้าใจแล้ว และข้อความเหล่านี้จะมีอีกมากในพระไตรปิฏกซึ่งแสดงความจริงให้รู้ว่า เราไม่ได้รู้ความจริงเลยว่า โลกคืออะไร แต่ว่าถ้าได้ฟังแล้วก็เริ่มจะเข้าใจขึ้น สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นเกิดแล้วก็ดับไปด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับ เมื่อสักครู่นี้กับขณะนี้เป็นขณะเดียวกันหรือเปล่า ไม่ หมายความว่าขณะก่อนต้องหมดไปแล้ว จึงได้มีขณะนี้ และสิ่งซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ได้จนกว่าปัญญาจะอบรมเจริญขึ้น ก็คือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย มีอะไรเหลือบ้างเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้เหมือนวันนี้ไหม ไม่เหมือน เมื่อวานนี้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นถึงค่ำมีตั้งหลายอย่างใช่ไหม เดี๋ยวเห็นเดี๋ยวได้ยินเดี๋ยวคิด เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวห่วงเดี๋ยวกังวล เดี๋ยวเจ็บ ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป เมื่อหลับสนิท มีอะไรเหลือบ้าง ตอนหลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลยใช่ไหม หายไปไหนหมด เพราะว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับแล้วไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้นหลับสนิทแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่มีแม้แต่การคิดว่ามีเรา หรือเป็นเราที่กำลังหลับสนิท หมดเลย จนกว่าพอตื่นมาอีกแล้ว มีอีกแล้ว โลกปรากฏอีกแล้ว แต่ถ้าจากโลกนี้ไปในขณะที่หลับสนิท โลกนี้ไม่มีอีกเลย ตื่นเมื่อไหร่เป็นอีกโลกหนึ่งแล้ว ไม่รู้เลยว่าจะเป็นโลกไหน เหมือนเมื่อวานนี้ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร และวันนี้ก็ไม่รู้อีกว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ต้องมีการเกิดแน่นอน เพราะเหตุว่ายังมีปัจจัยยังมีกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิด ต่อเมื่อไหร่ดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นรู้ความหมายของพระอรหันต์ว่าผู้ที่ดับกิเลสหมด ผู้นั้นแหละเมื่อจิตขณะสุดท้ายชาตินี้ดับลงไม่เกิดอีกเลย จึงใช้คำว่าปรินิพพานกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ปรินิพพานไม่มีการเกิดอีก แต่สำหรับคนอื่นทั้งหมดตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เพราะเดี๋ยวนี้ก็กำลังเกิด จากเมื่อวานนี้เกิดเป็นวันนี้ได้ไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรง เห็นเมื่อสักครู่นี้หมดแล้วดับแล้ว เห็นใหม่แล้วเดี๋ยวนี้ ถ้ามีใครเดินเข้ามาในห้องนี้สักคนหนึ่ง เราบอกว่ามีคนเข้ามาในห้องนี้เห็นใหม่แล้ว เมื่อสักครู่นี้ไม่มี แต่พอเห็นสิ่งใหม่มีคนเข้ามาในห้อง เห็นใหม่แล้วใช่ไหม ก็แสดงว่าเห็นเก่าเมื่อสักครู่นี้ต้องดับไปแล้ว แต่ขณะนี้ให้ทราบว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้คำว่าไม่เที่ยงไม่แน่นอนเลย เกิดแล้วจะตายเมื่อไหร่ได้ทั้งสิ้น กำลังเห็นอย่างนี้จะตาบอดเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่เหตุ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นไปได้ทั้งหมดไม่มีใครรู้ล่วงหน้า แต่สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก เมื่อวานนี้ไม่กลับมาเป็นวันนี้ เมื่อเช้านี้ก็ไม่ได้กลับมาเป็นเดี๋ยวนี้ เมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ใช่ขณะนี้

    นี่คือเราค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้นในความหมายของโลก และในความหมายของการเกิดดับ และในความหมายของธรรม หลายคำแล้วใช่ไหม เริ่มจากธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด และธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏก็ต้องเกิดขึ้น ไม่เกิดจะปรากฎได้อย่างไร เกิดแล้วก็ดับไปไม่เที่ยงไม่เหลือเลยด้วย ไม่ทราบตอบคำถามไปหมดหรือยัง คำถามแรกๆ เรื่องตายแล้วเกิด พอจะเข้าใจได้ไหม เกิดทุกขณะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความตาย ๓ อย่าง ขณิกมรณะ สมมติมรณะ สมุจเฉทมรณะ ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ความตายมี ๓ อย่าง ขณิกมรณะ ก็คือตายทุกๆ ขณะ ก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป นี่คือกล่าวโดยความตายโดยแต่ละขณะแต่ละขณะ เห็นดับไปแล้ว เกิดแล้วดับไป ก็เป็นขณะหนึ่ง ซึ่งก็เป็นขณิกมรณะ แล้วก็กล่าวหมายรวมสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่เกิดแล้วดับไป ก็กล่าวเรียกว่าเป็นขณิกมรณะ ความตายอีกประเภทหนึ่ง ก็คือสมมติมรณะ คือเป็นการรู้ว่าตายคือคนนั้นคนนี้ตาย ซึ่งข้อความในอรรถกถา ก็ได้ยกตัวอย่างว่าคนชื่อสุชาติ สุชาโตตายแล้ว เป็นต้น อันนี้คือเป็นการตายโดยสมมติ เพราะว่าเมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการตาย มีการละจากโลกนี้ไป เป็นการรู้กันว่าคนนี้ตาย นี่คือกล่าวโดยคนตายสัตว์ตาย ก็เรียกว่าสมมติมรณะ คือรู้ว่าตาย และความตายประเภทที่ ๓ สมุจเฉทมรณะ ซึ่งเป็นการตายโดยเด็ดขาดคือไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย ซึ่งก็สอดคล้องกัน กับที่ได้สนทนาที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่าเป็นการตายของพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่เรียกว่าดับขันธปรินิพพาน เพราะเหตุว่าเมื่อตายแล้วก็ไม่มีการเกิดอีกเลย จึงเป็นการตายอย่างเด็ดขาด เพราะว่าไม่มีการเกิดอีกเลย ซึ่งก็เฉพาะผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น ที่เรียกว่าสมุจเฉทมรณะ

    ท่านอาจารย์ ก็ขอทบทวน เพื่อที่จะได้เข้าใจมั่นคง ไม่ต้องไปท่อง แล้วก็ไม่ต้องคิดว่า จะต้องไปจำคำเยอะๆ เมื่อเข้าใจแล้วก็จำได้ เห็นตายหรือเปล่า เมื่อสักครู่นี้พูดถึงแต่ละหนึ่ง เห็นเกิดหรือเปล่า ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็นใช่ไหม เห็นเกิดและตายเรียกว่าดับไปไม่กลับมาอีกเลย เพราะในขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็น ทีละหนึ่งขณะสั้นแสนสั้น และเร็วสุดที่จะประมาณได้ รวมกันแล้วเหมือนพร้อมกันทั้งเห็นทั้งได้ยิน แต่ในเมื่อเห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน จะเป็นสิ่งเดียวกันไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เห็นเกิดต้องอาศัยตา และเวลาที่ได้ยินเกิดก็ต้องอาศัยหู เพราะฉะนั้นเห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้เลย ในขณะที่เห็นจะมีได้ยินไม่ได้ เห็นต้องดับไปก่อนจริงๆ นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า ธรรมที่เป็นสังขารทั้งหลายที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นต้องดับไปไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นแม้เห็นเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ และได้ยินเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ใช่ได้ยินเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ ที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะมีความเห็นที่ถูกต้องว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สืบต่ออย่างเร็วรวมกันจนเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง นี่เริ่มเห็นความต่างของผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม เข้าใจว่าเที่ยง โลกเที่ยง โลกเป็นอย่างนี้แหละ เราเป็นอย่างนี้แหละ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ว่าตามความจริงผู้ที่ทรงตรัสรู้ตรัสรู้ว่า สิ่งที่เกิดแล้วดับเร็วมากจนกระทั่งไม่ปรากฏการเกิดดับ เหมือนเราจุดก้านธูปหนึ่งก้าน แสงไฟนิดเดียว แต่ว่าแกว่งเร็วๆ เป็นวงกลมก็เห็นแสงสว่างเป็นวงกลมของก้านธูป

    เพราะฉะนั้นเวลานี้สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อสลับกันทีละหนึ่งขณะ เป็นขณิกมรณะอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงสมมติมรณะคือไม่มีการที่จะเห็นต่อไป ได้ยินต่อไป ที่จะเป็นคนนี้ต่อไปในชาตินี้ จึงเรียกว่าตาย หมายความว่าคนนั้นเกิดและคนนั้นตาย เฉพาะการเป็นบุคคลนั้นเป็นได้ชาตินี้ชาติเดียว และกรรมหนึ่งก็ทำให้เกิดต่อทันทีเป็นบุคคลซึ่งไม่ใช่บุคคลในชาตินี้ แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นอะไรตามกรรม เกิดเป็นนกมีนกไหม มี นกเห็นไหม จิตเห็นของนกดับไหม ถ้าศึกษาธรรมต้องตรง เห็นไม่ใช่นก ไม่ใช่คน ไม่ใช่ปลา เห็นเป็นเห็น เห็นเกิดแล้วเห็นดับ ไม่มีอะไรเลยซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ แต่เราเรียกนกบ้าง คนบ้าง โดยรูปร่าง ถ้าเอารูปร่างออกหมด เห็นก็ต้องเป็นเห็น เทวดาก็เห็น คนก็เห็น งูก็เห็น นกก็เห็น เราเรียกชื่อ แต่ว่าเห็นต้องเป็นเห็น ถ้าไม่มีรูปร่างใดๆ เลยเหมือนกันไหม จะเรียกว่าคนมั่งมีเป็นเศรษฐี ยาจกขอทาน โรคภัยต่างๆ ก็คือสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง นี่คือความหมายของคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อมีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นอาศัยเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายแต่ละชาติก็เป็นธรรม ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่ในขณะนี้ ไม่มีอะไรที่ปรากฏแล้วไม่เกิดดับ เป็นขณิกมรณะ ถึงสมมติมรณะหรือยัง ขณะนี้เป็นขณิกมรณะทุกขณะเลย แล้วถึงสมมติซึ่งคนไทยใช้คำว่าสมมติว่าตาย ถึงหรือยัง ยัง จะต้องถึงไหม แน่นอนไหม

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เกิดต่อเหมือนขณะนี้ สิ่งใดที่ดับไปแล้ว ก็มีสิ่งอื่นซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้นสืบต่อไป ที่ใช้คำว่าสังสารวัฏ เมื่อสักครู่นี้ที่ใช้คำว่าวัฏจักร คุณคำปั่นกรุณาให้ความหมายด้วย

    อ.คำปั่น ก็เป็นคำที่มาต่อกันในคำสองคำ ก็คือวัฏฏะ คำหนึ่ง อีกคำหนึ่ง ก็คือจักกะ ความหมายของวัฏฏะ ก็คือความเป็นไปของสภาพธรรมที่เรียกว่าวนเวียน วนเวียนไปด้วยอำนาจของกิเลสบ้าง ด้วยอำนาจของกรรมบ้าง แล้วก็ด้วยอำนาจของการรับผลของกรรมบ้าง แล้วก็อีกคำหนึ่ง ก็คือจักกะ ซึ่งก็เป็นคำที่มีความหมายว่าความหมุนไป หรือว่าที่กล่าวว่าเป็นกงล้อ ก็คือเป็นการกล่าวถึงความเป็นไปของธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้นั่นเอง ซึ่งจะมีคำอยู่หลายคำ ที่กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงสังสารวัฏเมื่อสักครู่นี้ ก็คือขณะนี้ที่กล่าวถึงสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เกิดมากมาย บางพระชาติเกิดเป็นคนยากจนเข็ญใจ บางพระชาติก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน บางพระชาติก็เป็นพญาช้าง เพราะฉะนั้นก็ไม่มีการแน่นอนเลยว่า จากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นอะไร และที่มาสู่โลกนี้เพราะกรรมอะไร ในเมื่อวันหนึ่งวันหนึ่งก็มีกรรม แต่ละวันก็แต่ละกรรมไปมากมาย ตั้งแต่เกิดจนตาย เราไม่สามารถจะเลือกกรรมที่จะเกิดต่อจากชาตินี้ที่จะให้เป็นใครได้เลย แต่ก็จะรู้ได้ว่าไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่มีชีวิต จะเป็นงู เป็นปลา เป็นนก เป็นคน เป็นเทพ ก็เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ แต่ละขณะสืบต่อไม่สิ้นสุดเลย นานแสนนานมาแล้ว กว่าจะเป็นคนนี้ชาตินี้ซึ่งกำลังได้ยินคำนี้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องตาย ก็เลยคิดถึงเรื่องตายโดยเด็ดขาด คงทำได้ยาก เพราะไม่ใช่พระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ ทำได้ไหม

    ผู้ฟัง ทำไม่น่าจะได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรที่ใครจะทำได้เลย อนัตตาต้องไม่ลืมคำนี้ ก่อนอื่นอีกคำหนึ่ง ก็คิดว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาหมายความว่าไม่ใช่อัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็คิดว่าจะต้องเกิดใหม่ ก็เลยคิดว่าบาปบุญมีจริงไหม ต้องทำบุญมากๆ จะได้เกิดมาดีกว่าชาตินี้

    ท่านอาจารย์ อยากจะเกิดเป็นอะไร ต้องเกิดแน่ๆ อยากจะเกิดเป็นอะไร อยากจะเกิดเป็นคน คนอย่างไร มีคนตั้งมากมายหลายแบบ คนชั่วคนดี มีสติปัญญาไม่มีปัญญา แต่ให้ทราบว่าถึงจะดีอย่างไร ถึงจะมั่งมีเงินทองเท่าไหร่ มีรูปร่างสวยงามสักเท่าไหร่ มีเกียรติยศมีชื่อเสียงอย่างไร ไม่สำคัญเท่ากับปัญญา เป็นคนมีเงินมาก มีเกียรติยศมาก มีชื่อเสียงด้วยแต่ไร้ปัญญา เอาไหม ไม่เอาใช่ไหม ขณะนี้แหละกำลังเป็นขณะซึ่งถ้าเข้าใจธรรม ชาติหน้าเกิดดีมีปัญญา เพราะกำลังฟังธรรมกำลังเข้าใจธรรม ไปหาที่อื่นไม่ได้เลย นอกจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้ว แล้วใครก็จะเอาไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะตกอับสักเท่าไหร่ แต่ความเข้าใจทั้งหมดที่มีก็สะสม เข้าใจแล้วเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจไม่ได้ นี่คือพระคุณอย่างยิ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สำหรับให้ได้เข้าใจเพียงชาตินี้ ยังติดตามไปถึงชาติต่อไป ซึ่งจะทำให้เป็นคนดีรูปร่างต้องดีแน่ไม่พิการ ทั้งหมดเป็นผลของบุญ บุญคือสิ่งที่ดี แต่นี่ก็เป็นคำที่ยังต้องอาศัยการเข้าใจอีกมาก เพราะเหตุว่าธรรมต้องเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่ต้น พูดคำว่าบุญจนคล่องปาก แต่ความจริงก็ยังไม่ได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วบุญคืออะไร เพียงแต่รู้ว่าบุญก็คือดี และก็ถ้าเกิดอีกก็อยากจะเกิดดี แล้วก็มีปัญญาด้วย ขณะนี้เป็นบุญ แล้วก็เป็นบุญที่ประกอบด้วยปัญญา เท่านี้อาจจะไม่พอ เพราะเหตุว่าความไม่รู้และความไม่ดีก็ทำมามาก ชาติก่อนๆ ก็มาก ชาตินี้ก็มีอีก เลยไม่รู้ว่ากรรมไหนจะให้ผล แต่ถ้าทำกรรมดีอย่างนี้มากๆ เข้าใจมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสได้ฟังธรรมเหมือนขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    13 พ.ค. 2568