ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
ตอนที่ ๘๒๗
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอาริยา ประเทศศรีลังกา
วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ คัมภีร์พระอภิธรรมจึงมี ๗ คัมภีร์ คัมภีร์สุดท้ายคือปัฏฐาน แสดงถึงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดได้โดยอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง แล้วก็สภาพธรรม เช่น จิตเกิดเพราะอะไรเป็นปัจจัย ต่อไปก็จะมีจิตมากมายหลากหลายตามความเป็นจริง แต่ก็เป็นธาตุรู้ และก็จิตแต่ละหนึ่ง มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย และเจตสิกแต่ละหนึ่งนั้นเป็นปัจจัยโดยฐานะของปัจจัยอะไร ไม่มีเรา ไม่มีใครที่จะบันดาลได้ เพราะเหตุว่าธรรมนั้นเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ หาอีกไม่ได้เลย จิตขณะแรกที่เราบอกว่า เราเกิด คนเกิด ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีอะไรที่ดับไปแล้วจะกลับมาอีกได้ ดับแล้วไม่กลับมาอีก ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ถ้าประจักษ์อย่างนี้ ก็ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเที่ยง ก็จะเข้าใจความหมายของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าได้ฟังธรรมด้วยความเข้าใจจริงๆ ความเข้าใจอันนี้ สะสมไว้ ตั้งจิตไว้ชอบเพราะปัญญา ไม่ใช่เราคิด เราจะไปตั้งจิตให้มีแต่กุศลทั้งวัน ตั้งไป ไม่จริง เพราะว่าไม่รู้
อ.กุลวิไล ความยิ่งใหญ่ของอภิธรรม หรือปรมัตถธรรม ซึ่งท่านอาจารย์ก็ให้ความเข้าใจเห็นถึงความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริง ซึ่งถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่ละเอียด และก็เห็นประโยชน์ของการศึกษาปรมัตถธรรม อภิธรรมแล้ว เขาก็ไม่ทราบว่าการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องรู้ในสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ได้เลย เราเป็นใคร คนอื่นที่เป็นคำที่เราไปฟังมา และเข้าใจว่าถูกต้อง เทียบกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม เขาเป็นใคร เราเป็นใคร ทุกคนเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร
ผู้ฟัง คำถามง่ายๆ คือจับแล้วรู้แข็ง ขณะที่รู้แข็งก็คือจิต พอหลังจากนั้น พอเราได้ใช้สิ่งนี้ไปแล้ว เรารู้สึกว่า มันเขียนดี ทำให้เรารู้สึกพอใจ ขณะนั้นก็เป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็คือไม่ใช่ปากกา ก็คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเพียงจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น เข้าใจถูกต้องไหม
ท่านอาจารย์ คำนี้ใช้ไม่ได้เลย เข้าใจแล้วถามคนอื่นว่าเข้าใจถูกต้องไหม แต่เข้าใจแล้วใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ใครจะมาบอกคุณมน บอกว่าคุณมน ไม่มีจิต เจตสิก รูป เป็นคุณมนลอยๆ ขึ้นมาได้หรือ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจแล้ว ใครก็เอาความเข้าใจนั้นไปจากคุณมนไม่ได้ ต่อให้อีกล้านคนจะพูดอย่างอื่น แต่คุณมนก็รู้ว่า ถูกคือถูก แล้วก็ผิดคือผิด เพราะฉะนั้นคำนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าเข้าใจแล้วถามว่าถูกไหม แปลว่ายังไม่เข้าใจ แต่ถ้าฟังแล้ว ธาตุรู้มีไหม มี เปลี่ยนแปลงได้ไหม ไม่ให้มีธาตุรู้ไม่ได้ เมื่อมีธาตุรู้ ก็เดี๋ยวนี้มีแล้ว แล้วจะบอกว่าไม่มี ไม่ให้มีได้หรือ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ก็เป็นสิ่งที่มี ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย ไม่ให้รู้ก็ไม่ได้ เช่น เห็นขณะนี้ ไปสั่งไม่ให้เห็นได้ไหม ไม่ได้ ก็เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้ว บอกเห็นว่าอย่าดับไป เห็นไปเรื่อยๆ ทั้งวัน มีแต่เห็นอันนี้ ไม่ให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือธรรมสิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วก็ไม่ใช่ใครด้วย เห็นเหมือนกันหมดเลย นกเห็นไหม งูเห็นไหม ปลาเห็นไหม แล้วจะบอกว่าเห็นเป็นนก เห็นเป็นปลาหรือ ในเมื่อเห็นเป็นเห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะบอกว่าคนเห็น เทวดาเห็น พรหมเห็น นกเห็น งูเห็น ปลาเห็น ถ้าไม่มีรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น เห็นเป็นเห็น จะบอกว่านก หรืองู หรือคนได้ไหม ไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้แล้ว คนอื่นบอกอย่างอื่น ถูกไหม เห็นไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นความเข้าใจก็คือความเข้าใจ ไม่มีเรา แต่ความเข้าใจเป็นธรรมอย่างหนึ่ง บอกว่าเข้าใจ แล้วก็ไม่เข้าใจ ก็เป็นธรรม ๒ อย่างแล้ว ไม่เข้าใจก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เข้าใจก็ธรรมอีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๒ อย่างก็ไม่เข้าใจ เพราะเดี๋ยวก็ไม่เข้าใจดับไป เดี๋ยวก็เข้าใจดับไป แล้วเราจะอยู่ที่ไหน ไม่มีเรา มีแต่สิ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นที่คุณมนกล่าวว่ามีเห็น แล้วก็ยื่นหรือยกสิ่งที่เห็นคือปากกา แต่ก็ลืมว่าเห็น เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ต้องค่อยๆ ฟังไป ค่อยๆ เข้าใจไป เพราะว่าทุกอย่างลึกซึ้ง เช่น ขณะนี้มีเห็น ถูกต้อง แต่ถ้าถามว่าเห็นอะไร ลำบากอีกแล้วใช่ไหม ตอบว่าเห็นปากกา แต่ว่าจริงๆ แล้ว เรียกว่าปากกา ถ้าไม่เรียกก็มีสิ่งที่ถูกเห็น แต่เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏเกิดดับเร็วมาก แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ จิตเกิดดับเร็วกว่านั้น เพราะฉะนั้นรูปๆ หนึ่ง มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน มีจิตหลายขณะเกิดคั่นเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปนั้นดับแล้ว
นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจบารมี ถ้าเข้าใจว่าสิ่งนี้สามารถประจักษ์ได้ เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมละเอียดยิ่งกว่านี้มาก เพื่อที่จะให้เข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยสะสมไป เป็นบารมีซึ่งต้องอาศัยอธิษฐาน ความมั่นคงอย่างยิ่งที่รู้ว่าสิ่งที่มีจริงสามารถรู้ได้จริงๆ เพราะผู้ที่รู้แล้วมีแล้วมากในครั้งพุทธกาล และก็ต่อมาแม้แต่ที่ประเทศศรีลังกา ก็มีคำกล่าวว่า พระอรหันต์มีทุกแห่งในประเทศศรีลังกาในครั้งนั้น เพราะว่าสืบทอดโดยตรงมาจากประเทศอินเดียโดยพระมหินทเถระ ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช นี่ก็แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่ยังมีคนได้ยินได้ฟังพระธรรม ได้มีความเข้าใจสะสมไป ไม่ต้องคำนึงถึงกาลเวลาเลย เพราะเหตุว่าแม้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนามากมาย แต่ก็ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม
เพราะฉะนั้นก็จะได้เห็นว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ แต่ละประเทศ แต่ละชาติ แต่ละเราแต่ละคน ซึ่งเคยเป็นอะไรต่างๆ มาแล้วทั้งหมด ก็ไม่สามารถที่จะจำได้ แต่สิ่งที่สะสมไว้ ใครก็เอาออกไปไม่ได้เพราะสะสมอยู่ในจิต และจิตไม่มีรูปร่างเลย ไม่มีตู้นิรภัยอะไรจะไปรักษาเลย เต็มท้องฟ้าอากาศก็ยากที่จะเปรียบได้ว่าสะสมมามากมายเท่าไหร่ เนิ่นนานเท่าไร แต่อะไรก็ตามที่ปรากฏในวันนี้ ก็คือว่าสิ่งที่ได้สะสมมาแล้วที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ และวันนี้ก็สะสมต่อไป วันพรุ่งนี้ก็มาจากสิ่งที่ได้สะสมในวันนี้ ทุกๆ วันต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ก็ตาม ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งฝ่ายอกุศลจะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อได้มีปัญญาเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่หมายความว่าด้วยความพยายามผิดๆ หวังผิดๆ คิดว่ากิเลสที่สะสมมานานแสนนานในแสนโกฏิกัป จะหมดไปได้ในชาตินี้ เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยปัญญาและความเป็นผู้ตรงจริงๆ เพราะฉะนั้นก็พอจะรู้ที่ว่าเราเกิด ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป แล้วจะมีเราหรือ แต่เพราะไม่รู้ ก็ยึดถือเรื่อยมาตั้งแต่เกิดจนตายว่าเป็นเรา
ผู้ฟัง ขณะนี้ที่กำลังฟังธรรมอยู่ แล้วมีเป้าหมายว่าฟังไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อปัญญาปรากฏ ก็สามารถที่จะดับกิเลสได้ จะเป็นเครื่องกั้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ยังหวังใช่ไหม
ผู้ฟัง ยังหวัง แต่ว่าอย่างเช่น ท่านสุเมธดาบส ก็หวังหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ปรารถนาเพราะรู้คุณของกุศลธรรม และสามารถที่จะรู้ว่าวันหนึ่ง เมื่อได้อบรมบำเพ็ญบารมีก็สามารถที่จะบรรลุได้ แต่ไม่ใช่โดยความหวังว่าเป็นเรา
ผู้ฟัง ดังนั้นขณะนี้ ก็หวังก็เป็นหวัง
ท่านอาจารย์ ไม่มีคุณพรทิพย์
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ต้องศึกษาธรรมเพื่อจะรู้ว่าธรรมขณะนั้นเป็นอะไร นี่คือความเข้าใจ ต้องถูกตั้งแต่ต้น ไม่มีเรา แต่มีกุศลธรรมและอกุศลธรรม ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญานำไปในกิจทั้งปวง รู้ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ นั่นเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นถ้ามีแต่อกุศลทั้งวัน ก็ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้ แต่ว่าถ้ายังเป็นเรา ยังหวังอยู่ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมแล้วรู้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เมื่อมีปัญญาเท่าไหร่ ปัญญาก็ค่อยๆ เจริญขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งละความหวัง
ผู้ฟัง ดังนั้นการฟังที่ถูกต้องก็คือ เหตุดี ผลก็ต้องดี
ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรม ฟังเพื่อเข้าใจ ทุกครั้งที่ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะว่าปัญญาทำหน้าที่ละกิเลส ไม่ใช่เรา การยึดถือธรรมว่าเป็นเรา แสนนานมาแล้ว เพราะฉะนั้นยาก ต้องเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ธรรมที่เป็นกุศลเป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล แม้เล็กๆ น้อยๆ แต่ก็สามารถที่จะเพิ่มกำลังของความเห็นถูกต้องขึ้นได้
ผู้ฟัง กุศลทุกประการไม่ทราบว่าเป็นปัจจัย หรือว่าเกื้อกูลต่อการอบรมเจริญปัญญา หรือการเกิดขึ้นของสติปัฏฐานอย่างไร ถ้าเกี่ยวข้องกัน ต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ และถ้าเกี่ยวข้องกัน อกุศลที่เกิดขึ้นเป็นตัวกั้น หรือเป็นตัวขัดขวางการอบรมเจริญสติปัญญาหรือการเกิดขึ้นของสติปัฏฐานอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็หลายคำถาม ก็ขอสนทนาด้วย ก่อนฟังพระธรรม ทำกุศลอะไรบ้าง หรือว่ามีกุศลอะไรบ้าง
ผู้ฟัง ก่อนฟังพระธรรม กุศลที่เกิดขึ้นก็น่าจะเป็นจากการสะสมที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์ กุศลมีหลายประเภทใช่ไหม กุศลอะไรบ้าง
ผู้ฟัง กุศลก็แบ่งออกเป็นที่ประกอบด้วยปัญญากับไม่ประกอบด้วยปัญญา
ท่านอาจารย์ แต่ก่อนฟังพระธรรมต้องเข้าใจ เราพูดถึงธรรมต้องละเอียด ไม่รู้จักพระธรรมเลย ไม่เคยฟังพระธรรมเลย ก่อนฟังพระธรรมก็มีกุศลใช่ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ กุศลอะไร
ผู้ฟัง เช่น ทาน
ท่านอาจารย์ ทาน ได้ยินคำว่าทาน ต้องรู้ว่าหมายความว่าอะไร เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่รู้ เราคิดเองตลอด ทาน คือการให้ ให้จริงๆ คือให้เพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ถ้าหวัง เหมือนการซื้อขายไหม เอานี่ไปเอานั่นมา ให้ไป แล้วบอกเอาบุญมา อย่างนั้นก็ไม่ใช่กุศลใช่ไหม ถ้าเป็นกุศลจริงๆ หมายความว่าเป็นสภาพของจิตที่ผ่องใส ขณะนั้นไม่มีโลภะความติดข้อง จึงสามารถที่จะสละสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่คนอื่นได้ ขณะนั้นไม่มีโทสะไม่มีความเดือดร้อนใจ หรือโกรธเคืองผู้รับ เพราะว่าบางคนโกรธคนนี้ไม่ให้คนนี้ นั่งกันหลายคนให้คนอื่นที่ไม่โกรธก็ได้ เพราะฉะนั้นกุศลจริงๆ ก็เป็นสภาพของจิตซึ่งผ่องใส ประกอบด้วยโสภณเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๑๙ ประเภท ซึ่งขณะนี้ก็กำลังมี ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า กุศลก่อนที่จะได้ฟังธรรม มี แต่ว่ากุศลนั้นจะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นกุศลขั้นทาน หรือกุศลขั้นศีล คนที่มีจิตที่ไม่มีความโลภติดข้องในสมบัติ และก็ช่วยเหลือคนอื่น เราก็ได้ยินเศรษฐี มหาเศรษฐีแบ่งสมบัติไว้ให้ลูกหลานหมด ส่วนที่เหลือให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นหมด นี่ก็แสดงให้เห็นถึงสภาพของจิตของแต่ละหนึ่งที่สะสมมา บางคนก็รักษาศีลด้วยการสมาทาน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจว่าสมาทานคืออะไร เพราะเหตุว่าสมาทานไม่ใช่ภาษาไทย แต่สมาทานคือขณะนั้นคิดที่จะประพฤติอย่างนั้น เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ต้องไปกล่าวภาษาบาลี เพราะเหตุว่าการกล่าวโดยไม่เข้าใจมีมาก แต่ถ้ารู้ว่าไม่ต้องใช้คำว่าสมาทาน แต่เกิดจิตคิดจะไม่ฆ่าสัตว์ คิดได้ไหม เวลาที่เห็นเหตุการณ์บางอย่าง แล้วก็ทำให้เกิดการรู้สึกที่ว่า จะไม่ฆ่าแน่ๆ เลย ทำให้คนอื่นเขาลำบากเดือดร้อน ขณะนั้นก็คือความตั้งใจซึ่งเป็นสมาทาน บางคนก็สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ก็แล้วแต่ แต่ว่าไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เขา และไม่รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นเพียงธรรมแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นแม้ทาน แม้ศีล ก่อนจะมีการเข้าใจธรรม ไม่เป็นทางที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็ทำไป กี่ชาติก็ทำไป ทั้งทาน ทั้งศีล แต่ก็ไม่ได้ฟังธรรมไม่เข้าใจเลย เพราะฉะนั้นทานและศีลนั้นๆ ไม่สามารถที่จะทำให้ดับกิเลส ไม่สามารถที่จะให้เกิดปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้นจึงต่างกัน แต่เมื่อได้เข้าใจธรรมแล้ว ไม่มีเรา แต่มีกุศลธรรม มีอกุศลธรรม ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง เห็นโทษของอกุศล ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าจะต้องมีผลซึ่งไม่น่าพอใจ และไม่ใช่การที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะอกุศลทั้งหมดมีอวิชชาเป็นเหตุ ความไม่รู้เป็นเหตุ เพราะฉะนั้นอกุศลซึ่งมีอวิชชาเป็นเหตุ จะทำให้เข้าใจธรรมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รู้ความจริง จึงบำเพ็ญกุศลเป็นบารมี เพื่อที่จะรู้ว่าเพราะขณะนั้นที่กุศลเกิด อกุศลเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะจิตที่เป็นอกุศลก็น้อยลง ไม่เป็นเครื่องกั้น เพราะเหตุว่าอกุศลทั้งหมดไม่เข้าใจธรรม แต่กุศลทั้งหมดค่อยๆ ขัดเกลาความตระหนี่ เช่น ทาน สามารถที่จะสละวัตถุภายนอก และก็แล้วแต่ว่าบุคคลนั้นสามารถจะสละวัตถุภายใน อาจจะเป็นไต หรืออาจจะเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดก็ได้ ใช่ไหม ก็แล้วแต่กำลังของกุศลขณะนั้น เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถที่จะสละได้ วันหนึ่งก็สามารถสละความเป็นเรา ในขณะที่กำลังเห็น ในขณะที่กำลังได้ยิน เพราะว่ากว่าจะมีกำลังถึงขั้นที่จะละ ดับความเป็นตัวตนได้ ไม่ง่ายเลย ต้องอาศัยการขัดเกลากิเลสด้วยการบำเพ็ญกุศลเป็นบารมี ทุกโอกาสที่จะเป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะละกิเลส แต่คนที่ไม่เข้าใจธรรมเลย ให้ทานรักษาศีลก็ไม่ได้ละกิเลส หวังสวรรค์บ้าง หวังทรัพย์สมบัติบ้าง หวังอะไรต่างๆ บ้าง
ผู้ฟัง ในกรณีของบางท่านที่มีความเข้าใจว่า เมื่อหลังจากที่มาศึกษาแล้ว บางท่านก็ตั้งใจ แล้วก็เน้นไปที่การอบรมเจริญปัญญา
ท่านอาจารย์ แค่นี้ก่อนได้ไหม ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง บางท่านที่มาศึกษาธรรมแล้วเข้าใจอะไร
ผู้ฟัง เข้าใจว่าไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา แต่มีธรรม แล้วอย่างไรต่อไป
ผู้ฟัง เขาก็ละเลยกุศลในชีวิตประจำวัน แต่ไปเน้นในเรื่องของการเพิ่มความรู้ความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ความรู้เป็นกุศลหรือเปล่า
ผู้ฟัง ความรู้เป็นกุศล
ท่านอาจารย์ แล้วละเลยกุศลอะไร
ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่น ละเลยการทำทาน
ท่านอาจารย์ ละเลยการทำทาน ก่อนนั้นเคยทำทานหรือเปล่า
ผู้ฟัง เคยทำทาน แทนที่จะกระตือรือร้น หรือจะหาหนทางที่จะเจริญกุศลในชีวิตประจำวันทุกหนทาง
ท่านอาจารย์ กระตือรือร้นด้วยความเป็นเรา หรือว่าฟังธรรมเข้าใจแล้วรู้ว่าแม้ขณะนี้หรือขณะไหนๆ ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพื่อละความเป็นเรา ไม่ใช่อยากได้สิ่งต่างๆ เพื่อเราเหมือนเดิม
ผู้ฟัง หมายความว่ากุศลทุกประการก็จะเป็นผลจากปัญญาที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ถ้าเมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นแล้ว กุศลนั้นเป็นบารมี แม้ขณะที่กำลังให้ทาน ปัญญาไม่เกิด แต่เพราะเข้าใจธรรม ก็ไม่ได้เลือก ปัญญาจะเกิดหรือไม่เกิด ก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นอีกนานไหมที่จะรู้ว่า ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้นก็ไม่ใช่เราจริงๆ ไม่ใช่ไปขวนขวายทำต่างๆ เพื่อจะไม่ใช่เรา นั่นผิด
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นบารมีในชีวิตประจำวัน เป็นผลที่ตามมาจากปัญญาที่เกิดขึ้น ไม่มีตัวเราที่จะไปขวนขวายไปทำ
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นความรู้ที่มั่นคงถูกต้อง ไม่หวั่นไหว ขณะโกรธมีไหม ฟังธรรมแล้ว แต่ส่วนใหญ่ของคนไม่อยากโกรธ เพราะฉะนั้นก็พอโกรธ ก็ไม่อยากโกรธ แต่ถ้ามีการฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น สภาพโกรธเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟัง แล้วก็เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่มีเราต่างหากจะไปขวนขวาย จะไปเร่งรัด จะไปให้ปัญญาเกิด
อ.อรรณพ บารมี ก็คือกุศลธรรมที่จะทำให้ข้ามพ้นฝั่งของกิเลส ไปถึงการหมดกิเลส ท่านก็ไม่ได้แสดงเฉพาะปัญญา มีตั้งแต่ทาน ศีลไป ตั้ง ๑๐ อย่าง แต่ว่าบารมีทั้งหลายก็ต้องอาศัยปัญญาด้วย อันนี้ก็อาจจะมีความคิดของบางคน อย่างที่คุณหมอกล่าวว่า มาศึกษาพระธรรมกัน อย่างพวกเราก็ดูเหมือนจะสนใจศึกษาปริยัติ แล้วก็เหมือนจะไม่ใส่ใจในเรื่องทาน เรื่องศีล ขอเรียนถามท่านอาจารย์ ถ้ามีปัญญาแล้ว ปัญญาจะปรุงแต่งให้เป็นกุศลทุกประการไปอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก่อนฟังธรรม ให้หมดเลย ขอทานก็ให้ ขอทานมีเงินล้านมากกว่าผู้ให้ แล้วก็อะไรก็ได้ให้หมด แต่ว่าเมื่อฟังธรรมแล้ว ควรให้อะไร ปัญญาถูกต้องขึ้นใช่ไหม ไม่ใช่ว่าไม่ให้ แต่รู้ว่าให้อะไรที่มีประโยชน์มาก ถ้าให้ไปทำความเห็นผิดต่างๆ ให้ไหม หรือว่าซองกฐินก็ได้ ชัดเจน ไม่รู้ว่าสร้างอะไรบ้าง ใช่ไหม คิดว่าให้หมดเลย ไปสร้างสำนักปฏิบัติ ให้ไหม ทำให้ละเลยหรือเปล่าอย่างนั้น แต่สามารถที่จะมีความถูกต้องที่จะให้กุศลทั้งหลายเป็นไปในความถูกต้อง ไม่ใช่เป็นการบ่อนทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นการที่จะทำให้เป็นประโยชน์ ก็แล้วแต่บุคคลนั้นว่าเห็นประโยชน์จะสร้างเมรุเผาศพ เห็นประโยชน์ให้ก็ได้ แต่ว่าเงินนั้นไปไหนหรืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้ที่เราใช้ภาษาชาวบ้าน สุ่มสี่สุ่มห้า แต่ปัญญาจะทำให้ใช้เงินอย่างเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น แล้วก็เป็นผลจริงๆ ที่ผู้นั้นได้รับประโยชน์
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
