ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823


    ตอนที่ ๘๒๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอาริยา ประเทศศรีลังกา

    วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้และติดข้องก็ทำให้เพลิดเพลินเป็นไปในสังสารวัฏ แต่ถ้าเป็นปัญญารู้จริงๆ จะติดข้องหรือ ในเมื่อไม่มีเรา มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่ง จะใช้คำว่า ธาตุ ก็ได้ ธาตุ ใครเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้เลย แสดงความจริงอยู่แล้วว่า เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด แล้วยังยึดถือว่าเป็นเราเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจากความไม่รู้เลย ก็ค่อยๆ มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ซึ่งกุศลนี้ก็จะเป็นปัจจัย ไม่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็คิดถึงเต่าที่อยู่ในมหาสมุทร แล้วก็มีแอกที่จะถูกลมทางทิศไหนพัดไปให้เต่าได้คล้องคอเข้าไปอยู่ในบ่วงนั้น นี่ก็เป็นเรื่องซึ่งทุกคนกำลังมีโอกาส เพราะฉะนั้นธรรมเรื่องลึกซึ้ง ฟังแล้วก็มีอะไรก็ธรรมมีคำตอบ เพราะว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ไม่ใช่ว่านั่นเป็นทางโลก นี่เป็นทางธรรม แต่ให้รู้ว่าแม้แต่ทุกคำ เช่นคำว่า โลก ก็มีคำตอบในพระพุทธศาสนาในคำสอนของพระพุทธเจ้า โลกคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรสงสัย และคิดว่าจะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สนทนาแบบกันเองสบายๆ

    อ.อรรณพ ทุกคนก็อยากจะทำอะไรตามความพอใจ แล้วเราก็คิดว่าเราเลือกสิ่งต่างๆ ได้ แล้วเวลาที่เลือกไม่ได้ เราก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะฉะนั้นในความที่จะเลือกได้หรือเลือกไม่ได้ ในทางธรรมจริงๆ เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจธรรม ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะเหตุว่าความจริงเป็นอย่างสิ่งที่เป็นในขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปคิดถึงพรุ่งนี้ ปีหน้า เลือกเห็นได้ไหม แค่นี้ ไม่ได้แล้วใช่ไหม

    อ.อรรณพ ผมไม่ได้คัดค้าน แต่ถ้าคนที่เขามีแต่ความเป็นตัวตน เขาบอกว่า เขาอยากจะเห็นคุณวิชัย เขาก็หันไปดู ก็เห็น เขาก็นึกว่าเขาเลือกได้ ที่จะเห็นท่านอาจารย์ หรือเห็นคนโน้น เห็นคนนี้ ท่านอาจารย์จะให้ละเอียดชัดเจนว่า เลือกไม่ได้แม้เห็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จะเลือกเห็นคุณวิชัย คุณวิชัยอยู่ไหน

    อ.อรรณพ เขาก็จำว่าคนนี้

    ท่านอาจารย์ ในห้องนี้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเลือก เห็นแล้ว จะเลือกทำไม ก็อยู่ตรงนี้เห็นแล้ว

    อ.อรรณพ แต่ความคิดของคน

    ท่านอาจารย์ ก่อนมาในห้องนี้เลือกเห็นหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ก็ไม่ได้คิด ก็เห็นๆ ไป

    ท่านอาจารย์ ก็เห็นแล้ว เลือกไม่เห็นคุณวิชัยได้ไหม

    อ.อรรรพ พูดถึงตามความเป็นจริงตามสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เกิดตามเหตุตามปัจจัย จะเห็นสิ่งใดก็เป็นอย่างนั้น แต่ในการที่ยังไม่ได้เข้าใจความจริง เต็มไปด้วยความเป็นตัวตน เขาก็บอกเขาเลือกไม่เห็น เขาไม่อยากมองคนนี้เขาก็ไม่หันไปมอง แค่ไม่อยากมองคุณวิชัย ผมก็ไม่หันไปมอง เขาจะคิดอย่างนี้ด้วยความมั่นคงว่าเป็นคน ที่เป็นเราที่เลือกได้ว่าจะมองคนโน้นไม่มองคนนี้

    ท่านอาจารย์ ทุกคนออกจากห้องหมด เหลือคุณวิชัยคนเดียวกับเขา เลือกไม่เห็นคุณวิชัยได้ไหม

    อ.อรรณพ ก็ต้องเห็น

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเห็น

    ผู้ฟัง แล้วที่เขาให้เราเลือกว่าจะไปข้างนอก ไปดูสถาปัตยกรรมอะไรต่างๆ กับมาสนทนาธรรมที่นี่ แล้วหนูกับคุณยะลาเลือกที่จะมานั่งสนทนาธรรมตรงนี้

    ท่านอาจารย์ แค่เลือกมาศรีลังกาก็คิดว่าเรา เหมือนกับกำลังเห็นก็คิดว่าเรา กำลังได้ยินก็คิดว่าเรา เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย แต่เข้าใจว่าเป็นเราหมด เราคิดว่า จะสระผมดีหรือไม่สระผมดี ขณะนั้นใครนอกจากคิด และความคิดไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็คือว่าเป็นปัจจัยให้คิดเดี๋ยวนั้นขณะนั้นเกิดขึ้น ๑ ขณะ ขณะต่อไปก็มีสิ่งที่ทำให้คิดอย่างอื่นเกิดขึ้นต่อไปอีก ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ไม่มีทางหมดสิ้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจจริงๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะว่าจากการที่เป็นปุถุชน คนที่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง เป็นเราไปหมดเลย จนกว่าเดี๋ยวนี้เห็นอะไรก็ยังไม่รู้เลย แต่พอได้ฟังพระธรรม เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ หลับตา ยังเห็นเหมือนที่ยังไม่หลับตาไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพียงแค่หลับตา ก็ไม่รู้แล้วว่าแท้ที่จริงไม่ได้เห็นใครเลย เห็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงๆ ที่สามารถกระทบตา เป็นปัจจัยให้ธาตุหนึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป นี่คือความลึกซึ้งของพระธรรม

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าเรายังเข้าใจว่าเราเลือกได้ที่จะมาฟังธรรมแทนที่จะไปเที่ยว ก็หมายความว่าการฟังของเรายังไม่มั่นคงพอ ที่จะเข้าใจว่าธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าคิด ถ้าไม่คิดจะพูดได้ไหม เห็นไหม คิดทีละคำด้วย คิดหลายๆ คำได้ไหม และคิด ถ้าไม่สะสมมาที่จะคิดอย่างนี้ จะคิดอย่างนี้ไหม แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เพราะอะไร จะขอยืมความคิดของคนอื่นมาเป็นของเราก็ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเกิดมาในโลกนี้ก็แค่เพียงเห็น และก็ได้ยิน และก็ได้กลิ่น และก็ลิ้มรส และก็รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึกตลอดเลย ถ้าเว้นจากเห็นเมื่อไหร่ก็คือคิด เว้นจากได้ยินเมื่อไหร่ก็คือคิด เว้นจากได้กลิ่นเมื่อไหร่ก็คือคิด เพราะฉะนั้นคิดทั้งวัน แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเราคิด

    อ.อรรณพ คิดไปเองว่าเลือกได้ เพราะความไม่รู้จริงๆ เราก็เลยคิดว่าเลือกโน่นได้ เลือกนี่ได้ แต่จริงๆ ในชีวิตประจำวันที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่า ถ้าห้องนี้ไม่มีใครให้เห็นแล้ว ก็ต้องเห็นคนนี้ ก็เลือกไม่ได้ เพราะว่าก็เห็นแล้วเป็นไปแล้ว เพราะฉะนั้นความไม่รู้นี่มาก ความเป็นตัวตนที่คิดว่าเราจะทำโน่นได้ทำนี่ได้ แต่เวลาที่ไม่ได้ ไม่ได้อย่างที่คิด ตอนที่ได้อย่างที่คิด เราก็คิดว่าเราเลือกได้ เช่น หันไปมองพี่แดง เราก็นึกว่าเราเลือกได้ใช่ไหม หันไปมองคุณทิพย์ คุณสัมพันธ์ เราก็นึกว่าเราเลือกได้ อันนั้นคือมีเหตุปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนที่ต้องไปเห็นกองขยะ ต้องไปเห็นภาพที่ไม่สวยงาม มีใครอยากจะเลือกเห็นภาพอย่างนั้นบ้าง แต่ก็มีเหตุปัจจัยให้เห็นภาพอย่างนั้น พอไม่ได้อย่างที่โลภะอยากได้ ฉันทะอยากเลือก เขาก็เลยไม่พอใจใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังธรรมละเอียด แม้แต่ว่าเขาก็คิดว่าเขาเลือกได้ อยากจะรับประทานอะไรก็เอาเงินไปซื้อเอา

    ท่านอาจารย์ เลือกเกิดได้ไหม

    อ.อรรรพ ก็ขณะแรกเลย ปฏิสนธิจิตก็เกิดจากกรรม แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วยว่ากรรมใดจะให้ผลอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คุณอรรณพชาติหน้าจะเป็นใคร เลือกได้ไหม

    อ.อรรณพ กรรมเลือกให้

    ท่านอาจารย์ เลือกไม่ได้ก็ต้องเลือกไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ เลือกพ่อแม่พี่น้องไม่ได้เลือกทรัพย์สมบัติไม่ได้ เลือกอะไรก็ไม่ได้ เลือกเห็นก็ไม่ได้ เลือกคิดก็ไม่ได้ จนกว่าจะมั่นใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้น เพราะความไม่รู้มากแค่ไหน ลองคิดดู ตราบใดที่ยังเป็นเราอย่างนั้น เราอย่างนี้ ก็คือว่านั่นคือความไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม

    อ.อรรรพ อันนี้ก็ยิ่งเห็นชัดว่าความเป็นเราเกิดเพราะความไม่รู้พร้อมกันไปเลย ที่ทำให้คิดว่าเลือกได้ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่า เกิดก็เลือกไม่ได้ แล้วท่านอาจารย์ก็บอกว่าเห็นก็เลือกไม่ได้ จะหลับก็เลือกไม่ได้ อย่างนั่งๆ อยู่ บางทีก็เคลิ้มหลับไปก็เลือกไม่ได้ แล้วสุดท้ายว่า แม้แต่ตายก็ยังเลือกไม่ได้ว่า จะตายที่ไหน ตายอย่างไร ทุกคนก็อยากจะตายแบบสบายๆ

    ท่านอาจารย์ มั่นใจหรือยังว่าเลือกไม่ได้สักขณะเดียว แต่คิดว่าเลือกได้ แต่ความจริงขณะที่คิด เลือกคิดอย่างนั้นก็ไม่ได้ ทุกอย่างเกิดแล้วทั้งนั้นเลย แต่ไม่รู้ก็ไปคิดจะทำให้สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เกิด แต่ก็หารู้ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้

    อ.อรรณพ ทุกๆ เรื่องดูว่าจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอสนทนาที่เป็นความเข้าใจตามพระธรรมจริงๆ ก็ดูเป็นเรื่องลึกซึ้งไปหมดทุกเรื่อง แม้กระทั่งเลือกได้ไหม จะเห็น ได้ยิน จะคิดถึงคนโน้นคนนี้ ก็เป็นไปตามปัจจัย ธรรมที่เป็นอนัตตาทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการเข้าใจพระธรรมมีค่าแค่ไหน ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ได้ยินได้ฟัง และรู้ว่าสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ติดตามไปได้ก็คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่เช่นนั้นก็หอบกิเลสกันไป เพราะว่าเราคิดว่ามีคนที่เรารักที่สุดในชาตินี้ มีทรัพย์สมบัติอะไรก็ตามแต่ ที่เรารักที่สุดในชาตินี้ เหมือนเป็นของเรา แต่ความจริงเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดดับ ซึ่งทำให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นของเรา เพราะว่าจริงๆ แล้ว เมื่อจิตขณะสุดท้ายดับ ร่างกายนี้ก็ไม่เป็นของเราแล้ว ไม่ต้องอื่นไกลไปถึงทรัพย์สมบัติ แค่ร่างกายนี้ก็ไม่เป็นของเรา เคลื่อนไหวไม่ได้ทำอะไรไม่ได้ แล้วทำไมจะต้องไปคิดตอนนั้น ตอนนี้ก็ไม่ใช่ของเราใช่ไหม แต่เพราะมีจิตก็ทำให้การเคลื่อนไหวอะไรๆ ไปเหมือนกับว่าเราทำได้ เราเลือกได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งเราคิดไม่ถึงเลย เพราะยังไม่ได้ฟังโดยละเอียดว่าเมื่อไม่มีเรา แล้วมีอะไร เราก็ได้เพียงแค่มีตา มีหู มีจมูก แต่เป็นอะไร ก็ต้องศึกษาฟังต่อไปอีก จนกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเราฟังนิดๆ หน่อยๆ เราไม่เห็นพระปัญญาคุณ แต่ยิ่งฟังมากเข้าใจมาก ยิ่งเห็นความห่างไกลของพระปัญญาคุณที่บำเพ็ญจนได้ตรัสรู้ แล้วเราเพิ่งจะได้ฟังต้องห่างไกลกันมาก

    อ.อรรณพ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะว่าอยู่ด้วยความเป็นเราที่คิดว่าเลือกได้ คิดแบบไม่รู้ว่าเลือกได้ คิดว่าเดี๋ยวเราจะเลือกอะไร อย่างพี่แอ๊วก็ประเด็นดี จะไปมหินตะเล หรือจะอยู่สนทนาธรรมที่นี่ แล้วเราก็ตัดสินใจอยู่ ก็เหมือนกับเลือก หรือว่าในชีวิตประจำวันรับประทานอาหารเมื่อเช้าอาหารมากมาย เพราะฉะนั้นอยู่กับความเป็นเรา แล้วก็เป็นตัวตนที่คิดว่าเราจะเลือกนั่นเลือกนี่ได้ แล้วพอมีเหตุปัจจัยที่เป็นไปในทางไม่ปรารถนาก็เกิดความเดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ เลือกเป็นคนดี เลือกทำความดี เลือกไม่มีกิเลสเลย เลือกได้ไหม อันนี้ชัดเจน ไม่มีทางเลย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    อ.อรรณพ เลือกเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เลือกได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่อยู่ในฐานะทันทีอย่างนั้น

    ผู้ฟัง หนูเลือกตัดสินใจที่จะมาฟังธรรมแทนที่จะไปที่นั่น มีส่วนเกี่ยวข้องของการสะสมมาแต่ชาติปางก่อนไหมว่า ที่เราจะต้องฟังธรรมหรือต้องทำอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็จิต เจตสิก ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นผลของกุศลอกุศลก็มี ที่ไม่ใช่ผลของกุศลอกุศลและไม่ใช่กุศลก็มี นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่าฟังแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าเราเข้าใจธรรม เพียงแต่ว่าเหมือนเด็กแรกเกิด กว่าจะได้สามารถพูดได้ ฟังได้ รู้เรื่อง เข้าใจได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลา ถึงจะไม่ประมาทในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะส่วนใหญ่คำถามจะมาแบบเหมือนกับว่า ตอบได้เสร็จแล้วจบแล้ว ใช่ไหม แต่เห็นไหม ถ้าหยั่งลงไปก็ลึกขึ้นว่า จิตประเภทไหน และจิตที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ต่างกับจิตที่คิด ก็ลึกซึ้งไปทุกขณะจิต ซึ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ที่จริงแล้วก็เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าเราได้เข้าใจขึ้น เช่น ใครเคยไปมหินตะเลแล้วบ้าง ใครยังไม่เคยไปมหินตะเล ความจริงใครจะรู้ อาจจะเคยอยู่ที่มหินตะเลมาแล้ว หลายปีก็ได้ แต่พอถึงวันนี้เป็นคนนี้จะไปดูมหินตะเล เพราะว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าชาติก่อนเราเป็นใครอยู่ที่ไหน ไม่ต้องไปดูมหินตะเล แต่อยู่แถวนั้นก็ได้ใช่ไหม เห็นอยู่แล้วทุกวัน แต่พอถึงชาตินี้ใหม่หมดเลย คนเก่าไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า เราจะเป็นคนนี้เพียงชาตินี้ชาติเดียว จะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย เพราะว่าเหมือนกับชาติก่อน เราเคยเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่พอถึงชาตินี้ไม่รู้จักเลย คนก่อนเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน เกิดที่ไหน ไปที่ไหนก็ไม่รู้ รู้เฉพาะชาตินี้ เพราะฉะนั้นอีกไม่นาน ไม่นานเลย เพราะอะไร ใครก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นคนอื่นต่อจากคนนี้ หมดสิ้นความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง จะกลับมาอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นชาติก่อนเคยอยู่มหินตะเล เคยสนุกสนานอย่างไร และยิ่งเป็นในสมัยที่พระมหินทเถระโอรสของพระเจ้าอโศกซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ ได้ถึงเวลาสมควรที่จะเผยแพร่พระธรรมที่ศรีลังกา ท่านก็ได้มาที่นี่ เราก็อาจจะอยู่แถวนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นชาตินี้ใครเคยมา มาแล้วกี่ครั้ง ใครไม่เคยมา แต่ชาติก่อนใครจะรู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม เพราะฉะนั้นกุศลใดๆ ที่เคยเกิด ไม่ได้หายไปไหนเลย สนใจที่จะฟังธรรม สนใจที่จะมาศรีลังกาหลายๆ เมือง ก็ตามการสะสม แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ แล้วหมดเลย ไม่เหลือเลย จำอะไรอีกก็ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นคนใหม่แล้ว

    เพราะฉะนั้นทำดีเข้าใจธรรม เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เพราะว่าเลือกไม่ได้ และกิเลสก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ แต่ฟังพระธรรมได้ ถ้าเห็นค่าของพระธรรม อยู่ตรงจุดนี้จุดเดียว ใครที่เห็นประโยชน์สูงสุดของชีวิตว่ากิเลสเอาไปทำไมเยอะๆ กุศลก็น้อย และปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม ซึ่งจะติดตามไปเหมือนบุคคลในครั้งอดีต สมัยพระมหินทเถระที่ท่านมาเผยแพร่ เขากล่าวว่า ทั่วทั้งประเทศศรีลังกา มีรอยเท้าของพระอรหันต์ ก็เป็นไปได้ แต่ต้องเป็นไปได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่อยากเป็น พยายามไปทำให้เป็น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นแล้วคำของใครก็ไม่รู้จะให้เข้าใจอะไร ในเมื่อไม่ใช่เดี๋ยวนี้ จะให้เข้าใจสิ่งที่หมดไปแล้วไม่เหลือเลย หรือจะให้เข้าใจสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เป็นไปไม่ได้ แต่คำของพระองค์ก็คือกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วแต่จะคิด จะใส่ใจ จะสนใจ จะเข้าใจ ก็ต้องเป็นคำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งจะทำให้เข้าใจสิ่งที่ผ่านไปแล้วในอดีต และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต เพราะวันนี้เห็น เมื่อวานเห็นหรือเปล่า เห็น พรุ่งนี้เห็นไหม พรุ่งนี้ก็จะเห็น แต่จะเห็นหรือไม่เห็นนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าจะมีพรุ่งนี้ ก็คือมีเห็นอีกนั่นแหละ มีได้ยินอีกนั่นแหละ มีคิดนึกต่างกันไปเป็นแต่ละหนึ่งขณะ แต่ก็มีเพียง ๖ ทาง คือทางตา ถ้ากรรมให้ผลเพียงแค่เกิดมา แต่ไม่ให้เห็นจะมีประโยชน์อะไร เพราะว่าเห็นมีทั้งสิ่งที่น่าพอใจและสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นผลของกรรมที่เลือกไม่ได้ ทางหู เกิดมาแล้วก็ต้องได้ยิน ไม่ใช่คนหูหนวก มีโสตปสาทซึ่งกรรมทำให้เกิดขึ้นเป็นรูปที่อยู่กลางหู ซึ่งมองไม่เห็น แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบเสียงได้

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่เสียงปรากฏให้รู้ว่า ต้องมีรูปในตัว ซึ่งกรรมเป็นปัจจัยทำให้สามารถกระทบกับเสียง และขณะที่จิตกำลังได้ยินเสียง ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นผลของกรรมที่ทำให้ได้ยินเสียงนี้ เพราะเสียงมีหลายเสียง เสียงฟ้าร้องมี เสียงดนตรีมี เสียงดัง เสียงเบา เสียงเพราะ เสียงไม่เพราะ กรรมทำให้จิตเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่เพราะ เพราะเป็นผลของกุศลกรรมที่ทำไว้ นอนหลับสนิท ฟ้าร้องตื่น เกิดขึ้นได้อย่างไรใช่ไหม คนข้างๆ นอนหลับสนิท แต่คนนี้ตื่นขึ้นได้ยินเสียงฟ้าร้อง ใครทำ ไม่มีใครทำอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นเรื่องของธาตุ เป็นเรื่องของธรรม เป็นเรื่องของจิตเจตสิกซึ่งถึงเวลาที่จะต้องเกิด ก็ต้องเกิด เมื่อถึงเวลาของกรรมที่จะต้องทำให้เกิด ก็ต้องเกิด เห็นชัดอย่างนี้ว่าไม่มีใครบันดาลได้เลย นอกจากกรรมที่ได้ทำแล้ว และการให้ผลของกรรมก็นอกจากขณะที่เกิด และก็ยังต้องดำรงชีวิตต่อไป ยังจากโลกนี้ไปไม่ได้ เพราะกรรมยังไม่สิ้นสุดก็จะต้องมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าขณะใดที่กระทบสิ่งที่แข็ง นั่นคือผลของอกุศลกรรม ถ้าขณะใดที่กายกระทบสิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นก็เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเข้าใจถูกจะทำกุศลเพิ่มขึ้นไหม ทุกอย่างใช่ไหม และโดยเฉพาะก็คือว่ามีโอกาสได้เข้าใจธรรม เพราะว่าถ้าเป็นกุศลอื่น ก็ทำให้เกิดดี เห็นดีได้ยินดี ชั่วคราว แล้วก็จากโลกนี้ไป แต่ว่าถ้าเข้าใจธรรมก็จะสะสมความเข้าใจสืบต่อไป มีโอกาสได้ฟังอีก ไม่ใช่ว่าใครมาดลบันดาลให้ แต่เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    ผู้ฟัง ตัวหนูเองก็คงไม่แพ้กับพี่แอ๊ว ความลังเลก็มีมาก ทั้งเพราะว่ายังไม่เคยไปมหินตะเลรวมทั้งคุณพ่อด้วย และวันนี้ก็ได้ว่าเราเลือกที่จะฟังพระธรรม แต่หนูก็คิดว่า สิ่งที่คุณพ่อเลือก เป็นสิ่งที่ท่านสะสมมา เพราะหนูไม่ได้บังคับให้ท่านฟังสนทนาธรรมวันนี้ ทั้งๆ ที่ท่านก็ชอบที่จะไปเห็นสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงชาดก อดีตชาติที่แล้วๆ มา กว่าจะถึงการที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แสดงว่าไม่มีใครที่สามารถที่จะดับกิเลส รู้ความจริงของสภาพธรรมตามที่ทรงแสดงได้เพียงฟัง ครั้งเดียว สองครั้งหรือว่าฟังไม่มาก แต่ว่าผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะเห็นพระคุณในการที่ทรงแสดงชาดกอดีตชาติทั้งของพระองค์เอง ทั้งของท่านพระสารีบุตร กว่าจะถึงขณะที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องเป็นใครต่อใคร ได้ฟังธรรมได้เจริญกุศลมานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า พระธรรมทั้งหมดเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เป็นเรื่องจะได้ หรือจะเอา แต่เป็นเรื่องละความไม่รู้ และละกิเลสเพราะปัญญาเกิดขึ้น อกุศลทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้ และจะให้อกุศลน้อยลงได้อย่างไร ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เห็นพระคุณสูงสุดซึ่งสามารถทำให้กิเลสดับได้ หรือว่ากิเลสค่อยๆ ลดน้อยลงด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะไม่พยายามเพียรไปละกิเลสโดยไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะนั่นคือความเป็นตัวตน ไม่ใช่เป็นธรรมที่สามารถที่จะละคลายกิเลสได้ ธรรมที่ละคลายกิเลสได้มีอย่างเดียว คือปัญญา ด้วยเหตุนี้จึงมีข้อความในพระไตรปิฎกว่า ในบรรดาธรรมทั้งหลายซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดอยู่ทุกขณะ ปัญญาประเสริฐสุด

    ผู้ฟัง ผมกับลูกปรึกษากันเมื่อวานนี้ว่าจะไปดูที่เขาไปดูกัน กับ ฟังธรรม อันไหนจะดีกว่ากัน ผมว่าไปดูก็ไปดูวัตถุ ไม่ได้อะไร แต่ถ้าเรามาฟังธรรม ของจริง ของแท้ ของแน่นอน ได้ความรู้ ทำให้เรารู้ในสิ่งที่ดีๆ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นผู้ที่มั่นคง เพราะเหตุว่าใครจะรู้อดีตชาติได้ฟังพระธรรมที่มหินตะเลก็ได้ แต่ก็ลืมหมด แต่สิ่งที่ไม่ลืมก็คือความเข้าใจธรรม และเห็นประโยชน์ของธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    1 มิ.ย. 2568