ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796


    ตอนที่ ๗๙๖

    สนทนาธรรม ที่ เซอร์เจมส์ รีสอร์ท จ.สระบุรี

    วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    อ.อรรณพ ถ้ามีเหตุก็ต้องมีผล ผลที่จะได้เกิดในสุคติภูมิ เป็นผลของกุศล ถ้าไม่มีปัญญาก็เกิดได้ ผลของกุศลก็ทำให้เกิดในภพภูมิที่ดีรูปร่างหน้าตาดี แต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจธรรมเลย กับการที่มีเหตุที่ดีก็คือกุศลที่ประกอบด้วยความเข้าใจหรือปัญญา เข้าใจอะไร เข้าใจความจริง กุศลที่ประกอบด้วยปัญญานี่แหละจะนำมาซึ่งการที่ได้เกิดในที่อันเหมาะสมสมควร แล้วก็มีโอกาสที่จะมีการเจริญกุศลเจริญอะไรต่อไปได้

    ท่านอาจารย์ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตอนนี้ทุกคนไม่ลืม ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริงเป็นธรรมทั้งนั้น โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า มีจริงๆ ดีใจ เสียใจ น้อยใจ ขยัน ขี้เกียจ หมดเลยทุกอย่างไม่เว้นเลย ธรรมทั้งหลาย สัพเพธัมมาเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตาต้องเพิ่มความลึกซึ้งขึ้นอีก ไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เราก็ได้ฟังมาพอสมควร ธรรมมีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วก็ไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใครด้วย เช่น ตา สภาพเห็นเกิดแล้วดับจะเป็นของใคร เสียง กำลังพูด เสียงเราหรือเปล่า ใช่หรือ ดับไปแล้วของใคร ไม่เหลือเลยที่จะเป็นของใครอีกต่อไป คำนี้ไม่เปลี่ยน ทุกคำที่เป็นพระพุทธพจน์เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นความจริงถึงที่สุด สิ่งที่มีจริงที่เราเริ่มรู้ว่าทุกอย่างมีจริงๆ เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วหมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ใช้คำว่าดับ ในสังสารวัฏไม่กลับมาอีกเลย จะไปแสวงหาที่โลกไหนที่ไหนอีกไม่ได้เลยทั้งสิ้น แม้แต่เพียงความรู้สึกขุ่นใจเพียงชั่วขณะ เกิดเป็นอย่างนั้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นนี่คือความหมายของคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กว่าจะถึงความเป็นอนัตตาได้อีกนานมาก เพราะเหตุว่าขณะนี้อนัตตาขั้นฟังเข้าใจใช่ไหม ตอบได้ แต่ใครเห็น เราเห็น ใครคิด เราคิด ใครชอบ เราชอบ ความจริงชอบเป็นชอบ เป็นธรรมเกิดแล้วดับไป นี่กว่าเราจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเราได้กราบไหว้ แล้วก็ได้รับคำที่บอกเล่าว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้ที่ทรงดับกิเลส มีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ ไม่มีใครเทียบได้ แต่ก็ไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า ที่เป็นอย่างนี้จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ แล้วทำให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย ก่อนได้ฟังอย่างนี้ตั้งแต่เช้าเคยเข้าใจอย่างนี้ไหมว่า ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทุกอย่างหมดเลย เป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา และธรรมนี่ก็หลากหลายมาก หนึ่งคนมีธรรมกี่อย่าง เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม แข็งที่ตัวก็เป็นธรรม เย็นร้อนที่ตัวก็เป็นธรรมหมด ทุกอย่างเป็นธรรม ในหนึ่งคน และโลกนี้มีกี่คน และยังมีสัตว์อีกมากมาย สัตว์บกสัตว์น้ำต่างๆ มากมายประมาณได้ไหมว่า ธรรมมีเท่าไหร่ ประมาณไม่ได้ก็จริง แต่ก็ตามประเภทของธรรมใหญ่ๆ ก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือ ธรรมประเภทที่มีจริง เกิดจริง แต่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้นต่อไปนี้มั่นคงในคำว่า รูปธรรมหมายความถึงสิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย กระทบกาย กายรู้สึกไหมว่ามีใครกระทบ ก็มีหลายๆ คำเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ว่าไปช้าๆ แล้วก็จะได้มั่นคงขึ้น ธรรมมี ๒ อย่างที่ต่างกัน ๒ ประเภท ประเภทหนึ่ง ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธาตุหรือธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วต้องรู้ ไม่ให้เกิดได้ไหมเดี๋ยวนี้ ไม่ให้ได้ยินมีได้ไหม ไม่ให้คิดมีได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสภาพที่เป็นธาตุรู้มีจริงๆ ใครก็บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้ มีจริงตามลักษณะของสภาพธรรมนั้นแต่ละหนึ่ง เป็นนามธรรม แต่นามธรรมมี ๒ อย่าง คือสภาพหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เช่น ขณะนี้ได้ยินไหม ได้ยินเป็นจิต เป็นสภาพที่พระผู้มีพระภาคทรงใช้คำหลายคำ จิตตะก็ได้ วิญญาณก็ได้ มโน มานัส ทั้งหมด หมายความถึงสิ่งที่มีจริงที่เป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้

    เพราะฉะนั้นอะไรเกิด ธาตุรู้คือนามธรรมและรูปธรรมเกิด ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิด ก็เป็นต้นไม้ใบหญ้าเป็นอะไรๆ ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ที่ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเกิด ต้องมีนามธาตุ นามธรรมกับรูปธรรมเกิด แต่นามธรรมมี ๒ อย่าง เริ่มขยายจากหนึ่ง คือธรรมทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็ธรรมมี ๒ อย่างซึ่งต่างกัน คือธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรมหนึ่ง และธรรมที่รู้เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม ๒อย่างแล้ว ตอนนี้ขยายเพิ่มขึ้นอีก นามธรรมมี ๒ อย่างเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นนามธรรมประเภทหนึ่ง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ น้ำกับฟ้าต่างกันไหม เพราะธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานสามารถรู้ความต่างของฟ้ากับน้ำ แม้ว่าจะจรดกัน อย่างที่ทะเล เราก็ยังรู้ว่านั่นคือขอบฟ้า และนั่นคือน้ำ เพราะจิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ชอบฟ้าไหม ชอบไม่ใช่จิต แต่เป็นนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต บัญญัติคำนั้นว่าเจตสิกะ คนไทยก็ตัดอย่างเคย เป็น เจตสิก

    เพราะฉะนั้นจิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน รู้อย่างเดียวกัน และก็ดับพร้อมกันด้วย แต่ต่างกันเป็นจิตเกิดขึ้นเพียงรู้ แต่ว่าสภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดกับจิตซึ่งเป็นเจตสิกต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท หลากหลายมาก โกรธมีจริงๆ ไหม โกรธอะไร โกรธสิ่งที่จิตรู้ที่ปรากฏในขณะนั้น ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นรู้จะไปโกรธอะไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเจตสิกเกิดพร้อมกันรู้อย่างเดียวกัน แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่คือจิตเพียงเห็น ส่วนเจตสิกที่เห็นสิ่งนั้น จะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นเจตสิก ถ้าชอบก็เป็นโลภเจตสิก ถ้าไม่ชอบก็เป็นโทสเจตสิก ถ้าเราไม่ได้ศึกษาธรรมเลย เราคิดว่าโทสะเป็นความโกรธ แต่ความโกรธก็คือความไม่พอใจ แม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นโทสะ มากขึ้นก็สามารถจะเป็นความผูกโกรธอาฆาตพยาบาททำร้ายได้ สำหรับโลภเจตสิกก็เช่นเดียวกัน ชอบเล็กน้อยก็ไม่สนใจ แต่ถ้าชอบมากๆ อยากได้ต้องไปแสวงหามาแล้ว ถ้าไม่ได้ทางสุจริตก็ถึงกับสามารถทำทุจริต ฆ่าชิงทรัพย์ก็ได้ ลักขโมยก็ได้ ยักยอกก็ได้ ปล้นก็ได้ ได้ทุกอย่างด้วยอำนาจของอกุศล นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่หลากหลายมาก เป็นธรรมฝ่ายดีก็มี เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดีก็มี แต่ให้รู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรา เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ดีใจเป็นอะไร จิตหรือเจตสิก เจตสิก ดีใจเมื่อไหร่ เมื่อเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่น่าพอใจ ได้ยินเสียงคนที่เราเป็นมิตรสหายรักใคร่มาหา ขณะนั้นรู้สึกอย่างไร แค่เสียงก็ดีใจใช่ไหม แค่เพียงได้ยินเสียงยังดีใจ เพราะฉะนั้นสภาพที่รู้เสียงเป็นจิต แต่สภาพที่ดีใจชอบใจในเสียงนั้นเป็นเจตสิก พอที่จะเริ่มเห็นความหลากหลายของเจตสิกว่าต่างกันถึง ๕๒ ประเภท

    วันนี้ก็ได้ศึกษาธรรมได้เข้าใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลยได้ยินแต่ชื่อ ไกลแสนไกล ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ต่อเมื่อไหร่ได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจแต่ละคำ ก็เห็นพระคุณแล้วก็เริ่มรู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีมากกว่านี้อีกไหม พระคุณและพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะฉะนั้นการที่จะได้รู้จักพระองค์เพิ่มขึ้นมีหนทางเดียว ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ฟังเมื่อไหร่เข้าใจเมื่อไหร่ รู้ว่าบุคคลนี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ใครจะมาพูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้อย่างละเอียดว่า เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อกัน จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะพร้อมเจตสิกหลายเจตสิก แต่จิตหนึ่ง แล้วก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท และจิตหนึ่งนั้นดับไป การดับไปของจิตนั้นเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย ไม่มีระหว่างคั่นตั้งแต่ตื่นจนหลับ และตื่นอีกทุกวัน คือการเกิดดับสืบต่อของธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตเป็นเจตสิกและเป็นรูป เพราะฉะนั้นแต่ละคนอายุเท่าไหร่แล้ว นานนับไม่ได้เลย ย้อนไปตั้งแสนโกฏกัปแต่ละชาติแต่ละชาติ ก็ไม่ต้องนับกัน แล้วต่อไปจะมีอายุอีกนานเท่าไหร่ นับไม่ได้จนกว่าจะหมดกิเลส ปรินิพพานไม่มีการเกิดอีกเลย

    เพราะฉะนั้นวันนี้ก็รู้จักธรรม ซึ่งไม่ต้องอาศัยชื่อต่างๆ ได้ เพราะว่าสภาพธรรมนั้นเกิดแล้ว ขณะใดก็ตามที่รู้สึกเป็นสุข มีจริงไหม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก ต่อไปจะมีชื่อ แล้ว ถ้าอยากรู้ชื่อ เหมือนคนเกิดมา เรานั่งอยู่ในห้องนี้ไม่รู้ใคร แต่มีชื่อเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงใคร เพราะฉะนั้นเจตสิกก็เหมือนกัน ๕๒ ประเภท แล้วจะรู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน ก็ต้องมีชื่อสำหรับเจตสิกแต่ละประเภทด้วย

    ผู้ฟัง ได้ฟังเรื่องของชาติหน้า ก็มีคำถามหนึ่ง ว่า นรก สวรรค์ มีจริงใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทุกคำควรที่จะต้องพิจารณาในเหตุผล นรกคืออะไร สวรรค์คืออะไรก่อน ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไม่รู้ว่าที่เราถาม เราจะเข้าใจได้อย่างไรใช่ไหม เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ลองคิดก็ได้ เวลานี้โลกนี้ไม่ใช่โลกนรกแน่ ไม่ใช่สวรรค์แน่ และนรกสวรรค์จะมีจริงไหม ลองคิด ต้องมีเหตุผลและเป็นคนตรง ก่อนจะเกิดในโลกนี้ ใครรู้บ้างว่าจะมาสู่โลกนี้ ใครรู้บ้างว่าโลกนี้จะเป็นอย่างนี้ แต่เกิดแล้วเพราะอะไร เพราะเหตุมีผลจึงมี เพราะฉะนั้นเหตุตามที่เราเห็นอยู่ในโลกนี้ก็คือว่าดีก็มีชั่วก็มี เพราะฉะนั้นเหตุดีย่อมให้ผลดีแน่นอน แล้วก็เหตุชั่วก็ย่อมให้ผลชั่ว แต่เพียงเท่านี้ไม่พอที่จะทำให้เรามั่นคงได้ ก็ต้องรู้ว่า ผลของเหตุคืออะไร และเหตุคืออะไร โกรธดีไหม ทำร้ายตนเองยังไม่พอ ยังทำร้ายคนอื่นด้วย กายเริ่มเบียดเบียนคนอื่น ถ้าไม่เบียดเบียนด้วยกาย ก็เบียดเบียนด้วยวาจา ตั้งแต่เล็กน้อยจนกระทั่งรุนแรง จนกระทั่งบางคน เขาบอกว่าไม่ลืมจนตาย แค่คำพูดไม่ลืมจนตาย หมายความว่าคำพูดนั้นทำร้ายคนที่ได้รับเสียงนั้นได้รับคำนั้น และก่อนที่จะถึงคนนั้น ผู้พูดต้องโกรธอย่างมากขนาดไหน ถึงจะมีคำอย่างนั้นได้ และบางทีก็ไม่ได้คิดได้ฝันเลยว่า จะใช้คำนั้น แต่ก็พูดคำนั้นแล้ว เพราะความโกรธที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อเหตุอย่างนี้มีผลจะมีไหม แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าเกิดมาแล้ว อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล

    เพราะฉะนั้นควรที่จะได้คิดตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด เลือกเกิดได้ไหม จะเกิดที่ไหนดี ไปที่นั่นดีที่นี่ดี ประเทศนั้นประเทศนี้ดี ได้ไหม ไม่ได้เลย แต่เกิดแล้ว โดยเหตุที่ดีหรือเหตุที่ไม่ดีที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องต่างกับนก ต่างกับปลา ต่างกับสุนัข เพราะว่าสามารถที่จะมีความรู้ความคิดความเข้าใจเสียงต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยที่ว่าสุนัขก็ได้ยินเสียงได้เห็น แต่ไม่สามารถที่จะมีการคิดการรู้สิ่งที่ปรากฏได้มากเท่ามนุษย์ เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์เป็นสุคติภูมิ หมายความว่าเป็นทางไปที่ดีของเหตุที่ดีที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคำชัดเจน ที่มาสู่โลกมนุษย์เป็นทางไปที่ดีของเหตุที่ดีที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นเหตุที่ดีที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเป็นผลของเหตุนี้จริงๆ ไปสู่ทางที่ดี ซึ่งเหตุในขณะนี้ได้ทำแล้ว เราจึงมาสู่โลกนี้ด้วยการกระทำหนึ่ง กรรมคือการกระทำที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งเป็นการกระทำที่ดีไม่เบียดเบียนใครเลย เป็นประโยชน์กับตนเองและคนอื่น

    เพราะฉะนั้นผลของกรรมนี้ก็คือขณะแรกของชาตินี้ เกิดแล้วเลือกไม่ได้ จะเกิดกับพ่อแม่ไหน ญาติพี่น้องไหน วงศาคณาญาติมิตรสหายเพื่อนฝูง ตั้งแต่เกิดจนตาย เลือกไม่ได้ จะคบใคร คนพาลก็มี บัณฑิตก็มี จะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ทั้งหมดให้ทราบว่าเป็นอนัตตา ลืมคำนี้ไม่ได้เลย เพราะว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำจะนำไปสู่ความเห็นถูกเข้าใจถูกว่า มีสิ่งที่มีจริงๆ ชั่วคราว แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่สืบต่อจนกระทั่งสนิทไม่รู้เลยว่า ขณะนี้อะไรเกิดอะไรดับ แต่ทุกอย่างที่มีขณะนี้เกิดแน่นอนแล้วก็ดับแน่นอน เพราะฉะนั้นขณะแรกที่เกิดมาเป็นผลของกุศลกรรม กุศลแปลว่าดีงาม เพราะฉะนั้นกรรมที่ดีงามกรรมหนึ่งก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ ตามควรแก่กรรม จึงมีมนุษย์มากมาย รูปร่างหน้าตาต่างๆ ประเทศต่างๆ ฐานะต่างๆ เพื่อนฝูงต่างๆ แต่ว่ากำลังอยู่ในครรภ์ ยังไม่ออกมาสู่โลกนี้ ก็แล้วแต่ว่าขณะไหนเวลาไหนถึงเวลาที่จะมีตามีหูมีอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเมื่อคลอดแล้วมีโลกนี้ปรากฏ แต่ว่าไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร แม้เห็นก็เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แม้ได้ยินก็เพียงได้ยินเสียง แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะจำเสียงที่ต่างๆ กันหลากหลาย จนกระทั่งมีความหมายตามเสียงนั้นๆ ได้ว่า เสียงนั้นหมายความถึงอะไร ค่อยๆ เจริญ ค่อยๆ เติบโต กรรมที่ได้กระทำมาแล้วยังไม่ปรากฏชัด เพราะว่าความเป็นเด็กเล็กๆ เหมือนกันหมดเลย พอเกิดมาแล้วก็ไม่รู้อะไรไม่เห็นอะไร จนกระทั่งค่อยๆ มีประสบการณ์ทางตาทางหูจมูกลิ้นกายใจ ค่อยๆ โตขึ้นจนกระทั่งเป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ยังไม่พอ อยู่โรงเรียนเดียวกัน เด็กกี่คน นิสัยต่างกันเพราะแต่ละหนึ่ง สะสมมาในชาติก่อนๆ ที่สืบต่อมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ขณะนี้ก็เป็นแต่ละคนซึ่งต่างกัน

    เพราะฉะนั้นผลของกรรมคือขณะแรกที่เกิด เลือกไม่ได้ตามกรรม และเมื่อมีการเกิดแล้วสู่โลกนี้ เห็นก็เลือกไม่ได้อีกว่า จะเห็นอะไร เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ดอกไม้สวยๆ หรือว่าสิ่งที่สกปรกไม่น่าดูเลยก็ได้ นอนหลับดีๆ ได้ยินเสียงดังสนั่น เลือกได้ไหม ไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไร เพราะไม่มีใคร แต่ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุที่สมควร เพราะฉะนั้นผลของกรรมตั้งแต่เกิดจนตาย คือเกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ๕ ทางให้รู้ว่าเป็นผลของกรรม เห็นเป็นผลของกุศลก็เห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของอกุศลก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แม้แต่เสียงเป็นผลของกุศลก็ได้ยินเสียงที่น่าพอใจ เป็นผลของอกุศลเสียงก็ไม่น่าพอใจ เลือกไม่ได้เลยตลอดชีวิต แต่พ้นจากเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย นอกจากนั้นไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกิเลสที่มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ อยากเห็นอยากได้ยิน ไม่มีใครอยากตาบอด ไม่มีใครอยากหูหนวก แต่เป็นกิเลสที่นำมาซึ่งกรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เหตุใหม่เกิดแล้วมีแล้ว เพราะฉะนั้นผลก็ต้องเกิดต่อไปอีก ถ้าย้อนกลับไปในแสนโกฏกัปที่เกิดมาเป็นใครต่อใครจนกระทั่งมาถึงขณะนี้ เราไม่รู้ใจของเราเลย จนกว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ได้สะสมอะไรมามาก สะสมความโกรธความขุ่นใจมามาก เห็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ขุ่นใจแล้ว เดือดร้อนใจแล้ว ไม่พอใจแล้ว คนอื่นเขาก็ดูไม่เดือดร้อน เขาก็นั่งเฉยๆ แต่คนนี้ทำไมหงุดหงิดเดือดร้อนโน่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่ดีอยู่คนเดียว เดือดร้อนมากมาย เพราะต่างคนก็ต่างใจ ต่างคนก็เป็นแต่ละหนึ่งเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ผลของกรรม หนึ่งเกิด ๒ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เมื่อไหร่เป็นผลของกรรม ถึงแม้นอนหลับสนิทไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก แต่กรรมก็ยังไม่ให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ พร้อมที่ว่าตื่นเมื่อไหร่ก็เป็นคนนี้ต่อไป แต่ความจริงไม่มีคน แต่มีธรรมซึ่งใหม่หมดเลยทุกขณะ เกิดและดับไปสืบต่อกัน เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจเรื่องเหตุและผล เมื่อเหตุมีผลต้องมี ความเจ็บดีไหม มีใครพอใจบ้าง มีตั้งแต่นิดเดียวจนกระทั่งปวดเจ็บ ถูกไฟลวกและไฟไหม้ เคยได้ข่าวไหม เป็นไปได้อย่างไร ใครทำให้ แต่ว่าถ้าผลของกรรม กรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเลย เพราะฉะนั้นก็จะมีโลกอื่นไม่ใช่แต่เฉพาะโลกนี้โลกเดียว โลกอื่นต้องต่างกับโลกนี้ เพราะว่าโลกนี้คละกัน เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ แต่ว่าโลกอื่น ผลของกรรมมีกำลังมาก เพราะฉะนั้นก็ทำให้เป็นทุกข์มาก ไม่ใช่เป็นอย่างโลกนี้ และถ้าเป็นผลของกุศลกรรมอย่างดีปราณีต โลกอื่นก็เป็นสุขมาก ไม่ใช่เป็นเพียงสุขอย่างโลกมนุษย์

    เพราะฉะนั้นโลกมนุษย์นี่ก็เป็นกลางๆ แต่ว่าเป็นสุคติภูมิ เป็นภูมิที่ไม่ใช่อบายภูมิ ภูมิที่ไม่เจริญ ได้แก่ ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก ฟังแล้วเชื่อไหม ไม่เห็น แต่เหตุมี เป็นอย่างนั้นได้ไหม เพราะเหตุว่าแม้เจ็บเล็กน้อยในโลกนี้ยังมีได้ และเจ็บมากๆ ขึ้นอีก มากขึ้นอีกในโลกนี้ก็ยังมีได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของกรรมที่หนักมากแรงมากที่จะเป็นอย่างนั้นนานๆ ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งก็มีผู้ที่อยู่ในโลกนั้น เพราะได้กระทำกรรมอย่างนั้นอย่างนั้นมา เหมือนผู้ที่อยู่ในโลกนี้ก็ได้กระทำกรรมทั้งดีทั้งชั่ว ถึงเวลาที่กุศลกรรมจะให้ผลเมื่อไหร่ ก็ทางตาหูจมูกลิ้นกายเท่านั้น ไม่เกินกว่านี้เลย ไม่ว่าโลกไหน เพราะฉะนั้นสวรรค์ก็เป็นผลของกุศลซึ่งปราณีต และก็มากกว่าโลกนี้เป็นไปได้ไหม ในเมื่อเหตุมี วันหนึ่งถ้าอยู่ที่นั่น ก็จะสงสัยว่าแล้วโลกอื่นมีไหม อย่างมนุษย์อย่างนรกจะมีไหม แต่พออยู่ที่โลกนั้นก็ไม่สงสัยในโลกนั้น แต่ก็สงสัยในโลกอื่น เพราะว่าไม่ได้อยู่ในโลกอื่น เพราะฉะนั้นนรกมีจริงเมื่อไหร่ เมื่อไปสู่นรก สวรรค์มีจริงเมื่อไหร่ ไปสู่สวรรค์ก็หายสงสัย แต่เมื่อเหตุมีผลก็ต้องมี

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    16 พ.ค. 2568