ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
ตอนที่ ๘๐๔
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมและไตร่ตรอง ไตร่ตรองจนเป็นปัญญาของตนเอง รับรองได้ไม่ต้องให้คนอื่นรับรอง รับรองคือมั่นคง ว่าสิ่งนั้นถูกต้อง เพราะคนอื่นจะมาทำให้เราเชื่อเป็นไปไม่ได้ จะบอกอย่างไรแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมมากมายโดยประการทั้งปวง ประกาศความจริง เปิดเผยทุกอย่าง แต่ถ้าผู้ใดไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย พระองค์ก็ตรัสว่า แล้วเราจะทำอะไรเขาได้ หรือจะว่าอะไรเขาได้ เพราะถึงแม้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นใคร ก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนใจใครได้ แต่ต้องมีคำ ที่หากใครได้ฟังและเป็นคนตรง ก็ต้องพิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่ แค่ถูกต้องยังไม่พอ กล้าที่จะให้ความจริงนั้นเปิดเผย และก็ถูกต้องยิ่งขึ้น มั่นคงต่อไปหรือเปล่า หรือว่าไม่กล้าพอที่จะพูดถึงสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นทั้งหมดต้องเป็นสัจจะ ความจริงซึ่งไม่ใช่บังคับว่าเฉพาะคนกลุ่มนี้จริง คนกลุ่มอื่นไม่จริง แต่ความจริงต้องเป็นความจริงสำหรับทุกคน ที่จะพิจารณาในเหตุ และในผล เพราะฉะนั้นหลงทางง่ายๆ แต่ต้องรู้ว่าทำไมหลง เพราะว่ายังไม่ทันรู้เลยว่า ทางคืออะไร รู้เสียก่อน แล้วจะได้รู้ว่าหลงหรือเปล่า ที่กล่าวว่าหลงทาง ทางคืออะไร ทางคือปัญญา ความเห็นถูกความเข้าใจถูก มรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฏฐิ เอาไปทิ้งไว้ที่ไหน ถ้าไม่มีความเห็นถูก แล้วทางจะมีได้อย่างไร เพราะเกิดมานานแสนนาน เพราะไม่รู้จักทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ หาเองไม่ได้ หลง ฟังคำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หลง เพราะเขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเชื่อเขาได้อย่างไร เพราะเขาไม่ได้บอกให้คนที่ฟังเขาเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แล้วพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดจะมีประโยชน์กับใคร ถ้าไม่มีใครศึกษา แล้วก็เข้าใจ มีแต่ไม่ต้องศึกษาแต่ให้ทำ นั้นก็เรียกว่าไม่มีเหตุผลเลย ทำอะไรก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้แล้วจะทำอย่างไร บอกให้เดินก็เดิน แล้วเดินอย่างไร เดินก็ต้องมีวิธีเดิน ซึ่งไม่ใช่ปกติ ไม่มีเลยที่ปัญญาจะไปรู้สิ่งที่ไม่ใช่ปกติ เพราะเหตุว่าปัญญารู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้ว เปลี่ยนไม่ได้เลย ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ใครทำให้ผิดปกติไม่ได้ นอกจากเข้าใจผิด
เพราะฉะนั้นเรื่องเข้าใจผิดมีมาก เพราะไม่รู้จักทาง คือไม่รู้จักว่าปัญญารู้อะไร จึงหลงทาง ปัญญารู้อะไร ต้องรู้สิ่งที่กำลังมี สิ่งอื่นดับแล้วไม่กลับมาอีก แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิด และอะไรจะเกิดก็ไม่รู้ แล้วจะไปรู้ จะไปพิจารณาสิ่งซึ่งยังไม่เกิดได้อย่างไร แต่ขณะนี้มีสิ่งซึ่งกำลังปรากฏเพราะเกิดขึ้นและก็ดับไป เพราะฉะนั้นจะประจักษ์อดีต อนาคต ก็เพราะรู้ปัจจุบันที่กำลังมีว่า เกิดขึ้นและก็ดับไปเป็นอดีตแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เกิดต่อ สืบต่อทันที ยับยั้งได้หรือไม่ ตั้งแต่เกิดมาใครยับยั้งอะไรได้บ้าง ไม่ให้เห็นได้หรือไม่ ไม่ให้คิดได้หรือไม่ ไม่ให้ชอบได้หรือไม่ ไม่ได้เลยสักอย่าง เพราะเป็นธรรม เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นหนทางนี้ เป็นหนทางที่จะรู้จักธรรม คือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งเคยเป็นเรา ให้รู้ว่าแต่ละหนึ่งมารวมกันเกิดดับ ลวงให้เห็นเหมือนมายากลว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ความจริงทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ดับแล้วหมายความว่า ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว พิสูจน์ได้ทุกขณะในขั้นฟัง แต่ปัญญายังไม่พอที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นฟังสักเท่าไร กิเลสก็ยังไม่หมด เพราะเหตุว่าเป็นแค่เราเข้าใจ ยังไม่ได้ประจักษ์ความไม่ใช่ตัวตนเลย ของทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นทางมี แต่หลงทาง เพราะไม่รู้ว่าทางคือปัญญา ความเห็นถูก ถ้าไม่มีความเห็นถูก ไปทางอื่นหลงหมด
อ.อรรณพ ประเพณีที่ไม่เข้าใจธรรมนี้ ก็เป็นการหลงทางทั้งหมดเลย
ท่านอาจารย์ แน่นอน
อ.อรรณพ เป็นการหลงทางที่เป็นกลุ่ม
ท่านอาจารย์ แน่นอน ตอบคนเดียวไม่พอ ต้องคนฟังเดี๋ยวนี้พิจารณาเลย ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดมาตอบแทน ทุกครั้งที่มีคำถาม ตอบด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่า ตรงหรือเปล่า และก็จริงหรือไม่ แล้วก็มั่นคงหรือยัง แล้วอาจหาญหรือเปล่า ที่จะไปตามทางที่ถูกต้อง
อ.คำปั่น โดยพยัญชนะที่มาจากภาษาบาลี ก็คือประเวณิ หมายถึงเชื้อสายหรือสิ่งที่ประพฤติสืบต่อกันมา นี่คือความหมายของประเพณี ซึ่งก็ชัดเจนว่าอะไรก็ตามที่ทำสืบต่อกันมาด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก มีการฟัง มีการศึกษาพระธรรม ก็เป็นประเพณีที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นความประพฤติเป็นไปของผู้ที่มีปัญญา ตั้งแต่พระโพธิสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นระดับใดก็ตาม เพราะดำเนินตามประเพณีมาแล้ว แต่ถ้าเป็นการกระทำอะไรก็ตามที่ทำด้วยความไม่รู้ ด้วยการเข้าใจผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็เป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาด้วยความไม่ถูกต้อง
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้าฟังผิวเผิน ก็อาจจะคิดว่า การศึกษาธรรมที่มุ่งในพระไตรปิฎกอย่างที่เราศึกษากัน เหมือนกับไม่ค่อยจะสนับสนุนการทำตามประเพณี แต่ว่าประเพณีของระดับอุบาสก อุบาสิกา พุทธบริษัทในสมัยพุทธกาลที่ถูกต้อง การฟังธรรมซึ่งแสดงว่าเป็นมงคล การสนทนาธรรมก็แสดงว่าเป็นมงคล เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังสืบสานประเพณีสนทนาธรรม ฟังธรรม กล่าวธรรมตามประเพณีของชาวพุทธที่ถูกต้องจริงๆ ยากที่กล้าทิ้งประเพณีไม่เข้าใจ เพราะว่าชิน เหมือนถูกปลูกฝังมา
ท่านอาจารย์ เพราะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจแล้วกล้าหรือไม่
อ.อรรณพ ขึ้นกับระดับของความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เกิดมานี้ก็คงจะต้องจากโลกนี้ไป แล้วก็จะไปด้วยความเห็นผิดๆ แล้วก็ไม่กล้าที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ หรือว่าไม่กล้าที่จะกล่าววาจาสัจจะ และประโยชน์อะไรของการที่เกิดมา ในเมื่อไม่กล้า เพราะเหตุว่าบางคนห่วงอะไร ความรักตน ห่วงคนอื่นเขาจะว่าเรา ทำไมเราพูดอย่างนี้ คนอื่นเขาไม่ได้พูดอย่างนี้ เราเป็นใคร เขาเป็นใครไม่สำคัญ คำจริงคือคำไหน อะไรถูกต้อง
เพราะฉะนั้นถ้าพูดคำจริง คนอื่นไม่ชอบ ไม่เป็นไรเลย ในเมื่อเราไม่ได้กล่าวคำไม่จริงตามความพอใจของคนอื่น ที่ต้องการที่จะให้เราพูดคำไม่จริง แต่เมื่อคำนั้นเป็นคำจริงแล้ว ไม่สนใจเลย ใครจะว่าเรา แต่คำนั้นจริง ใช่หรือไม่ ขณะนี้สภาพธรรมมี พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรมที่ปรากฏ สิ่งที่ดับไปแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไร เพราะทรงแสดงไว้ว่า สิ่งใดที่ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะไปพิจารณา ไปรู้สิ่งที่ไม่มีได้อย่างไร และสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิด ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏของสิ่งที่ยังไม่เกิดจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไร แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ใครว่าไม่จริง แล้วก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ด้วย แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้มี และทรงแสดงให้คนที่ได้ฟังเริ่มเข้าใจว่า ปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีแล้วไปทำขึ้นมา นั่นคือไม่ใช่สิ่งที่มีจริงๆ เพราะเหตุใด จึงไป แสดงว่าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ทำ ทำได้อย่างไร ขณะที่ไม่ได้ทำก็มีสิ่งที่ปรากฏแล้วเพราะเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้นก็เป็นความเข้าใจผิด ความหลงผิด ถ้าพูดคำจริงอย่างนี้ จะกลัวอะไร กลัวคนไม่ชอบ กลัวเสื่อมลาภ กลัวถูกนินทา กลัวไม่ได้รับเกียรติยศ ไม่มีบริวาร แล้วก็จะจากโลกนี้ไปอยู่แล้วทุกขณะ ใครรู้ได้ และประโยชน์ที่สุดของการที่เกิดมา อะไรสำคัญกว่า ไปติดอะไรในรูป เสียง กลิ่น รส หรือเกียรติยศ บริวาร ทรัพย์สมบัติ เงินทอง เพียงปรากฏแล้วหมด และไม่มีความเข้าใจอะไรเลย นอกจากทำให้ติดข้อง
เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ของการฟังพระธรรม จะรู้เลยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อละ เพราะว่าเกิดมาก็ติด แล้วก็ต้องเกิดอีกก็เพราะติดข้อง ใช้คำว่า โลภะหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่หมายความว่าเพราะการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นความติดข้อง แต่เราชาตินี้เสร็จแล้วจากโลกนี้ไปแล้วอยู่ไหน ไม่มีเลย แต่สิ่งที่มีคือทุกอย่างที่เป็นกุศลและอกุศลในชาตินี้ที่เกิดแล้ว สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ไม่จากไปเลย
เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมีแต่ละอัธยาศัย และประโยชน์สูงสุดคือ เมื่อเป็นคำจริงแล้วไม่พูดคำจริง จะได้ประโยชน์แก่ใคร จะทำให้เกิดประโยชน์หรือเปล่า พูดคำไม่จริง แต่ถ้าเป็นคำจริงแล้ว พิจารณาได้ถูกหรือไม่ กล้าตั้งแต่เริ่มกล้าที่จะรู้ว่าอะไรจริง และก็กล้าต่อไปคือ สิ่งไหนที่ไม่จริงก็ทิ้งไป และยังกล้าที่จะกล่าวคำจริงให้คนอื่นได้รู้ด้วย เพราะเหตุว่าความเป็นมิตรความหวังดี ให้สิ่งที่จริง ไม่ใช่สิ่งที่ลวง เพราะฉะนั้นไม่ได้เสียประโยชน์แก่ใครเลยที่จะได้ฟังความจริงและคำจริง จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่สำคัญ ในเมื่อพิจารณาจริงๆ แล้วจะปฏิเสธหรือไม่ ว่าแต่ละคำนั้นไม่ถูกต้อง เช่นเห็นเดี๋ยวนี้มีจริง ถ้าจะรู้ความจริงก็ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งรู้ยากมาก เพราะเหตุว่า เราพูดเรื่องเห็นกำลังเห็น พูดเรื่องได้ยินกำลังได้ยิน พูดเรื่องแข็งกำลังปรากฏทางกาย มีทุกอย่างที่กล่าวถึง แต่ไม่ได้รู้ตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่านั่นเป็นธรรมจริงๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเลยสักอย่างเดียว แต่ต้องฟังจนกระทั่งมีความมั่นคงขึ้น
เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงใย เรื่องการที่จะมีคนรัก คนชังหรืออะไร ขอให้เขาได้เข้าใจถูก และคำพูดนั้นก็เป็นคำจริง ซึ่งสามารถที่จะถามได้ กล่าวได้ สนทนากันได้ เพราะทุกคนก็ต้องมีความหวังดีต่อกัน ที่จะให้คนได้เข้าใจความจริง
อ.อรรณพ เรื่องกล้าที่จะทิ้งสิ่งที่ผิด และก็กล้าที่จะรู้สิ่งที่ถูก ทำสิ่งที่ถูก
ท่านอาจารย์ เป็นการเคารพสูงสุดในพระรัตนตรัย กล่าวว่าเคารพพระรัตนตรัย แต่ไม่ศึกษาธรรม แล้วกล่าวผิดๆ จากความจริงที่พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว นั่นเป็นการเคารพหรือไม่
อ.อรรณพ ที่ยังไม่กล้าจะทิ้งสิ่งที่ผิด หรือประเพณีที่ไม่เข้าใจความจริง เพราะยังมีอคติหรือความอยากให้คนเขารักเราบ้าง ด้วยความที่กลัวบ้าง คือความอะไรสารพัดเพราะไม่รู้
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะละกิเลส ละความไม่รู้ ละความเป็นเรา เพราะติดอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าจริงๆ มีเราจริงๆ หรือเปล่า มีเห็นจริง เห็นเกิดและดับเราอยู่ไหน มีคิดจริง คิดก็เกิดขึ้นและดับไป เราอยู่ไหน และมีเราจริงๆ หรือ แต่เพราะหลงยึดถือว่าเป็นเรา
อ.คำปั่น อาจารย์ของท่านอุปติสสะคือท่านพระสารีบุตร และท่านโกลิตะคือท่านพระมหาโมคคัลลานะ ชื่ออาจารย์ก็คืออาจารย์สัญชัย ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเห็นผิด มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เมื่อลูกศิษย์คือท่านอุปติสสะกับท่านโกลิตะ ได้ รู้แจ้งธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ซึ่งท่านอุปติสสะได้ฟังความจริง ที่พระอัสสชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้กล่าวให้กับท่านอุปติสสะฟัง ได้ฟังแล้วเข้าใจความจริง ได้รู้แจ้งธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน แล้วก็นำความจริงนี้ครับมากล่าวกับเพื่อนคือท่านโกลิตะ ซึ่งก็คือท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วก็ได้บรรลุธรรม ถึงความเป็นพระโสดาบันเช่นเดียวกัน ท่านทั้งสองก็คิดจะเกื้อกูลให้อาจารย์ ได้พบความจริงด้วย ก็มาเชิญ มากล่าวเพื่อที่จะให้อาจารย์ได้ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้ฟังความจริง แล้วก็เข้าใจความจริงด้วย
แต่อาจารย์ก็กล่าวกับท่านทั้งสองว่า ในโลกนี้คนที่ฉลาดกับคนโง่ คนประเภทไหนมีมากกว่ากัน ถึงกับกล่าวว่า คนที่ฉลาดที่มีเป็นส่วนน้อย ก็ให้ไปหาพระสมณโคดม แต่คนโง่ คนไม่ฉลาด ซึ่งมีมาก ก็ให้มาหาเรา เราเป็นอาจารย์ของคนอื่น ไม่สามารถที่จะประพฤติตนเป็นลูกศิษย์ของใครได้ นี่คือความเห็นผิด ความไม่รู้ ไม่กล้าที่จะสละความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง มาหาความเข้าใจที่ถูกต้องได้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากว่า พระธรรมไม่สามารถที่จะเกื้อกูลสำหรับผู้ไม่เห็นประโยชน์ได้จริง
ท่านอาจารย์ โทษมาก นอกจากตนเองจะเห็นผิดแล้ว ก็ยังชักชวนคนอื่นให้เห็นผิดตามไปด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นลูกศิษย์คนอื่น ไม่ใช่พระรัตนตรัย ไม่ใช่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลองคิดดูว่า การบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงสุดนั้น บูชาด้วยอะไร คุณธิดารัตน์จะบูชาด้วยอะไร
อ.ธิดารัตน์ การประพฤติแล้วก็ปฏิบัติตาม เพราะการปฏิบัติบูชาอาจารย์ ก็คือขณะที่เมื่อศึกษาธรรมแล้ว เข้าใจธรรม ขณะที่ปัญญาทำกิจ ปัญญาปฏิบัติหน้าที่ เป็นการขัดเกลาอกุศลธรรมทั้งหลาย ประพฤติปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ท่านแสดงธรรมเพื่อที่จะให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากกิเลส และการที่อบรมเจริญปัญญา ก็เป็นหนทางที่จะทำให้ดับกิเลสได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของปัญญา ซึ่งทำกิจรู้ลักษณะของสภาพธรรมในส่วนเบื้องต้น เป็นการเริ่มอบรมที่จะเป็นการบูชาด้วยการเข้าใจธรรมนั่นเอง
ท่านอาจารย์ ขณะนี้กำลังฟังพระธรรมทุกคำ วาจาสัจจะ เป็นการบูชาสูงสุดหรือเปล่า เดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องขณะอื่นเลย แต่ถ้าจะทำอย่างอื่น ขณะอื่น โดยที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่คิดถึงค่าของแต่ละคำ ซึ่งเป็นพระธรรมที่ตรัสไว้ดีแล้ว แล้วจะบูชาอย่างไรในเมื่อไม่รู้ค่าเลย คิดว่าบูชาสูงสุดแล้ว แต่ไม่ใช่เลย เพราะไม่มีความเข้าใจ แต่การที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญพระบารมีจากสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อให้คนได้เข้าใจธรรม ไม่ได้หวังอะไรเลยทั้งสิ้น ลาภ ยศ สรรเสริญ ดอกไม้ เครื่องบูชา ของหอมต่างๆ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์ที่จะให้มาบูชา แต่การฟังพระธรรมแล้วเข้าใจถูกต้องขณะนี้ ทุกครั้งที่เข้าใจนั่นคือการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด เพราะฉะนั้นก็บูชาต่อไปอีกได้ ทุกครั้งที่ได้เข้าใจพระธรรม
ผู้ฟัง หนทางของความกล้า จะเป็นหนทางละโดยตลอด
ท่านอาจารย์ ทุกคำเพื่อละ ละตั้งแต่อกุศล จนกระทั่งละกุศลด้วย ไม่มีทั้งกุศลและอกุศล เพราะอะไร ถ้าตราบใดที่ยังเป็นกุศลและอกุศลเป็นเหตุที่จะให้เกิด เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมละเอียดมาก พระโสดาบันดับกิเลส คือการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของธรรม ไม่เหลือความสงสัย และการที่ยังคงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นจะไม่มีอัตตสัญญา สัญญาวิปลาสในอริยสัจจ์เลย เพราะกว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นด้วยความเป็นอนัตตา แล้วก็ค่อยๆ สะสมการที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเริ่มเกิด ที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งมีมากแต่ทีละหนึ่ง ด้วยการรู้ความต่างของขั้นของปัญญาว่า ปัญญาขั้นฟังเป็นการเข้าใจเรื่องราว แต่ปัญญาที่รู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ต้องมาจากสติสัมปชัญญะ ซึ่งกำลังรู้ลักษณะ ซึ่งไม่ใช่เรา กำลังปรากฏให้ความเข้าใจนั้นได้เกิดขึ้นถูกต้องว่า ได้เข้าใจอย่างนี้จริงๆ ในขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม โดยไม่ต้องมานั่งกล่าวชื่อ เรียกชื่ออะไรเลย แต่รู้ทันทีที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ เพราะสะสมการฟังเข้าใจ เหมือนเด็กเล็กๆ เกิดมาเห็นก็ไม่รู้ว่าอะไร เราก็เห็นมาในแสนโกฏกัปป์ ก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่พอรู้แล้วใช่ไหม รู้จริงๆ ไม่ต้องนึก ไม่ต้องบอก พอเห็นก็รู้ได้เลย เพราะฉะนั้นปัญญาระดับนั้นจะเกิดได้ ต่อเมื่อมีการฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นๆ
เพราะฉะนั้นก็มีการต่างระดับของปัญญาขั้นฟัง ปริยัติ ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ โดยความเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถไปทำอะไรได้เลย เพราะฉะนั้นหนทางนี้เป็นหนทางละความไม่รู้โดยตลอด จนกระทั่งถึงกาลดับกิเลสตามลำดับขั้น ต้องรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ที่สิ่งนี้กำลังปรากฏ นั่นคือปัญญาที่รู้ได้
ผู้ฟัง การที่ปัญญาจะเข้าใจสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ใช่แต่ละหนึ่งก็เป็นทางที่ไม่ถูก ในเมื่อยังรวมกันอยู่
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าปริยัติ คือการรอบรู้ในคำที่ได้ฟัง อย่างคำว่า ธรรม พูดถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งหลากหลายมาก มั่นคงหรือยัง คิดก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม แต่เป็นชื่อธรรม เพราะเวลานี้เห็น ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม แต่ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นปัญญาต่างขั้นใช่หรือไม่ แต่ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง เป็นปัจจัยให้เมื่อสภาพนั้นปรากฏ สติสัมปชัญญะและปัญญาก็เกิดเข้าใจในขณะนั้นได้ ตรงตามที่ได้สะสมการฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ต้องมีการตระเตรียม เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตา แล้วรู้ด้วยว่าถ้าไม่มีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นคือปริยัติ ปฏิปัตติเกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นการรอบรู้ในคำ ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ เป็นปริยัติ แต่เวลาที่สภาพธรรมจะปรากฏให้เข้าใจต้องทีละหนึ่ง ถ้ารวมกันจะไปเข้าใจชัดเจนได้อย่างไร แต่เพราะว่า หนึ่งเดียวที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็รู้รอบในสิ่งนั้นที่กำลังปรากฏว่า ไม่มีสิ่งอื่นเจือปนเลย ลักษณะของธาตุรู้ เป็นธาตุที่ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย เดี๋ยวนี้ก็ไม่มี เมื่อไรก็ไม่มี แต่เป็นธาตุซึ่งเกิดแล้วรู้เท่านั้นเอง แล้วแต่ว่าจะรู้ทางไหน รู้ทางตา ก็เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ธาตุรู้ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ตาก็ไม่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่เห็น แต่เห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังจนกว่าจะเป็นธรรม จนกว่าจะเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติ ซึ่งหมายความถึง ปฏิคือเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ถึงเฉพาะมีเหตุที่จะให้เข้าใจลักษณะของหนึ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แล้วก็เข้าใจ เพราะเหตุว่าสะสมการได้ยินได้ฟังจนมั่นคงเป็นสัจจญาณ เพราะฉะนั้นก็ทำให้สติสัมปชัญญะทำกิจจญาณ เกิดขึ้นเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เข้าใจจากขั้นการฟังอย่างมั่นคง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
