ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806


    ตอนที่ ๘๐๖

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ คิดว่าจะรู้ความจริงในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้หรือไม่ อีกไม่นานธรรมก็อันตรธาน แล้วจะมีโอกาสหรือไม่ เวลาที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ที่จะมีโอกาสได้ฟังคำนี้อีก เพราะต้องตรัสเหมือนกัน อริยสัจ ๔ ไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะมีคำถามว่า รูปเที่ยงไหม ถ้าไม่เคยสะสมความรู้ความเข้าใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกว่าจะถึงพระสัมมาส้มพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง จะตอบได้หรือไม่ ว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง เพราะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น รูปก็ยังไม่รู้เลย

    แต่ท่านเหล่านั้นต้องเคยฟังมาแล้ว เหมือนผู้ที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ เหมือนคนที่ได้ฟังคำพยากรณ์ สุเมธดาบส ในสมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สุเมธดาบสจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคดม คือพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ที่ได้ทำนายไว้ คนฟังรื่นเริง อย่างน้อยที่สุดไม่รู้พระธรรมในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็จะได้รู้ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือพระสมณโคดมพระองค์นี้ ซึ่งจากสมัยที่ได้ฟังธรรม จากพระทีปังกรดาบส ที่ได้ทรงพยากรณ์สุเมธดาบส สุเมธดาบสก็จากไปแล้ว เกิดอีกเกิดเล่าผ่านพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ กว่าจะได้รู้ความจริงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเป็นใคร พออ่านแล้วจะพิจารณาอดีต อนาคต ปัจจุบัน ไกล ใกล้ หยาบ ละเอียด และเดี๋ยวนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะรูป ความรู้สึกก็มี ความคิดต่างๆ ก็มี ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดต้องรู้ทั่ว ถ้าไม่ทั่ว วิจิกิจฉา สงสัย ยังไม่สามารถที่จะละได้ เพราะกิเลสสะสมมานานมากแล้วดับหมดไม่เหลือ ไม่เกิดอีกเลย คิดดู กำลังของปัญญาของพระธรรมเทศนา ซึ่งถ้าใครไม่อาศัยพระธรรมเทศนา เขาจะรู้ จะเข้าใจและก็จะไปทำอะไรก็ต้องผิดหมด เพราะเป็นความคิดของเขาเอง

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งพุทธบริษัทเท่านั้น ที่จะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่ว่า ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งท่านก็ได้กล่าวถึงสิ่งที่ท่านได้ทำไปแล้ว และท่านก็ขอขมาพระรัตนตรัย เพราะว่าแต่ก่อนมีคนนิมนต์ท่านไปแสดงธรรม ท่านก็กล่าวเพียงเล็กน้อย เป็นธรรมคำสองคำ แล้วท่านก็กล่าวเองหมด ท่านบอกว่าท่านต้องขอขมา เพราะเหตุว่าท่านได้ทำสิ่งที่ผิด

    ผู้ฟัง ที่ท่านกล่าวว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร เราจึงข้ามโอฆะได้ กรุณาอธิบายคำว่าพักกับเพียรสักนิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังพระธรรม คิดเองจะเป็นอย่างไร ไม่พัก ไม่เพียร พอบอกว่าไม่พักทำอะไรกัน เพียรทำอะไรก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุว่าไม่รู้ แต่ที่ลืมไม่ได้ พระธรรมทั้งหมดเป็นปัญญา นำมาซึ่งความเข้าใจ ไม่ใช่เราไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วเราก็คิดเอง อย่างนั้นไม่ต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่เห็นค่าของการที่ว่า ทุกคำที่ตรัส ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าคนในครั้งที่ได้ฟังพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์สุเมธดาบส จากนั้นมา จนกระทั่งอาจจะถึงสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ เหมือนพระองค์เอง ใช่หรือไม่ ที่บำเพ็ญพระบารมีอย่างที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เพราะฉะนั้นบุคคลที่ได้ฟังคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามทีปังกรพยากรณ์สุเมธดาบส จะบำเพ็ญเพียรหรือไม่ แต่ไม่ใช่แบบไม่พักไม่เพียร แต่มีความเข้าใจที่ถูกต้องในความเป็นอนัตตา ถูกต้องหรือไม่

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ จะไปทำให้รู้มากๆ ไม่พัก จะเพียร จะให้รู้มากๆ ได้หรือไม่ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ยิ่งทำยิ่งเป็นตัวตน แต่รู้ว่ากว่าจะเข้าใจสิ่งที่มีในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร คือเห็นตามธรรมดา ได้ยินตามธรรมดาเหมือนเดี๋ยวนี้ทุกอย่าง ต้องด้วยความเป็นอนัตตา กว่าจะได้อบรมด้วยการฟัง ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่ทำด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเพียร เพราะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา ที่สามารถจะไปทำอะไรได้เลย ความรู้แค่นี้ แล้วจะไปละกิเลสมหาศาลที่สะสมมาที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนได้อย่างไร แต่รู้ว่าถ้าไม่ฟังธรรม ไม่มีทางถึง เข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเข้าใจอย่างนี้เป็นปัญญาแล้ว ขณะนั้นไม่พักเ พราะรู้ว่าถ้าพักคือไม่ฟัง ไม่มีการสะสมความเข้าใจที่ละเล็กทีละน้อย แล้วจะถึงการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีกำลัง จนกระทั่งละการที่เคยยึดถือว่าเป็นเราได้อย่างไร นี่คือความเห็นถูกเรื่องไม่พัก คือไม่ใช่ไปฝืนด้วยความเป็นตัวตนที่จะเพียร แต่รู้ว่าเป็นปกติธรรมดา แล้วไม่ใช่เราที่จะรู้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นตามลำดับจริงๆ

    เพราะฉะนั้นฟังขณะนี้ก็คือเป็นผู้ตรง มีความเข้าใจแค่ไหนในเห็น เกิดดับไม่รู้ ฟังอีกเห็นเกิดดับก็ไม่รู้อีก แต่รู้ได้ไหมไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นไม่พักก็คือว่า รู้หนทางที่จะทำให้สามารถอบรมเจริญปัญญา โดยความเป็นอนัตตาตามกำลังของสติปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ข้ามขั้นไม่ได้เลย นี่คือผู้ที่เห็นถูก

    เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะทำให้เจริญขึ้น จนกระทั่งมีความเข้าใจถึงที่สุดคือ การประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง นี่คือไม่พัก เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญญาแล้วไม่เพียรผิด เพราะรู้ว่าเพียรทำอะไร ขอถาม จะเพียรทำอะไร แต่ฟัง เพียร วิริยะที่จะฟังแต่ละคำ จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าเป็นอนัตตา ค่อยๆ สะสมความเป็นอนัตตาไปจนถึงที่สุด ที่จะสามารถรู้แล้วละะความเป็นอัตตาได้

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ฟัง ไม่ว่าจะฟังพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ละเอียดอย่างไรก็ตาม เพื่อสะสมความเข้าใจว่าเป็นธรรม สะสมความเข้าใจว่าเป็นอนัตตาแน่นอน ไม่มีทางที่ความเป็นอัตตาจะเข้ามารบกวน ชักชวนทำให้ไขว้เขว แต่ถึงอย่างนั้นด้วยการที่มีความเข้าใจในการที่ได้สะสมความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนมากมาย จึงรู้ว่ากว่าจะละได้ ไม่ใช่ชาตินี้ หรือใครคิดว่าชาตินี้ จะเป็นพระโสดาบันกันชาตินี้ เดี๋ยวนี้ วันนี้ เพราะชาตินี้ไม่รู้จะตายเมื่อไร พรุ่งนี้ก็เป็นชาตินี้ได้ เย็นนี้ก็เป็นชาตินี้ได้ เพราะฉะนั้นจะเป็นพระโสดาบันชาตินี้ โดยที่ยังไม่รู้อะไรหรือ หรือฟังพระธรรมแค่นี้ก็จะไปละกิเลสได้หรือ นี่คือทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญาที่เห็นถูกต้อง เข้าใจในแต่ละคำที่เป็นพระพุทธพจน์ ไม่พักคืออย่างไร และไม่เพียรคืออย่างไร

    อ.คำปั่น เป็นประโยชน์มาก โดยสรุปก็คือไม่พักด้วยความติดข้องต้องการ ไม่เพียรด้วยความเห็นผิด จึงข้ามห้วงน้ำคือกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ จึงเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมดเลย ปัญญา เป็นความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้น ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลสใดๆ เลย

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วจะไปทำอะไรหรือเป็นปกติ เป็นปกติ เพราะรู้ว่าเรามีปัจจัยที่จะให้ธรรมเกิดเป็นปกติ ไม่ใช่เราต้องไปทำอะไรเลย ต้องมีความเข้าใจมั่นคง ไม่ว่าอะไรจะเกิดต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วจะไปทำอะไร หรือจะไปคิดทำอะไรก็เสียเวลา ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเป็นปกติ ยิ่งเป็นปกติก็ยิ่งสามารถจะเข้าใจความเป็นอนัตตาขึ้น

    อ.คำปั่น แม้แต่คำว่า ขันธ์ ในความเป็นจริงของขันธ์ที่แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั้น ในความละเอียดก็ยังแสดงถึงความเป็นจริงของขันธ์ก็คือ เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน และก็เป็นอนาคต ในความละเอียดแล้วที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดถึง ขันธ์ เดี๋ยวนี้ขันธ์อยู่ไหน มีหรือเปล่า หรือว่าไปพูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่ให้ทราบว่า เพราะไม่เข้าใจว่า ขันธ์คืออะไร พอได้ยินว่าขันธ์ก็จำความหมาย สภาพธรรมที่เกิดดับแต่ละหนึ่งไม่ซ้ำกันเลย เพราะฉะนั้นบางขันธ์ก็หยาบ บางขันธ์ก็ละเอียด บางขันธ์ก็ใกล้ไกล ประณีต แล้วแต่ จำทั้งหมด แต่ลืมว่าขณะนี้เองสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดอาศัยกันและกันเกิดขึ้นชั่วคราว แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าขันธ์ ไม่ใช่ไปคิดถึงเพียงคำแปล ว่าขันธ์คืออะไร แต่ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้เอง สิ่งที่กำลังมีเป็นขันธ์ ซึ่งเกิดและดับโดยไม่รู้เลย และก็หลากหลายมาก ตามเหตุปัจจัยที่ทำให้ขันธ์นั้นๆ เกิดขึ้น ถ้าจะไม่พูดภาษาบาลี แต่พูดภาษาไทย เดี๋ยวนี้รู้สึกอย่างไร หรือไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเฉยๆ หรือเจ็บปวด หรือสบายดี นี่คือความรู้สึกซึ่งมี ต้องเกิด ไม่เกิดไม่ได้ ไม่เกิดจะเป็นสุขได้อย่างไร แม้แต่บอกว่าทุกข์ ทุกข์นั้นก็ต้องเกิด ไม่เกิดจะเป็นทุกข์ได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เองตามปกติธรรมดา ก็คือภาษาบาลีใช้คำว่า ขันธ์ คือสิ่งซึ่งเกิดเพราะมีปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็หลากหลาย เช่น ขณะที่เป็นสุขต้องต่างกับขณะที่เป็นทุกข์ อะไรหยาบ ระหว่างสุขกับทุกข์ เริ่มเข้าใจความหมาย ใช่หรือไม่ ทุกข์ต้องหยาบกว่า พอเป็นทุกข์ก็เดือดร้อน แต่กำลังสบายนิดหน่อยก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจในความหมายที่ว่า การที่กล่าวถึงขันธ์หยาบละเอียด ก็แสดงถึงความจริงของสิ่งที่มีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู เมื่อหลากหลายแล้วก็คือว่า บางอย่างก็ดี บางอย่างก็ไม่น่าพอใจ บางอย่างก็ละเอียด บางอย่างก็ประณีต ก็เป็นสิ่งที่มี แล้วใครบอกให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องเป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงว่า ทุกอย่างที่มีแต่ละหนึ่งๆ เมื่อเกิดแล้วดับไป แล้วจะเป็นเราหรือของเราได้อย่างไร แม้จะได้ฟังอย่างนี้ แต่การไม่รู้ความจริง ซึ่งสะสมมานานมาก แม้จะบอกว่าเดี๋ยวนี้เห็น เกิดขึ้นและดับไป ถ้าเห็นสิ่งที่ดีกับเห็นสิ่งที่ไม่ดี ใครทำให้เห็นสิ่งที่ดี ใครทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีใครทำ แต่กรรมที่ได้ทำแล้ว ทำให้จิตเห็นสิ่งที่ดี แล้วถ้าพูดถึง ใกล้ก็คือว่ารู้ได้ง่าย ไกลก็คือว่ายากที่จะรู้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมมีทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏให้รู้ได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะเข้าใจคำว่า ขันธ์ โดยไม่ต้องไปเปิดตำราหาคำแปล แต่มีความเข้าใจถูกว่า พูดคำนี้เมื่อไร ก็คือกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้มีแข็งปรากฏ เกิดแล้ว เป็นแข็ง แล้วเป็นเราหรือเปล่า หรือลืมคำว่าขันธ์ เพราะฉะนั้นพอได้ยินแล้วก็เข้าใจจริงๆ ก็คือไม่ต้องไปคิดถึงคำก็ได้ แต่รู้ว่ากำลังมีสิ่งที่มีจริงๆ เวลาที่รับประทานขนม ขนมบางอย่างก็แข็ง ใช่หรือไม่ เราบอกว่ากรอบ อร่อยดี แต่ถ้าแข็งเหลือเกิน เคี้ยวไม่ออก จะอร่อยหรือไม่ เห็นหรือไม่ความละเอียดของความต่างของแต่ละขันธ์ หรือแม้แต่ขนม บางอย่างใช้คำว่า นิ่มมาก บางอย่างก็แค่นุ่มๆ ใช่หรือไม่ ก็เป็นแต่ละคำที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละคำ เป็นไปตามลักษณะนั้นๆ ที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งจะหยาบหรือจะละเอียด จะใกล้หรือจะไกล จะเลวหรือประณีตทั้งหมด ไม่ใช่ให้เรามานั่งคิดและตัดสิน แต่พอได้ฟังคำนี้ รู้ว่าธรรมหลากหลาย ลึกซึ้ง และก็เป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกว่าแต่ละหนึ่งต้องมีปัจจัยเกิดและดับ

    กว่าจะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่มีทางอื่น เพราะปัญญาที่จะละการยึดถือสภาพธรรมต้องรู้ว่าเมื่อไร เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน เป็นเราได้ยิน หมดแล้วดับแล้ว แต่ตามความเป็นจริง ได้ยินเกิดรู้เสียงแล้วก็ดับ จนกว่าจะทั่วหมด ถ้าไม่ใช่เป็นความเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน จะละการยึดถือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งยึดถือว่าเป็นเราได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นทุกคำต้องพิจารณาเหตุให้สมควรแก่ผล เพราะเหตุว่าเป็นสัจธรรม เป็นคำจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพื่อไม่ให้หลงทางไปเข้าใจว่า มีเราสามารถที่จะพยายามทำให้เข้าใจถูก สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งกำลังเกิดดับ เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่แข็งเกิดแล้ว รู้หรือไม่ว่าจริงๆ ในขณะที่แข็งปรากฏ อย่างอื่นไม่ได้ปรากฏเลย ทั่วทั้งตัวไม่ปรากฏ แต่มีแข็งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ตรงแข็งที่ปรากฏเท่านั้น ที่จิตเกิดขึ้นรู้ลักษณะนั้น ความจริงถ้าปัญญาที่อบรมแล้วก็รู้ว่าแข็งนั้นเกิดและดับ และจิตที่กำลังรู้แข็งก็เกิดและดับ

    นี้คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงอนุเคราะห์ผู้ไม่รู้ ผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ให้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งวันหนึ่งสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ จึงเป็นสาวกคือผู้ที่ฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะความละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะต้องมีความรู้ต่างขั้น เป็นปริยัติ ปฏิปัตติและปฏิเวธ ปริยัติคือ ความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ทีละคำ เช่นคำว่าขันธ์ ถ้าเราไม่พูดบ่อยๆ ให้ละเอียด เราก็ลืมไปแล้ว ขณะนี้ขันธ์ทั้งนั้นเลย เพราะเกิดแล้วจึงปรากฏเป็นแต่ละอย่าง เห็นก็เป็นขันธ์ เกิดแล้วดับแล้ว ได้ยินก็เป็นขันธ์ เกิดแล้วดับแล้ว ทั้งวันเป็นธรรม คือเป็นขันธ์ และใครรู้อย่างนี้ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ถ้ารอบรู้จริงๆ ต่อไปนี้ใครพูดเรื่องขันธ์ เข้าใจได้ ถ้าใช้คำว่า รูปขันธ์ มีคำว่ารูปหรือรูปะเพิ่มขึ้นมา หมายความถึงสิ่งที่มีจริงนั้นไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นแข็งเป็นขันธ์ประเภทที่ไม่รู้อะไร จึงเป็นรูปขันธ์ เสียงเป็นขันธ์ ไม่รู้อะไร เสียงก็เป็นรูปขันธ์ กว่าจะได้ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งไม่ลืม แล้วต่อไปก็ได้ยินภาษาบาลีว่า เวทนาขันธ์ ก็คือความรู้สึก ทุกครั้งที่มีสภาพรู้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน คิดนึก อะไรก็ตาม ขณะนั้นต้องมีสภาพธรรมที่เป็นความรู้สึก ซึ่งใช้คำว่า เจตสิก ภาษาบาลีก็ออกเสียงว่า เจ-ตะ-สิ-กะ คือออกเสียงทำสุดท้ายด้วย เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต แต่ไม่ใช่จิต

    เพื่อที่จะให้รู้ว่าไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่ใช่เรา เมื่อเข้าใจละเอียดขึ้น ทั่วขึ้นก็ค่อยๆ ถึงขั้นปฏิปัตติ ไม่ใช่ว่าไม่มีสัจจญาณ คือความรู้ที่มั่นคงในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม แล้วก็จะไปทำให้สภาพธรรมถึงเฉพาะลักษณะที่กำลังปรากฏ เหมือนปกติเดี๋ยวนี้เลย แต่ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    นี่คือความต่างกัน ที่จะได้ยินคำว่าปริยัติ ปฏิปัตติและปฏิเวธ ขณะนี้พูดเรื่องเห็นไม่ใช่เรา แต่ไม่ได้รู้ตรงเห็นด้วยความเข้าใจในความเป็นธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น แต่กว่าจะถึงขั้นนี้ได้ รอบรู้ในพระพุทธพจน์คือปริยัติ ต้องถึงความเป็นสัจจญาณ จึงจะเป็นปัจจัยให้มีการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพเห็น หรือสภาพแข็ง หรือสภาพเสียง หรือสภาพที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ตามปกติ โดยความเป็นอนัตตา เพราะนอกจากจะได้ยินคำว่าธรรมแล้ว ยังได้ยินคำว่า อนัตตา ด้วย

    เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะจากปริยัติ แค่คำเดียวที่ได้ยินแล้วจะไปปฏิบัติได้ แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญา เพื่อละความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นแม้แต่ปฏิปัตติ ที่จะรู้เฉพาะลักษณะที่กำลังปรากฏทีละหนึ่งเดี๋ยวนี้ ก็ต้องโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เปลี่ยน ฟังทั้งหมดจนถึงขณะที่ปัญญารู้จริงๆ ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ ทำไม่ได้ ไม่มีใครทำ เกิดแล้วทั้งนั้น จะทำอะไรเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีขณะนี้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังธรรมเข้าใจขึ้น ก็จะเข้าใจโดยความเป็นอนัตตา ตลอดจนกระทั่งมีการเข้าใจได้ในสิ่งที่ปรากฏถึงความไม่ใช่เราอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ฟังแล้ว ฟังอีก ทุกคำเหมือนเดิมเมื่อวานนี้หรือเปล่า เรื่องเดียวกันไม่เปลี่ยน เพราะความจริงเปลี่ยนไม่ได้ แต่พอฟังแล้วเดี๋ยวก็ลืม เพราะฉะนั้นหนทางเดียวคือไม่ขาดการฟัง เพราะรู้ว่าขาดเมื่อไรก็คือว่า สิ่งที่ได้ฟังแล้วก็ลืม เพราะมีสิ่งอื่นปรากฏแล้วก็ไม่รู้เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เข้าใจจริงๆ ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านที่นี้ ฟังแล้วคงไม่สงสัยในคำนี้ ไม่ว่าได้ยินคำว่าขันธ์ที่ไหน จะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่เป็นอีกภาษาหนึ่ง แต่ไม่ต้องเรียกอะไรเลย ขันธ์นั้นก็เป็นขันธ์นั้น เช่นเห็นก็ต้องเป็นเห็น เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ เห็นจะเป็นคิดไม่ได้ แต่ไม่ต้องใช้คำอะไรเลย เพราะกำลังรู้ลักษณะที่เป็นขันธ์แต่ละขันธ์

    ได้ยินคำว่าขันธ์ รู้เลยใช่หรือไม่ สัญญาขันธ์ คำนี้ไม่เคยได้ยิน เพราะภาษาไทยคิดว่าเป็นสัญญากันไว้ ว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อไม่ลืม บางคนก็ต้องเซ็นด้วย ลงชื่อในสัญญา เพื่อที่จะเตือนว่า ได้ทำสัญญากันแล้ว ว่าจะต้องเป็นไปอย่างนี้ แต่สัญญาจริงๆ ก็คือสภาพจำ เดี๋ยวนี้รู้ไหมว่า ใครอยู่ที่ไหน อะไรกำลังปรากฏ จำรูปร่างสัณฐาน จำแม้แต่ชื่อ จำแม้แต่เรื่อง จำทุกอย่าง เพราะฉะนั้นในภาษาไทยเราใช้คำว่า จำ แต่ภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาบาลี ไม่มีคำว่าจำ แต่มีคำว่าสัญญา ก็คือจำนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นเมื่อศึกษาเข้าใจสภาพธรรมในภาษาไทย พอได้ยินคำในภาษาบาลี ก็สามารถรู้ได้ว่าหมายความอย่างเดียวกัน แต่เปลี่ยนคำ เพราะเป็นคนละภาษา เหตุการณ์ผ่านมา ๒,๕๐๐ กว่าปี ก็ได้ยินคำว่าขันธ์ และถ้าอยู่ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถาม ก็คงจะตอบว่า ไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ แต่ความรู้เท่ากับผู้ที่เป็นพระโสดาบัน พอฟังพระสูตรนี้ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    23 พ.ค. 2568