ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817


    ตอนที่ ๘๑๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

    วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    อ.วิชัย ในอรรถกถา ฑีฆนิกายสีลขันธวรรค พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความลึกซึ้งของพระธรรม มีข้อความที่อุปมาแสดงถึงว่า ความลึกของมหาสมุทรอันปลายจะงอยปากของยุงยากที่จะหยั่งถึง ดูเหมือนกับธรรมก็เป็นสิ่งที่ปรากฏเป็นปกติ การที่จะเริ่มเห็นเริ่มเข้าใจขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ยากจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเปลี่ยนให้ง่ายได้ไหม คำถามที่น่าคิด เพราะหลายคนอยากรู้ธรรมเร็วๆ พยายามทุกทาง หาทางที่จะทำอย่างไรที่จะได้รู้ตามที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็ต้องมีคำอุปมาว่า จะงอยปากยุงที่จุ่มลงในมหาสมุทร แต่ว่าไม่ใช่สำหรับท้อถอย มีจริงๆ แล้วจะรู้ไม่ได้หรือ แต่ไม่รู้ก็คือ อวิชชา แต่ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็สามารถที่จะรู้ว่ายิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจ ยิ่งลึกซึ้ง จะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยิ่งยาก ก็ได้ เพราะความลึกซึ้ง แต่เพราะลึกซึ้งอย่างนี้ ก็ทำให้บารมีทั้งหลายเจริญขึ้น ที่จะรู้ว่าถ้าปราศจากความอดทน และความมั่นคงจริงๆ ที่ว่า สภาพธรรมขณะนี้มีจริงเป็นอย่างนี้ ทำไมจะเข้าใจไม่ได้ แต่ไม่ใช่เพราะอยาก ไม่ใช่เพราะความไม่รู้ และไม่ใช่เพราะความเป็นเรา เพราะว่าทั้งหมดเพื่อละความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้ความจริง ขณะนี้ก็ธรรมดา เราเห็น เราได้ยิน จนกว่าลักษณะของสภาพธรรมปรากฏเมื่อไหร่ เมื่อนั้นสภาพนั้นจึงแสดงลักษณะที่เป็นธรรม คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากลักษณะของสภาพนั้นเป็นอย่างนั้น

    อ.วิชัย กล่าวถึงความอดทน ความพากเพียร เห็นถึงความที่ไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่จะรู้แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ แม้มีโอกาสที่ได้ยินได้ฟังได้สนทนาบ่อยๆ แล้วก็สะสมทีละเล็กทีละน้อย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังต่อไป เพราะเข้าใจประโยชน์ซึ่งเกิดจากการฟังว่าเพราะได้ฟังนี่แหละ จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ จนกว่าเมื่อไหร่ ได้ยินคำว่าพุทธะ เมื่อนั้นไม่ไปอื่น นอกจากตรงไปหาพุทธะ เป็นสิ่งซึ่งสามารถจะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ เหมือนอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านนอนไม่หลับเลยใช่ไหม ได้ยินคำว่าพุทโธ ตื่นพร้อมที่จะไปเฝ้า ก็ยังไม่สว่างสักที ลุกขึ้นไปก็ยังไม่สว่างก็ต้องกลับมาอีก จนกระทั่งในที่สุดก็ได้เฝ้า สมกับที่ท่านได้บำเพ็ญการที่เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม และรู้คุณค่าอย่างยิ่งของการที่จะได้ฟังพระธรรม

    ผู้ฟัง คือจากตัวอย่างเรื่องงูเรื่องเมื่อเช้านี้ คือผมสงสัยว่าการที่เรากลัวว่าเราจะไปขับรถทับงู เป็นอกุศลในขณะไหน เพราะว่าคล้ายๆ กับว่า เรามีหิริโอตตัปปะที่จะไปทำให้งูตาย แล้วเป็นอกุศลได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิดดับสลับเร็วมาก จนไม่สามารถที่จะรู้ได้ในการเกิดดับถูกต้องไหม ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เฉพาะเห็นเป็นกุศลหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ตอบได้ถูกต้อง หมายความว่าได้ฟังธรรมเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เราพูดคำว่าวิบาก ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะได้ฟังว่าขณะนี้เลือกเห็นไม่ได้ แล้วแต่กรรมใดจะทำให้เห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นเราเพียงตอบว่าวิบาก แต่เราไม่สามารถจะรู้แยกได้ว่าขณะที่เห็น และเห็นเป็นงู ขณะไหนเป็นวิบาก ขณะไหนไม่ใช่วิบาก ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แค่เห็นเป็นงู ก็ยังไม่รู้ว่าขณะไหนวิบาก ขณะไหนไม่ใช่วิบาก เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นงูแล้ว งูเป็นสิ่งที่น่ารักไหม

    ผู้ฟัง ไม่น่ารัก

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นอะไรเกิด

    ผู้ฟัง เราก็ไม่ชอบรู้สึกไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นอกุศลแล้ว เร็วไหม

    ผู้ฟัง เร็วมาก

    ท่านอาจารย์ แต่รู้ว่าไม่ควรที่จะให้เขาสิ้นชีวิต ต่างกับขณะที่กำลังเห็นเป็นงูที่ไม่น่าพอใจ

    ผู้ฟัง เป็นคนละขณะ

    ท่านอาจารย์ เป็นคนละขณะ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดเท่านั้น เพราะว่าทั้งวิบากจิต กุศลจิต และอกุศลจิต เกิดสลับกันเร็วมาก ขณะนี้ดับหมดแล้ว จะรู้อันไหน ดับหมด ก็ต้องสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอนัตตาด้วย ไม่ใช่โดยจงใจจะรู้แค่คำ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเราเรียนมา ขณะไหนเป็นวิบาก ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล ขณะไหนไม่ใช่กุศลอกุศลไม่ใช่วิบาก เรียนมาหมด แล้วสภาพธรรมทั้งหมดที่เรารู้จักโดยชื่อ ก็กำลังเกิดดับสืบต่อ รู้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ คือปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งต้องเกิดจากความเข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่ต้องมีการเรียกชื่อ ก็รู้ว่าขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนไม่ใช่กุศล

    เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเอาจิตทั้งหมดซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้มาวิเคราะห์วิจารณ์ และก็กล่าวว่าขณะไหน แต่ขณะใดก็ตามที่ตกใจไม่ชอบ ขณะนั้นไม่ใช่วิบาก ขณะไหนที่คิดที่จะเว้นการเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นกุศล แต่ทั้งหมดก็เกิดดับสลับกัน

    ผู้ฟัง ช่วงระหว่างที่ปฏิบัติ ตอนนั้นไม่เข้าใจคำว่าอนัตตา คือได้ยินเข้าหูมาก็จริงก็แค่จำว่า ต้องเรียนรู้เรื่องกฏไตรลักษณ์ คือจริงๆ หนูอยากจะบอกว่าหนูไม่ยอมรับว่าอนัตตา

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ อะไรมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีเห็น

    ท่านอาจารย์ ใครบอกหรือว่าเห็นมี

    ผู้ฟัง เห็นมี

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้จักเห็นหรือยัง

    ผู้ฟัง รู้จักแล้ว

    ท่านอาจารย์ รู้จักว่า

    ผู้ฟัง เห็นไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ อันนี้ภาษาไทย ภาษาบาลีก็คือ อนัตตาใช่ไหม ไม่ใช่เรา แล้วที่ว่าฟังแล้วเข้าใจว่ามีเรา อะไรเป็นเรา

    ผู้ฟัง เป็นแค่ความรู้สึกคือความจำเท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าได้ฟังว่า สภาพที่จำมีจริงๆ เกิดเมื่อไหร่ และจำอะไรเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น บังคับให้จำสิ่งที่เราลืมคิดไม่ออกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ซึ่งความจริง จิตเกิดเมื่อไหร่ก็ต้องมีสภาพที่จำ แล้วก็ดับไป แต่จิตเกิดดับมากมายประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจำ ก็จำมากมายประมาณไม่ได้เลย จำทำกิจอื่นไม่ได้เลย แค่จำ เพราะฉะนั้นเวลาที่พยายามจะคิดถึงสิ่งที่จำ แต่ไม่ได้คิด เพราะเหตุว่าไปคิดถึงสิ่งอื่น เราก็บอกว่าคิดไม่ออก จำไม่ได้ ถูกต้องไหม เป็นอนัตตาหรือเปล่า ทั้งหมดทุกอย่างในชีวิตทั้งหมด เมื่อได้ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นอนัตตา เพราะได้ฟังอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เริ่มฟังเริ่มพิจารณาเริ่มไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะเดินทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะรู้ว่าความจริงมี ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปบันดาลให้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างที่ต้องการเลย เพราะเหตุว่าแม้สิ่งที่มีจริงก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วจะเป็นใคร หรือจะเป็นของใคร หรือจะอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ในเมื่อไม่มีแล้ว

    เพราะฉะนั้นจริงๆ ทุกขณะ มีชั่วคราวแล้วก็ไม่มีแล้ว แล้วก็ไม่เหลือเลย อยากให้คงมีต่อไปได้ไหม ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรม จึงต้องรู้ว่าธรรมกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ใครจะคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องความคิด แต่ว่าความจริงของธรรมก็เป็นสิ่งซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วเกิดมาจะรู้ความจริง หรือว่าอยู่ไปวันๆ โดยไม่รู้ความจริง และไม่ใช่การที่จะคิดเองได้ด้วย เพราะเหตุว่าถ้าคิดเอง เราจะคิดเรื่องเห็นเดี๋ยวนี้ไหมว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับไป แล้วก็เห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ตรงไหนที่จะเป็นอัตตา หรือเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา เพราะฉะนั้นการฟังไม่ใช่เพียงรับฟัง แต่ว่าต้องเป็นการพิจารณาไตร่ตรองว่า สิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริงถูกต้องหรือเปล่า แล้วก็เป็นผู้ที่มั่นคงที่จะเข้าใจความจริงว่าความจริงเปลี่ยนไม่ได้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เพียงจากไม่มีเลย เสียงยังไม่เกิดเลย และก็มีเสียงเกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็หมดไป ไม่ใช่เสียงใครเลย มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ดับแล้วหมดแล้ว จะเป็นของใครได้อย่างไร อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครหรือเปล่า ก็ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นไม่มีความเข้าใจถูกเลย แล้วไปเอาความคิดว่าปฏิบัติธรรมมาจากไหน ปฏิบัติก็ไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไร คืออะไรทั้งสิ้น แล้วปฎิบัติอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะถูกได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้ เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรมเอามาจากไหน คำนี้ คิดขึ้นมาเองหรือว่าได้ยินได้ฟังจากใคร

    ผู้ฟัง ใช่ ได้ยินได้ฟังจากคนอื่นแล้วก็ไหลตามเขาไป

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง เพราะไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรม ธรรมคืออะไร ปฏิบัติธรรมคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรม อวิชชาไม่เข้าใจสภาพธรรมขณะนี้เลย จึงหลงยึดถือว่าเป็นเรา หลงปฏิบัติอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่การที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามปกติ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่เมื่อได้ฟังความจริง แล้วรู้ว่า ผู้ที่รู้แจ้งความจริง และสามารถที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย ก็มีผู้เดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงแสดงพระธรรมมีผู้ที่ฟังแล้วไตร่ตรองเห็นถูกเข้าใจถูกเป็นสาวกซึ่งเป็นสังฆรัตนะเพราะได้ฟัง และได้รู้ความจริงตาม ผู้อื่นที่ไม่ได้ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดเอง มีมากไม่น้อยเลย แต่ว่าเปรียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้กล่าวให้เข้าใจความจริงซึ่งเป็นจริงในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำไม่เผิน ทุกคำต้องเข้าใจจริงๆ และก็ทุกคำที่ได้ฟังเป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเมื่อฟังแล้วเป็นอัตตา เข้าใจผิดว่าเป็นอัตตาคือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง จนกว่าปัญญาเจริญขึ้นรู้ความจริงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยเราไปพยายามทำ

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นึกขึ้นมาว่าท่านอาจารย์พูดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม เสียงแว่วอยู่ข้างในว่าเข้าใจแล้ว ธรรมเขาทำของเขาเอง ไม่ใช่เราเข้าไปทำ

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ไม่พอ ธรรมอะไรที่ปฏิปัตติ เพราะเหตุว่าต้องรู้ก่อนว่าปฏิบัติมาจากคำอะไรในภาษาบาลี ปฏิปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ถึงเฉพาะลักษณะของธรรม ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นตามที่ได้ฟัง อย่างเห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน จะเอาได้ยินกับเห็นมาปนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเฉพาะลักษณะที่เป็นจิต ไม่ใช่เจตสิกไม่ใช่รูป เฉพาะเจตสิกแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เจตสิกอื่น ไม่ใช่จิตและไม่ใช่รูป เฉพาะรูปซึ่งมีจริงๆ ไม่ใช่จิตไม่ใช่เจตสิก สภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจขั้นฟัง แต่ยังไม่ได้ถึงเฉพาะที่จะเข้าใจตรงลักษณะที่เป็นอย่างนั้นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นยังไม่ใช่ความรู้ชัด ยังไม่ใช่ความรู้แจ้ง แต่เป็นความรู้ขั้นฟัง เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจตนเอง ไม่ต้องมีใครมาบอกว่า ที่ฟังขณะนี้เดี๋ยวนี้ ความเข้าใจระดับไหน ระดับที่มีความเห็นที่ถูกต้องว่า

    สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดแล้ว แล้วก็ไม่มีใครประจักษ์การเกิดดับ ถ้าไม่มีการอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ คลายการไม่รู้และการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานแสนนาน จะให้ตัวตนไปเพียรละ ไปคิดสักเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่การประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่การคิดไตร่ตรอง แต่จากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี แม้ว่าสภาพธรรมขณะนี้จะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่จากพระบารมีที่ได้สะสมมาก็ทำให้ถึงเวลาที่เป็นอภิสมัย คือการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนขณะนี้ยังไม่ใช่อภิสมัย สมัยที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่เคยเกิดมาเลยในสังสารวัฏ ที่จะได้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ และมีเดี๋ยวนี้จริงๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ปัญญาเจริญขึ้น สมบูรณ์ขึ้น ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม นี่ก็คือ ยังไม่คุ้นเคยกับลักษณะที่เป็นจริงๆ เดี๋ยวนี้เลย นอกจากเพิ่งเริ่มเมื่อไหร่ ก็คือกำลังมีเฉพาะลักษณะนั้นลักษณะเดียวที่ปรากฏ แล้วลักษณะอื่นๆ ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ ถ้ายังไม่รู้เฉพาะแต่ละอย่างๆ ก็ไม่มีการที่จะรู้ว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับ ขณะใดที่สภาพธรรมหนึ่งปรากฏ สภาพธรรมอื่นจะปรากฏพร้อมกันไม่ได้เลย นี่ก็แสดงความห่างของปัญญาแล้วใช่ไหม ปัญญาขั้นฟังเพียงเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนั้น และสามารถจะรู้ได้เมื่อถึงขั้นปฏิปัตติ ไม่ใช่เราไปปฏิบัติธรรม หรือใครบอกให้เราปฏิบัติธรรม แต่ไม่ทำให้เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ปฏิปัตติธรรมคืออะไร ไม่ใช่เรา โพธิปักขิยธรรมมีอะไรบ้าง เริ่มตั้งแต่สติปัฏฐาน แม้แต่ได้ยินคำว่าสติ ก็ยังไม่รู้ว่าสติคืออะไร และสติปัฏฐานต้องต่างกับสติเดี๋ยวนี้ที่กำลังฟังเข้าใจระดับขั้นฟัง นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งพระธรรมได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ผู้ฟังเข้าใจผิดๆ คิดคลาดเคลื่อน พอฟังแล้วจะปฏิบัติ ไม่มีเลยในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีคนที่ไม่รู้แล้วปฏิบัติ แต่ว่าเมื่อรู้แล้ว ไม่ใช่เราปฏิบัติ เพราะเหตุว่าใครจะไปให้สติเกิดเมื่อไหร่ได้ สติมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ คนตาบอดจะให้เห็นสักเท่าไหร่ เห็นก็เกิดไม่ได้ คนไม่รู้ไม่เข้าใจธรรมจะให้สติเกิดก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดไม่เว้นเลย จะเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นขณะนี้ มีปัจจัยที่สติและสภาพธรรมที่เป็นโสภณเจตสิกที่ดีงามเกิดขึ้นเข้าใจธรรม แต่ยังไม่ถึงการรู้แจ้งสภาพธรรม ยังไม่ถึงปฏิปัตติ เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการฟังเข้าใจ มั่นคงในความเป็นอนัตตา

    อ.วิชัย การที่จะเป็นผู้ที่ศึกษาด้วยความจริงจัง และจริงใจคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็คืออย่างที่ท่านรู้ตัวว่าขณะที่ท่านฟังธรรม เดิมทีเดียวทำปฏิบัติไปด้วยฟังธรรมไปด้วย แต่เมื่อสักครู่นี้ท่านกล่าวว่าท่านจะไม่ปฏิบัติธรรมเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่คุ้นเคยมานี่ยากไหม ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะเรื่องปฏิบัติธรรม การยึดถือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ธรรมทุกอย่างว่าเป็นเรา นานกว่านั้นมาก เพราะฉะนั้นลักษณะของความเห็นผิด เป็นหนึ่งในบรรดาของธรรมที่มีจริงๆ นอกจากความไม่รู้แล้ว ก็ยังมีความติดข้องทุกอย่างเลย ในรูปในเสียงในกลิ่นในรส รวมทั้งความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แต่ละหนึ่งต้องแยกกัน

    เพราะฉะนั้นความเห็นผิดว่า มีเราที่จะปฏิบัติธรรม แต่เมื่อได้ฟังความเห็นถูกต้อง ไม่มีเราที่จะปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการเริ่มที่จะเหมือนเดิม คือคุ้นเคยต่อการที่จะทำ ขณะนั้นถ้ามีความเข้าใจเพียงพอก็สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด หนทางก็คือว่าฟังทุกวันบ่อยๆ ก็เพื่อถึงวันหนึ่ง ซึ่งจะรู้ความจริงว่าไม่มีเราและไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เกิดความเป็นเรา ปัญญาที่ได้ฟังมาแล้วมีกำลังพอที่จะเริ่มเข้าใจ หรือแม้แต่เพียงเริ่มคิดว่าเป็นธรรม มีบ้างไหมวันนี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปตามลำดับขั้น แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีโอกาสได้ไตร่ตรองว่า ทางผิดคืออะไรคือทางไม่รู้ ใครก็ตามที่บอกให้ทำอะไร ไม่ให้เข้าใจถูกต้อง ผิดหมด เพราะไม่รู้ ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป ยังคงยึดถือว่าเป็นเราต่อไป จะทำหนทางใดๆ ก็ทำด้วยความเป็นเรา ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้

    เพราะฉะนั้นมีการที่จะรู้ความต่างของผู้ที่บอกให้ทำ กับ ผู้ที่ให้เข้าใจจากการฟัง ซึ่งเมื่อฟังแล้วไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจของตนเอง คิดดู ได้รับอะไรจากใคร ได้รับสิ่งของเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ดอกไม้เครื่องบูชาต่างๆ สิ่งนั้นก็หมดไป แต่ว่าถ้าได้รับคำจริงที่ทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง สิ่งนั้นจะค่อยๆ มั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า ในสังสารวัฏไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่ากับการรู้ความจริง ก็ตรงกับพระพุทธพจน์ ในบรรดาสังขารธรรมทั้งหลาย ปัญญาประเสริฐสุด ทุกคำเป็นคำจริง แต่ถ้าเราห่างเหินจากการปฏิบัติธรรม จากคำพูดที่ไม่ให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องเลย เพราะรู้ว่าไม่เป็นสาระและก็ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นความเข้าใจถูก พร้อมกันนั้นก็นำมาซึ่งความผิดความเข้าใจผิด การหลงทาง หันหลังให้พระสัทธรรม ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะไม่คบค้ากับความเห็นผิด เพราะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง นี่เป็นเหตุที่รู้คุณค่าของการได้ฟังพระธรรมว่า ช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายที่ใหญ่มาก เพราะเหตุว่าถ้าชาตินี้เห็นผิด ชาติต่อไปก็แน่นอนเห็นผิด ไม่อย่างนั้นไม่มีพวกเดียรถีย์ ผู้ที่มีความเห็นอื่นจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน คนเหล่านั้นก็อยู่ใกล้ๆ ไม่มาฟังธรรม เพราะเห็นผิด เพราะฉะนั้นถ้ามีความเห็นผิดตั้งแต่ชาตินี้ ต่อไปถึงชาติที่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือว่าไม่เฝ้าไม่ฟังพระธรรมแล้วก็มีความเห็นอื่น ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

    ผู้ฟัง ความทุกข์เกิดเพราะความติดข้อง เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวัน มีสภาพธรรมหลากหลายปรากฏ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นความติดข้อง อาหารอร่อย ทะเลสวย คือทุกอย่างมีปรากฏ แต่ไม่รู้ จึงติดข้อง เพราะฉะนั้นจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ปัญญาอย่างไรที่จะเห็นโทษของความติดข้อง

    ท่านอาจารย์ ความติดข้องมีตั้งหลายอย่าง แต่ทั้งหมดก็รวมอยู่ที่ความเป็นเรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    12 มิ.ย. 2568