ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
ตอนที่ ๘๐๐
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร จ.นครปฐม
วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำนำไปสู่การละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดกิเลสทั้งหมด โลภะติดข้อง โทสะขุ่นเคือง มานะสำคัญตน ทุกอย่างที่เป็นอกุศล เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นความรู้ตรงกันข้ามกับความไม่รู้ จะนำไปสู่การดับกิเลส ซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้
ผู้ฟัง คำว่าเหตุที่ดี เริ่มจากการค่อยๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ท่านอาจารย์ รู้จักเจตสิกใช่ไหม ไม่ใช่เรา เจตสิกที่ดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี
ผู้ฟัง ก็เกิดตามเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง เหตุปัจจัย เราสามารถสร้างเหตุที่ดีได้
ท่านอาจารย์ เรามาจากไหน เราเข้ามาแล้ว พอฟังธรรมไม่เท่าไหร่ เราก็เข้ามาทุกที
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นคำว่าการสร้างเหตุที่ดี
ท่านอาจารย์ เราสร้างหรืออะไร หรืออะไรเป็นเหตุที่ดี
ผู้ฟัง ปัญญาสร้าง
ท่านอาจารย์ ปัญญาก็เกิดดับ ตามปัจจัยให้เข้าใจคำนี้ ถ้าศึกษาธรรม ได้ยินคำว่าวิปัสสนาญาณ จะมี ๒ ญาณที่ต่อกัน ญาณที่หนึ่ง คือนามรูปปริจเฉทญาณ รู้ว่าอะไรเป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม ต้องมาจากขั้นการฟัง จนกระทั่งถึงการที่สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมปรากฏให้รู้ชัด ไม่มีสภาพธรรมอื่นที่จะมาปะปนได้เลย จึงชื่อว่าชัดทั้งนามธรรมและรูปธรรม ต่อจากนั้นปัจจัยปริคคหญาณ เข้าใจถูกต้องว่าทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นคำถามอย่างนี้จะไม่มี เพราะฉะนั้นการฟังทั้งหมด ไม่ใช่หวังไปรู้ปัจจัยตอนวิปัสสนาญาณ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ที่เริ่มฟัง จนกระทั่งมีความมั่นคงขึ้น ไม่อย่างนั้นกิเลสออกไม่ได้เลย เช่น เสียงเห็นไหม ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด ไม่ต้องบอกเลยว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่เพราะฟังมาแล้วเข้าใจมาแล้ว จากแต่ละชาติแต่ละกัปก็ได้ จนกระทั่งขณะนั้นปรากฏด้วยความเห็นที่ถูกต้องว่า เกิดแล้วดับ เพราะเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นขณะที่สะสมความเห็นถูกต้อง ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเมื่อไหร่สติสัมปชัญญะจะเกิด ไม่ต้องคิดว่าเกิดแล้วน้อยมาก ทำไมไม่เกิดมากๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไร นั่นคือเราทั้งหมด ไม่มีการที่จะรู้ว่าขณะนั้นแม้คิดอย่างนั้น ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นกว่าจะทั้งหมดเป็นธรรม ก็คิดดู วิริยบารมี ขันติบารมี ทั้งหมดเริ่มเห็นว่าบารมีคืออะไร
ผู้ฟัง ศีล มีทั้งกุศลศีลกับอกุศลศีล ขอกราบเรียนในความกระจ่างของทั้งกุศลศีลกับอกุศลศีล
ท่านอาจารย์ คือขณะนี้มีจิตแต่ละหนึ่งเกิดดับหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นการที่จิตแต่ละหนึ่งเกิดดับหลากหลาย บางจิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม กรรมทำได้ทุกอย่าง ทำให้จิตเกิดได้ เป็นจิตประเภทที่ต้องเป็นผลของกรรมนั้นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาโดยละเอียดถึงจิตแต่ละหนึ่งขณะ จะรู้ว่าขณะแรกที่เกิดเป็นผลของกรรม ถ้าไม่มีกรรมแล้วดับกิเลสหมด กรรมไม่มี ไม่ต้องเกิดอีกเลยเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์แม้พระชาติสุดท้าย ก็ต้องมีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ จึงได้ถึงการดับกิเลสเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ขณะใดก็ตามที่จิตเกิด ถ้าเราไม่รู้เลย เราก็ปะปนกัน เพราะฉะนั้นจิตขณะแรกที่เกิดเป็นผลของกรรมเป็นวิบากจิต ซึ่งประมวลมาซึ่งกรรมในสังสารวัฏ ที่สามารถจะเป็นปัจจัยให้จิตใดๆ เกิดขึ้นในชาตินี้จนถึงจุติ นี่เป็นเหตุที่เราเลือกไม่ได้ วันไหนจะเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะกรรมที่พร้อมที่จะให้ผลในชาตินี้ กรรมที่ทำให้เกิดในชาตินี้ประมวลมาซึ่งวิบาก จะต้องมีสิ่งต่างๆ เหล่านั้นซึ่งสามารถที่จะทำให้เป็นปัจจัยให้เกิดได้
ด้วยเหตุนี้วิบากจิตไม่ใช้คำว่าศีล แต่ความประพฤติเป็นไปที่เรามีกายวาจาเป็นไปตามกุศลจิตหรืออกุศลจิตสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส แต่ผู้ที่ดับกิเลสหมดไม่ใช่กุศลและอกุศล แต่ก็มีธรรมฝ่ายดี การแสดงธรรมการสนทนาธรรมการช่วยเหลือพระภิกษุด้วยกันหรืออะไรก็ตามแต่ เป็นอัพยากตะ เพราะฉะนั้นจะกล่าวถึงจิตโดยอีกนัยคือนัย ๓ คือ เป็นกุศลศีล อกุศลศีล และอัพยากตศีล หรือจะแสดงจิตโดยนัยอื่นอีกก็มากมายหลายประเภท เพื่อที่จะให้คนที่ฟังขณะนั้นเข้าใจตรงนั้น และเขาก็จะฟังอีกเข้าใจอีก จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ นี่คือนัยหนึ่งของการทรงแสดงสภาพของจิตและเจตสิก ซึ่งจะต้องเป็นไป ที่เป็นกุศลก็มี อกุศลก็มี วิบากก็มี กิริยาก็มี แต่ถ้ากล่าวถึงกุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล ก็คือศีลที่เป็นกุศล ไม่ใช่ใครเลย โดยที่ว่าขณะนั้นโสภณเจตสิกเกิดขึ้นเป็นเหตุ จึงเป็นกุศลเกิดพร้อมจิต จิตนั้นก็เป็นกุศล ทำให้กายวาจาทั้งหมดขณะนั้นเป็นอกุศลไม่ได้ ต้องเป็นไปตามจิต
เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวัน จิตที่อ่อนน้อมกราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกุศลศีล เพราะจิตเป็นกุศล กายก็เคลื่อนไหวไป วาจาก็เป็นไปตามกุศล เพื่อไม่ใช่เรา เพราะเรานี่ติดแน่นมาก ท่านอุปมาอวิชชาว่าเหมือนลูกศรที่เสียดแทงอยู่ในจิตเลย ที่ทาด้วยยาพิษ เพราะว่าอกุศลทั้งหมดเหมือนยาพิษ เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่ประเสริฐสุด เพราะสามารถที่จะรู้ความจริงจนดับกิเลสได้หมดไม่เหลือเลย ไม่มีเลยในภพใดทั้งสิ้น แต่ต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ พระรัตนตรัย เพราะเหตุว่าเราจะไม่รู้จักพระองค์ เมื่อไม่ได้ไตร่ตรองพระธรรมโดยละเอียด ถ้าประมาทในการฟังเมื่อไหร่ผิดทันที
ผู้ฟัง กรุณาช่วยอธิบาย ให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของนิมิต
ท่านอาจารย์ แปลก่อนดีไหม ต้องขอเชิญคุณคำปั่น
อ.คำปั่น ซึ่งในความหมายของนิมิต โดยศัพท์หมายถึงเครื่องหมายของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยศัพท์ หมายถึงเครื่องหมาย ซึ่งก็หมายถึงว่าเป็นความเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรมที่ปรากฏให้รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือความหมายของนิมิตตะ
ท่านอาจารย์ จิตเกิดดับสืบต่อเร็วไหม รูปที่ปรากฏทางตาขณะนี้ก็เกิดดับเร็วไหม แล้วเห็นไหมว่าแต่ละหนึ่ง ยังไม่ได้เป็นดอกไม้ ยังไม่ได้เป็นแจกัน ยังไม่เป็นอะไรสักอย่างเดียว เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จริงไหม มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้จริงๆ แต่ปรากฏเป็นคิ้วตาจมูกปาก เป็นคนเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ถ้าจิตเกิดแล้วเห็นแล้วดับไป จะสามารถเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ได้ทันทีไหม ไม่ได้ แต่ถ้าซ้ำๆ ๆ กันจนกระทั่งปรากฏให้จำได้ในความหลากหลาย เพราะจริงๆ ก็คือว่าสีต่างๆ ทั้งนั้นเลย ที่หลากหลายทางตาเป็นสีต่างๆ ทั้งหมดที่หลากหลาย และสภาพที่จำก็มี เพราะคุ้นเคย เด็กเพิ่งเกิด เห็นไม่เหมือนเรา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต้นไม้ดอกไม้อะไรก็ไม่รู้หมด เพราะเพียงแค่เห็น ยังไม่ได้จำอะไร นิมิตต่างๆ สัณฐานต่างๆ แต่ยิ่งอยู่ไป เริ่มจำเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามความสามารถ ใครเป็นใครก็เริ่มรู้ เหมือนเราไหม ทุกคนที่จะแยกที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างหนึ่ง แต่ว่าความเกิดดับอย่างรวดเร็ว ทำให้ปรากฏเป็นนิมิตหลายๆ อย่าง เพราะเกิดดับสืบต่อ นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความละเอียดยิ่งของแม้แต่ก่อนจิตเห็นจะเกิด จิตอะไรเกิดก่อน แล้วก็จิตที่เกิดก่อนไม่เห็น แต่รู้ว่ามีสิ่งนี้กระทบทางไหน เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นแล้วดับ เมื่อจิตเห็นดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อไม่เห็น แต่ทำกิจของตนของตนสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วอย่างนี้จะให้ใครรู้ได้ ถ้าไม่มีพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้จากการตรัสรู้ แล้วอย่างนี้ใครจะไปรู้ได้โดยที่ว่าไม่เข้าใจอะไรเลย และก็ไปนั่งไปนอนไปเดินทำอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งหมด แล้วก็ไม่รู้จักพระรัตนตรัยด้วย
ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะดำรงคำสอนซึ่งยากที่จะมีได้ในแต่ละสมัย เพราะสมัยนี้เป็นสมัยของพระสมณโคดม ซึ่งถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมก็คือธรรมอันตรธาน ไม่ว่าใครทั้งนั้น เมื่อไหร่ทั้งนั้น แต่ตราบใดที่ยังมีผู้ที่เข้าใจเพราะศึกษา ตราบนั้นธรรมก็ยังไม่อันตรธาน แต่จะอันตรธานหมดเมื่อไหร่ ก็คือว่าเมื่อไม่มีผู้ที่ได้ศึกษาและเข้าใจถูกต้อง เพราะแม้แต่คำว่านิมิต เราเข้าใจหยาบมาก อย่างบางคนเขาบอกว่าฝันใช่ไหม นิมิตเป็นฝันด้วยหรือเปล่า สิ่งที่ปรากฏทางตาดับไม่มีใครรู้ ยังไม่ปรากฏเป็นนิมิต เสียงที่ปรากฏทางหูดับ ยังไม่รู้ว่าเสียงอะไร หมายความว่าอะไร ทั้งหมดทุกอย่างแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นจิตคิดดูก็แล้วกัน ทำงานระดับไหน ขนาดไหน ไม่มีใครรู้เลย เพราะเป็นธาตุรู้ซึ่งกำลังเกิดดับ จนกระทั่งทุกอย่างปรากฏนิมิตของจิตรู้แต่ละทาง ซึ่งมาประกอบรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่ฝันก็คือคิด เพราะเหตุว่าฝันไม่เห็น แต่ขณะนี้มีคิดกับเห็น เลยไม่เรียกว่าฝัน แต่ถ้าเอาเห็นออก เหมือนเลยกับฝันเพราะคิด และคิดก็คือจำจากสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นธรรมจะลึกซึ้งไปอีก เรื่อยๆ จนกระทั่งความเข้าใจเริ่มรู้ว่าปัญญาไม่ใช่เรา ความเข้าใจไม่ใช่เรา ธรรมแต่ละหนึ่ง ก็เป็นธรรมซึ่งหลากหลายมาก จะฟังชาตินี้ชาติเดียวหรือเปล่า ไม่พอ ๑๐ ชาติพอไหม ท่านพระสารีบุตรกี่ชาติ หนึ่งอสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้นฟังแล้วเข้าใจ นั่นก็คือประโยชน์ที่สุดเพราะละความไม่รู้ ละความอยากไปเลย อยากจะได้นิพพาน เป็นไปไม่ได้ แสดงว่าละแล้ว ไม่ต้องขวนขวายแล้ว โลภะไม่มีกำลังที่จะพาไปสู่การที่อยากจะมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว
ผู้ฟัง ทำไมบางคืนเราก็ฝัน แต่บางคืนเราไม่ฝัน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน เพราะไม่รู้ว่าฝันคืออะไร นั่นไม่รู้ว่าฝันคืออะไร ขณะใดก็ตามที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกด้วย ขณะนั้นหลับสนิทไม่ฝัน พอที่จะรู้ว่าฝันคืออะไร คือรู้ความต่างของขณะที่ฝันกับไม่ฝัน ไม่เห็น แล้วก็ไม่ใช่ไม่เห็นอย่างเดียว ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก อยู่ที่ไหนเป็นใคร เคยหลับสนิทไหม ตอนนั้นที่หลับสนิทเป็นใคร มีอะไรที่ไหนไหม เห็นไหม แค่นี้ยังไม่มาถึงปัญญาระดับที่ว่าเดี๋ยวนี้ก็เหมือนอย่างนั้น คือไม่มีจริงๆ แค่มีแล้วหมด แต่ว่าการสืบต่อทำให้เหมือนไม่หมด ยังอยู่ยังมี นี่ก็ลวงด้วยอวิชชาเรื่อยมาในสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นขณะที่นอนหลับสนิทก็คือจิต ยังไม่ตายใช่ไหม ที่ใช้คำว่าหลับ เพราะฉะนั้นยังมีจิต เกิดหรือเปล่าจิต ดับหรือเปล่า แล้วทำไมไม่มีอะไรปรากฏเลย เพราะเหมือนขณะแรกที่เกิด ทันทีนั้นเกิดแล้วไม่รู้ เพราะจิตไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แต่ทำภวังคกิจเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ยังไม่ถึงขณะสุดท้ายที่จะจากโลกนี้ไป ก็จะต้องหลับและตื่น แล้วก็หลับอีก แล้วก็ตื่นอีก แล้วก็หลับอีก และก็ตื่นอีก บังคับบัญชาได้ไหม ไม่ได้
เพราะฉะนั้นฝันเป็นภวังคจิตหรือเปล่า ไม่เป็น เป็นอะไร ไม่ใช่จิตเห็น ไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตได้กลิ่น ไม่ใช่จิตลิ้มรส ไม่ใช่จิตที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่เป็นจิตคิด จากความจำเหมือนเลย ตอนนี้คิดถึงตอนเป็นเด็ก ยังได้ใช่ไหม แต่ถ้าจะมีปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดคิดเอง เหมือนฝันไหม ในฝันเราไม่รู้เลยว่าเราจะฝันอะไร ใครรู้บ้างว่าจะฝันอะไร บังคับบัญชาไม่ได้ เหมือนขณะนี้จะคิดถึงอดีตเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อวานนี้ก็ได้ ไปไหนมา แค่นี้ก็เหมือนฝันใช่ไหม เพราะไม่มีสิ่งนั้นจริงๆ แต่มีสภาพที่จำเหตุการณ์นั้นๆ เพราะฉะนั้นบังคับให้คิดเดี๋ยวนี้ได้ไหม เรื่องนั้นเรื่องนั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะให้ฝันได้ไหม เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่าบางวันก็ฝันบางวันก็ไม่ฝัน ก็มีคำตอบแล้วใช่ไหม ทุกอย่างอนัตตา กลับมาที่เดิม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กลับมาทำไม เพื่อมั่นคง ไม่อย่างนั้นก็เป็นเรา แล้วก็คิดว่าบังคับบัญชาได้ ก็คือไม่มั่นคง แต่ที่กลับมาบ่อยๆ เพื่อให้มั่นคงขึ้น
ผู้ฟัง ขอท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างคำอธิบายที่ว่าเมตตาเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เราได้ยินคำ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคำนั้นคืออะไร เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าคืออะไร แต่ถ้ารู้ว่าคือความเป็นเพื่อน ชัดเจนไหม เพื่อนไม่ใช่ศัตรู เพื่อนต้องหวังดีพร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูลได้ ในทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ไม่แข่งดี ไม่ริษยา ไม่เป็นศัตรู ทุกอย่างที่ไม่ดีจะไม่มีในขณะที่เป็นเพื่อน เป็นเพื่อนเมื่อไหร่ ขณะนั้นไม่ต้องใช้คำว่าเมตตาก็ได้
ผู้ฟัง ก็คือเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมด
ท่านอาจารย์ เพราะเราใช้คำที่เราไม่รู้จัก แล้วบางทีเราก็ไปสวดไปท่องเมตตา แล้วขณะนั้นเมตตาหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีแผ่ด้วย
ท่านอาจารย์ โดยที่ไม่มีจะแผ่ ใช่ไหม แต่ก็จะแผ่อยู่ได้ทุกวัน แผ่แล้วก็โกรธ แผ่จบก็โกรธ แล้วแผ่อย่างไร
ผู้ฟัง สิ่งเหล่านี้อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว เนื่องจากความเป็นมาเป็นไปของสังคม ให้เรารับรู้ว่าจะต้องแผ่เมตตา
ท่านอาจารย์ ทำไมสังคมมาบอกให้แผ่ ไม่มีสังคมไหนมาบอกให้แผ่
ผู้ฟัง ตั้งแต่คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ก็บอกว่าต้องแผ่เมตตา หลังจากที่ทำบุญแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรามีประเพณีดั้งเดิมคือประเพณีไม่เข้าใจธรรม ความจริงต้องเป็นความจริง แล้วถ้าไม่รู้จริงๆ จะแก้ไขอะไรได้ไหม ถ้าไม่มีใครสำนึกว่าทั้งหมดที่แล้วมาไม่เข้าใจธรรมแน่นอน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมหรือฟังด้วยความประมาทก็ไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก และเป็นเรื่องที่ตรง ถ้าไม่ตรงก็แก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ความจริงก็คือความจริง ถ้าไม่เข้าใจก็รู้ผิดๆ ไป ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจเลย เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือความจริง แล้วก็ต้องอาศัยการฟัง และการไตร่ตรอง
ผู้ฟัง ความจริง นี่ก็คือใน ณ ขณะนั้น
ท่านอาจารย์ ทุกคำที่ได้ยิน เพราะพูดคำที่ไม่รู้จักกันเสมอตั้งแต่เกิดจนตาย เหมือนเด็กๆ เรียกถูกเรียกผิด เพราะไม่รู้ภาษาใช่ไหม แล้วเราเป็นเด็กแค่ไหนสำหรับการฟังธรรม ไม่เหมือนท่านพระอานนท์ ไม่เหมือนท่านพระสารีบุตร ไม่เหมือนท่านที่พอฟังแล้วเข้าใจ แต่เหตุการณ์ผ่านมาพอได้ยินคำไหน ถ้าสะสมมาที่จะเข้าใจเข้าใจคำนั้นได้ ไม่ลืมด้วย เพราะฉะนั้นต่อไปนานแสนนานข้างหน้า พอได้ยินก็เข้าใจได้ เมื่อเข้าใจมาแล้ว แต่ถ้าไม่เข้าใจเลยก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ เพราะพระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง กล่าวได้ว่าอีกโลกหนึ่ง คือโลกที่ไม่มีอะไรรวมกันที่จะปรากฏเป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่เกิดดับ นี่คือโลกหนึ่ง แต่โลกจริงๆ จะไม่ปรากฏอย่างนี้ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นหนึ่งอย่างที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จะมีคนไหม
ผู้ฟัง พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เปรียบได้กับโลกนี้ที่ไม่มีอะไรรวมกัน แล้วก็ไม่เที่ยง ขอกราบท่านอาจารย์ขยายคำนี้อีกครั้งหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ขณะที่เห็นมีอย่างอื่นไหม มีได้ยิน มีคิด มีแข็งไหม
ผู้ฟัง ไม่มี จึงไม่มีอะไรรวมกันในขณะนั้น
ท่านอาจารย์ เป็นแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง เป็นแต่ละหนึ่ง แล้วก็ไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่รู้อย่างนี้ไม่มีทางที่จะละการยึดถือสภาพธรรมใดๆ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืนได้เลย จะต้องมีเรามีเขา มีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้เหมือนเดิม
ผู้ฟัง แต่ทุกวันนี้ในขณะชีวิตประจำวัน เราจะเห็นเป็นคนเป็นสัตว์ เห็นผิดตลอดเลย
ท่านอาจารย์ ก็รู้อย่างนี้ก็เป็นปัญญา ปัญญาไม่ใช่อย่างอื่นเลย แค่เข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย ตรง นั่นก็คือปัญญา
ผู้ฟัง ขณะที่ฟังพระธรรมก็กลับมาเห็นถูกขณะนั้น
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกลับ กำลังเข้าใจ นั่นคือความเห็นถูก ขณะนั้นเลย เห็นถูกต้องเกิด เกิดแล้วก็ดับด้วย ทุกคำไม่เปลี่ยน แต่ความเข้าใจของเราไม่มั่นคง พอได้ยินอย่างนี้ก็เป็นตัวเราแทรกเข้ามาอีกแล้ว แล้วถ้าอย่างนั้น แล้วถ้าอย่างนี้ บางคนก็บอกถ้าเป็นธรรมก็ไม่ต้องทำอะไร คิดได้อย่างไร ในเมื่อคิดอย่างนั้นก็เป็นธรรม
ผู้ฟัง ความมั่นคงก็ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ คำตอบคือทุกอย่าง ได้ยินคำนี้แล้ว เขาเข้าใจใช่ไหม ได้ยินคำว่าทุกก็เข้าใจ ได้ยินคำว่าอย่างก็เข้าใจ ได้ยินคำว่าทุกอย่างก็เข้าใจ แล้วทำไมลืม ไม่ใช่ทุกอย่างมาอีกแล้ว อย่างโน้นเป็นอย่างไร อย่างนี้เป็นอย่างไร ก็บอกแล้วทุกคำเปลี่ยนไม่ได้
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กรุณาอธิบายเรื่องเมตตา ถ้าท่านอาจารย์จะกรุณาอธิบายเพราะว่าคนไทยก็ชอบพูดอยู่เสมอว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งก็คงอย่างที่ท่านอาจารย์บอก ก็คือพูดไปก็โดยที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นถ้าท่านอาจารย์จะกรุณาอธิบายให้พอเข้าใจได้ เพราะว่าเมื่อเช้าท่านอาจารย์พูดถึงคำเมตตา ก็คือความเป็นมิตร อันนี้ กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เมตตามีจริงๆ ไหม เป็นเราหรือว่าเป็นอะไร เป็นธรรม ถ้าเขากำลังสบายดี เราคิดอย่างไรกับเขา เห็นไหม ทุกคนเวลานี้ทุกคนก็สบายดี ใช่ไหม แล้วคิดอย่างไรกับเขา ถ้าจะถามเรื่องธรรมก็คือมีธรรมเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เป็นเพื่อนเขาหรือเปล่า ยิ้มทักทายช่วยเหลือสงเคราะห์ ไม่รังเกียจไม่โกรธ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้กับทุกคน ขณะนั้นก็คือเมตตาเจริญขึ้น ไม่ใช่ว่าคนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ดี ขณะนั้นใครไม่ดี เห็นไหม ไม่มีทางที่จะมารู้จิตสภาพธรรมซึ่งขณะนี้กำลังเกิดดับ ถ้าไม่ได้ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ก็จะได้แต่จำคำใช่ไหม แล้วก็พูดตาม แต่ต้องเข้าใจ แม้แต่เมตตา ไปท่องเมตตาใช่ไหม เช้าค่ำไปแผ่เมตตา แต่เมตตาคือความเป็นเพื่อนกับสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่ไปเป็นเพื่อนเมตตาต้นไม้ดอกไม้ และคนนั้นเขาก็ยังไม่มีความทุกข์เดือดร้อนอะไร กำลังนั่งกันอย่างนี้ จะรู้ไหมว่าเมตตาหรือเปล่า ไม่ใช่มาเพราะฟังคำนี้ถึงได้รู้ว่า จะทำเมตตาหรือจะมีเมตตา แต่ไม่ใช่ แต่เข้าใจถูกต้องว่า ขณะใดก็ตามที่คิดดีพูดดีทำดีเป็นเพื่อนช่วยเหลือพร้อมที่จะเกื้อกูล นั่นคือเมตตา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
