ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799


    ตอนที่ ๗๙๙

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังพระธรรมเลยจากผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว จะค่อยๆ เข้าใจและมีกุศลเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นแต่ละหนึ่งที่สะสมมาหลากหลาย กว่าจะน้อมมาสู่เห็นเดี๋ยวนี้ที่จะเข้าใจในความเป็นสิ่งที่เป็นธาตุรู้ ถ้าไม่รู้จะไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่ากำลังเห็น เห็นคือรู้สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่ารู้ก็ต้องเข้าใจว่ารู้อะไร รู้เสียงขณะที่เสียงปรากฏ รู้เสียงว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เป็นเสียงอื่น

    ผู้ฟัง ต้องรู้ในขณะที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือว่าจะเป็นสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ต้องก็ไม่มี แต่ว่าเมื่อปัญญาเกิด ปัญญานั่นแหละจะค่อยๆ น้อมไปเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนสามารถที่จะรู้ในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏได้ มาที่นี่วันนี้ฟังเรื่องนี้เพื่อละ ใครจะได้อะไรไปหรือเปล่า ได้กิเลสเอาไหม แต่ละความไม่รู้อันนี้สำคัญมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ทุกคนชินต่อการจะได้จะเอา พอได้ยินเขาก็จะปฏิบัติเลย จะดับกิเลสเลยใช่ไหม แต่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากละความไม่รู้ จิตเป็นแต่เพียงธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง มีหน้าที่เกิดขึ้นรู้เท่านั้นเอง แล้วรู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ภาษาบาลีเขาใช้คำว่าอารัมมณะ คนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าอารมณ์ เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้ ก็คืออารมณ์ต้องคู่กัน เมื่อจิตเกิดจิตรู้อะไร จิตรู้อารมณ์เฉพาะสิ่งที่จิตกำลังรู้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมอื่น เช่น โกรธ หรือขยัน หรืออะไรก็ตามทั้งหมดเป็นเจตสิกเมื่อไม่ใช่รูป เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ รูปไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

    เพราะฉะนั้นฟังธรรมฟังแล้วก็เข้าใจ ไม่ต้องไปคิดเองต่อไปให้สงสัย เพราะว่าจิตนี้เกิดไหม ดับไหม เกิดมาครั้งเดียวแล้วดับหรือ ก็จิตหนึ่งเกิดมาเป็นหนึ่ง แล้วก็ดับทั้งนั้น ไม่เคยเกิดมาซ้ำสองครั้งได้เลย ไม่ใช่ว่าจิตเก่ากลับมาเกิดด้วย เกิดแล้วดับไป นี่คือต้องเข้าใจจริงๆ แล้วถึงจะเข้าใจพระธรรมต่อๆ ไปได้ ที่จะละเอียดขึ้น แต่ว่าถ้าเราจำเป็นคำ เป็นเรื่อง แล้วก็มาสงสัย แล้วจิตนี้ดับหรือเปล่า แล้วจิตนั้นดับหรือเปล่า แล้วเกิดขึ้นครั้งเดียวหรือเปล่า แต่ถ้าฟังรู้ว่า สภาพธรรมจากไม่มีเลย แล้วก็มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น สิ่งที่อาศัยกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เช่น จิตต้องอาศัยคือจักขุปสาท จึงจะเกิดขึ้นเห็น เพราะว่าจิตไม่ใช่มีรออยู่ก่อน แล้วก็มาเห็นทีหลัง แต่ไม่ใช่เลย แม้แต่จิตเห็นเดี๋ยวนี้ก็เกิดขึ้นเป็นจิตเห็นตามเหตุตามปัจจัย ที่ทำให้จิตนี้เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นจิตแต่ละหนึ่ง ทั้งหมดเกิดแล้วดับ คือ เกิดมาเพียงทำหน้าที่การงานของจิตนั้นแล้วก็ดับ ขณะนี้ไม่มีใครรู้เลยว่า เป็นจิตที่เกิดขึ้นกำลังทำกิจหน้าที่ตลอดเวลา ก็เป็นเราเห็น เราคิด เราชอบ ตลอดเวลา แต่ความจริงทั้งหมดก็คือจิตธาตุรู้เกิดขึ้นพร้อมเจตสิกอาศัยกันเกิดขึ้น และก็ดับไปพร้อมกันด้วย และก็รู้สิ่งเดียวกันด้วย เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังต่อๆ กัน แต่ต้องเริ่มทีละน้อยทีละหนึ่ง ตั้งแต่ธรรมแล้วก็เป็นธาตุรู้แล้วสภาพที่ไม่รู้ก็มี เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรม คำเหล่านี้ค่อยๆ ชินหู ค่อยๆ เข้าใจว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่เคยขาดธรรม แล้วธรรมก็เป็นอย่างนี้ จะรู้หรือไม่รู้ก็เป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล เพราะขณะที่มาเกิดนั้นจิตไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีโลภะ เป็นจิตที่ผ่องแผ้ว ถึงได้มาเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่พิกลพิการใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อย่างนี้ก็ยังเผิน ถ้าไม่มีกิเลส ไม่เกิด เพราะฉะนั้นกิเลสเป็นเจตสิกไม่ใช่จิต ตัวจิตผ่องแผ่วจริง เพราะว่าเป็นธาตุรู้ภาษาบาลีใช้คำว่าปัณฑระ หมายความว่าจิตไม่ใช่เจตสิก ไม่รัก ไม่ชัง ไม่หลง ไม่อะไรทั้งนั้น เพียงแต่เกิดขึ้นรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ทางตาจิตเห็น ทางหูจิตได้ยิน ทางจมูกจิตได้กลิ่น ทางลิ้นจิตกำลังลิ้มรส ทางกายจิตกำลังรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว แล้วใจที่ไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน พวกนี้ ก็คิดถึงสิ่งที่เห็น สืบเนื่องติดต่อกันเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ ธรรมทั้งหมดเกิดแล้วดับทั้งนั้น แต่รูปธรรมดับช้ากว่าจิต จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งที่เกิดจึงดับ คือค่อยๆ เข้าใจจากเบื้องต้น แล้วก็ค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร ก็เป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ที่ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ข้าม คำถามมาจากฟังนิดหนึ่งแล้วคิดเองมากมายทั้งนั้นเลย แต่ถ้าเป็นการไตร่ตรองจะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมั่นคงขึ้น แล้วพอได้คิดถึงอะไร ตอบเองได้หมดเลย เสียงดับหรือเปล่า ได้ยินดับหรือเปล่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏดับหรือเปล่า เห็นไหม ต้องมั่นคงว่าดับ ใครรู้ ปัญญาระดับไหน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้บุคคลอื่นที่ได้ฟังไตร่ตรองจนเข้าใจขึ้น จนถึงปัญญาที่สามารถรู้ตามได้ จึงดับกิเลสได้เป็นพระอริยบุคคล เพราะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ทุกคำที่มีในพระไตรปิฎก มีความละเอียดที่จะต้องสอดคล้องกัน แต่ไม่คิดเอง ถ้าคิดเองก็จะมีปัญหาตลอด แล้วก็จะลืมที่ได้ฟังมาแล้ว ก็สงสัยว่าปฏิสนธิจิตนี้ดับหรือเปล่า หนึ่งขณะนั้นดับหรือเปล่า ต้องมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง คือที่ถามหมายความว่า ปฏิสนธิจิตเขาจะไม่มาเกิดอีกในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิตคืออะไร ต้องเข้าใจมากขึ้นอีก ปฏิสนธิคืออะไร ปฏิสันธิ ปฏิแปลว่าเฉพาะ สันธิแปลว่าสืบต่อ สืบต่อเฉพาะจากไหน จากจุติจิตของชาติก่อน แสดงว่าจิตอื่นเกิดไม่ได้เลย ต้องจิตนี้เท่านั้นที่จะสามารถเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน จุติจิตคือจิตขณะสุดท้าย ที่เรียกว่าจุติ เพราะเหตุว่าทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลในชาตินั้นกลับมาอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจแต่ละคำ แล้วก็เข้าใจมั่นคงว่าจิตไหนก็ต้องดับ จุติจิตก็ต้องดับ เกิดขึ้นหนึ่งขณะคือขณะสุดท้าย พอจุติจิตเกิดแล้วดับไป สิ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง จะเป็นบุคคลนั้นต่อไปอีกไม่ได้เลย แต่มีปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดดับสืบต่อ แม้แต่จุติจิตก็เป็นปัจจัยให้จิตอื่นเกิดต่อทันที แต่ว่าจิตไหนจะเกิดต่อ ไม่ใช่หน้าที่ของจุติจิต แต่เพราะกรรมหนึ่งที่ได้ทำแล้ว ถึงเวลาที่จะให้ผลทำให้เกิด ก็เกิดสืบต่อจากจุติจิต

    เพราะฉะนั้นกรรมทำให้จิตที่เป็นผลของกรรม ผลของกรรมนี่จะใช้คำว่ากรรมไม่ได้ แต่ใช้คำว่าผลของกรรม เพราะฉะนั้นกรรม ได้แก่ กุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นปัจจัยให้เกิดจิต ซึ่งเป็นผล ธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเป็นกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลกรรม อกุศลวิบากเป็นผลของอกุศลกรรม ทั้งกรรมและวิบากต่างก็เกิดขึ้นทำกิจของตนของตน ไม่สับสนกันเลย และไม่มีใครไปสั่งให้คนนี้ทำอย่างนั้นคนนั้นทำอย่างนี้ เป็นธรรมคือเป็นธรรมดา ใช้คำว่าธรรมดาเพราะมาจากคำภาษาบาลีว่า ธรรมตา และคนไทยก็ใช้ ด.เด็ก แทน ต.เต่า คนไทยก็พูดสืบๆ ต่อกันมาว่าธรรมดา แต่ไม่เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจแล้วคำนี้ลึกซึ้งมาก ทุกอย่างเป็นธรรมดา คือเป็นความเป็นไปของธรรมนั้นๆ ซึ่งใครเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นธรรมซึ่งเป็นจิต จิตเกิดแล้วดับไป เป็นธรรมดาที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น แต่จะเป็นจิตประเภทไหน ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดหลากหลายอีก

    ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมที่เป็นที่อาศัยที่ทำให้เกิดขึ้นได้ทั้งหมด มี ๒๔ ปัจจัยที่ทรงแสดงไว้ ยังไม่ทันรู้เลยว่าเป็นธรรม ก็จะไปรู้ปัจจัยได้ไหม แต่ว่าค่อยๆ ฟังคำไหนเข้าใจคำนั้น เช่น คำว่าปัจจัย สภาพธรรมคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน รูปไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แข็งเกิดเป็นแข็งแล้วก็ดับ เสียงเกิดเป็นเสียงแล้วก็ดับ ธาตุรู้ใช้คำว่านามธาตุ ได้แก่ สภาพธรรม ๒ อย่าง คือจิตกับเจตสิก ทั้ง ๒ อย่างเป็นนามธรรมเพราะต้องรู้ โกรธ โกรธอะไร โกรธใครเรื่องอะไร ก็ต้องเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นโกรธอะไร ถ้าไม่รู้เลยจะโกรธได้ไหม โต๊ะเก้าอี้จะไปโกรธใครที่ไหนบ้างหรือเปล่า นี่คือการฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่ว่าไปคิดเองต่อ เพราะว่าทุกคำลึกซึ้งแต่ละคำแต่ละคำ แม้แต่คำว่าปฏิสนธิจิตก็แสดงให้เห็นว่าจิตที่ไม่ใช่ปฏิสนธิจิตก็ต้องมี จิตเห็นไม่ใช่ปฏิสนธิจิต จิตได้ยินไม่ใช่ปฏิสนธิจิต และก็ไม่ใช่จิตเห็น

    เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นฟังเพื่ออะไร เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่ฟังเพื่อได้ ฟังเพื่อได้นั่นก็เพราะไม่รู้ จึงต้องการที่จะได้เพราะเป็นเรา เพราะฉะนั้นธรรมก็สอดคล้องกันทั้งหมด สืบเนื่องกันทั้งหมดทุกคำ ถ้าเข้าใจทีละคำไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่เข้าใจ คิดเอง มาถามแล้วว่าถูกไหม แล้วคำแรกหายไปไหน เข้าใจหรือเปล่า ถ้าถามว่าถูกไหม หมายความว่าคำแรกก็หายไปแล้ว ไม่เข้าใจแล้ว คิดว่าเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่ใช่คิดว่าเข้าใจ แต่ต้องเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขออนุญาตให้ท่านอาจารย์กรุณาขยายความละเอียดของคำว่าการศึกษาธรรม คือส่วนใหญ่เวลาเราไปอ่านมาหรือไปฟังมา ก็ต้องเริ่มด้วยเรื่องราวของธรรมใช่ไหม แต่ว่าสุดท้ายแล้วควรจะไปถึงการรู้ลักษณะของธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่ด้วยความเป็นตัวตน ที่จะไปหารูปแบบ ไม่รู้ตัวเลย ความไม่รู้มีมากจนไม่รู้เลยว่าทุกอย่างด้วยความเป็นเราทั้งนั้นเลย แต่ถ้าฟังธรรมเข้าใจเดี๋ยวนี้จบเลย จะไปทำอะไร จะสนทนากันเรื่องอะไร ก็เรื่องที่ฟังให้เข้าใจขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าเป็นรูปแบบว่า แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป จะฟังแบบนี้หรือต้องไปคิดแบบนั้น หรือต้องไปเรียบเรียงมา หรืออะไรอย่างนี้ไม่ใช่เลย เข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ถ้าฟังรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีและไม่เข้าใจ แล้วมีคำพูดเรื่องสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจ นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าเราได้ฟังคำสอน แล้วพอฟังแล้วความเข้าใจนั้นไม่มีหายไปไหนเลย ใครก็เอาไปไม่ได้ โจรลักทรัพย์สมบัติไปได้ แต่จะเอาสิ่งที่ได้เข้าใจแล้วที่อยู่ในจิตไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็คือเพื่อเข้าใจเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นด้วยความเป็นตัวตนทุกคนมาหวังได้ใช่ไหม ไปทำลำบากกว่าตั้งเยอะแยะ ตรงนี้อาจจะสบายดี ไม่ต้องลำบาก แต่ก็ยังได้คิดไว้อย่างนั้น แต่ความจริงไม่ใช่ได้ ละความไม่รู้ ละอกุศล เพราะรู้ว่าไม่ดีมีมาก ถ้าดีแล้วไม่ฟัง ใช่ไหม แต่เพราะรู้ตัวเอง แล้วใครจะสามารถทำให้สิ่งที่ไม่ดีซึ่งจะทำให้เกิดผลที่ไม่ดี หมดสิ้นไปได้ ทุกคนหวังแต่ผลที่ดี แต่ไม่คิดถึงเหตุ ไหว้พระอธิษฐานขอ เหตุนี่หรือที่จะทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องตรง เหตุกับผลต้องสมควร เหตุแค่นี้สมควรกับผลแค่ไหน ขณะนี้ทุกคนกำลังเป็นกุศลวิบาก ทางตามีสิ่งที่สวยงามน่าดู เป็นที่พอใจ แต่ลืม ไม่ใช่เราทำ ใครก็ทำให้ไม่ได้ที่จะให้จิตเห็นขณะนี้เกิดขึ้นเห็นสิ่งนี้ กรรมทำได้ทุกอย่างทุกขณะจิต ไม่ว่าจะทำให้เห็นอะไร ให้ได้ยินอะไร ให้ได้กลิ่นอะไร ให้ลิ้มรสอะไร ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอะไร เรียกชื่อกันไปต่างๆ นานา ทั้งโรคไต โรคเบาหวาน โรคอะไรๆ ก็เรียกไป แต่ก็คือสิ่งที่กระทบกายแล้วดับ เท่านั้นเอง แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นถ้ารู้ความจริง ชื่อต่างๆ ไม่ได้ทำให้หวั่นไหว แต่ว่าชื่อทุกชื่อ หรือเสียงที่ได้ยินทุกเสียง เป็นไปตามความหมาย เช่น คำว่าพระผู้ประเสริฐ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไกลจากกิเลส คือกิเลสไม่สามารถที่จะเข้ามาใกล้ได้เลย แค่เข้ามาใกล้ยังมาไม่ได้ เพราะไม่มีกิเลสแล้ว เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงตามความเป็นจริงด้วยพระองค์เอง เท่านั้นไม่พอ ยังประกอบด้วยทศพลญาณที่สามารถเป็นประโยชน์แก่คนอื่น เพราะสามารถที่จะรู้จิตรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามอัธยาศัยของแต่ละคนที่มีโอกาสที่จะได้พบได้ฟัง เพราะฉะนั้นคำนี้เป็นเสียงเป็นไปตามความหมาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจะไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นธรรมทั้งหมด ละเอียดถึงที่สุดที่ว่า ถ้าเราเป็นคนหยาบ เราจะไม่เข้าใจเลยว่าคำนั้นมีความลึกซึ้งแค่ไหน แต่ว่าถ้าเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ธรรมละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น ทำให้บารมียิ่งต้องมั่นคงขึ้นมั่นคงขึ้น เพื่อที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งขณะนี้เพียงได้ยินชื่อ แล้วก็ไปคิดเรื่องราวต่างๆ จะสนทนากันรูปแบบไหน แต่ว่าความจริงทุกคำมีในขณะนี้ให้เข้าใจถูกต้อง เป็นธรรมที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ และก็ทำประโยชน์เต็มที่ในชีวิตนี้ แล้วแต่ใครจะมีความสามารถทางไหน เพราะเหตุว่าขณะใดก็ตาม สิ่งใดที่เป็นประโยชน์แท้จริงกับคนอื่น สิ่งนั้นใครไม่รู้เลยว่า เป็นประโยชน์กับตนเองก่อนที่คนอื่นจะได้รับผลด้วยซ้ำ เพราะว่าเป็นสภาพธรรมที่ดี ได้ฟังเรื่องที่น่าอนุโมทนา ก็มีท่านที่มีอุบัติเหตุเสียหายมาก แต่ว่าท่านคิดถึงรถจักรยานยนต์ที่ชนรถท่านว่าเขาเจ็บหรือเปล่า คิดดู จิตระดับไหน คนอื่นแม้จะมีเงินทองมากมายก็คิดถึงตนเองใช่ไหม เสียหายขนาดไหน จะเรียกร้องอย่างไร จะต้องติดต่อบริษัทประกันหรืออะไรต่ออะไร แต่ว่าแทนที่จะคิดถึงอย่างนั้น ก็คิดว่า เขาเจ็บหรือเปล่า ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเห็นว่าที่อุบัติเหตุนี้เกิดขึ้น เพราะจักรยานยนต์ของเขาไม่มีเบรค และอย่างนั้นสภาพอย่างนั้น และคนที่เห็นแม้จะเป็นผู้ที่เสียประโยชน์ แต่ความจริงได้ประโยชน์โดยไม่รู้ตัวเลย จากใจที่เป็นกุศลที่สามารถที่จะถึงระดับที่ไม่คิดถึงตัวเอง แต่คิดถึงคนอื่น จะเรียกร้องอะไรจากเขาใช่ไหม เขาเจ็บหรือเปล่า เขาจะต้องลำบากแค่ไหน ในฐานะที่จะต้องทำให้รถนั้นกลับไปได้ มีคนมาช่วยเหลืออะไรต่างๆ เหล่านี้

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดไม่ใช่เรา ใครจะฝืนให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ ไม่ได้สมาทานไว้ก่อนด้วยซ้ำไปใช่ไหม เพราะฉะนั้นกุศลใดๆ ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า เราศึกษาธรรมด้วยความไม่เข้าใจในความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมเลย ผิวเผินมากแล้วก็เข้าใจผิด และด้วยความเป็นเรา ศึกษาด้วยความเป็นตัวตนมาก แล้วแต่ว่าระดับของการศึกษานั้น จะเป็นตัวตนระดับไหน อาจจะมีการสอบ หรือมีการอะไรก็ได้เพื่ออะไร ไม่ใช่เป็นเรื่องละ ถ้าเป็นเรื่องละจะไม่เป็นอย่างนี้เลย แต่ว่าทุกอย่างที่ออกมา เป็นศีล ความประพฤติเป็นไปของจิตและเจตสิก เราก็รู้จักแต่ศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้าง ศีล ๘ ข้อมีอะไรบ้าง ศีล ๑๐ ข้อมีอะไรบ้าง รักษาศีลแต่ไม่รู้ว่าศีลคืออะไร แต่พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดเป็นปัญญาทั้งหมด ไม่มีสักคำที่จะไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าศีล ทรงแสดงไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง ความเป็นไปของจิตและเจตสิก ซึ่งทำให้เกิดการกระทำทางกายทางวาจาตามจิตซึ่งเป็นไปในขณะนั้น ลองคิดดู ถ้าจิตเป็นอกุศล กายวาจาจะเป็นอย่างไร โกรธแล้ว มาชนฉันใช่ไหม พูดดีๆ มีไหม กำลังโกรธใช่ไหม คนโกรธกับคนไม่โกรธพูดต่างกันมาก แล้วจิตอะไร ที่ทำให้กายเป็นอย่างนั้น วาจาเป็นอย่างนั้น

    ด้วยเหตุนี้ทรงแสดงความจริงที่ละเอียดยิ่งถึงความไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นมีจิตเจตสิกเกิดขึ้นเป็นอกุศล กายวาจากระทำอย่างไร เพราะจิตขณะนั้นเป็นอกุศลศีล ความประพฤติทางกายทางวาจา แม้แต่คำว่าสมาทาน ไม่จำเป็นต้องบอกใครเลย แต่ถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติของตน อย่างการฟังธรรม เราต้องไปบอกใครไหม ฉันสมาทานจะฟังธรรม กี่โมงกี่ยาม จะฟังกี่รายการ ไปเที่ยวสมาทานกันหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แต่ขณะใดก็ตามที่เข้าใจในสิ่งนั้น แล้วก็ถือเอาเป็นข้อปฏิบัติของตน ไม่ต้องบอกด้วยซ้ำว่าถือ ไม่ต้องพูดคำว่าสมาทาน แต่การกระทำนั้นเป็นการกระทำ เพราะได้กระทำอย่างนั้น

    ด้วยเหตุนี้การศึกษาพระธรรมประมาทไม่ได้ สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม เพราะฉะนั้นก็ทุกคนที่ได้ฟัง ยังไม่ได้รู้อย่างนี้ ให้ถึงพร้อมแม้ในการฟัง คิดหรือเปล่า เผินหรือเปล่า ละเอียดพอไหม เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ผิดนิดเดียวไปแล้วเพราะไม่รู้ และความติดข้อง และการเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องซึ่งเป็นธรรมดาอีกเหมือนกัน ที่ประเพณีไม่เข้าใจธรรมมีมานาน ตอนนี้ก็เริ่มมีประเพณีฟังธรรมเข้าใจธรรม จะรักษาประเพณีนี้กันไปแค่ไหนก็ต้องอยู่ที่พุทธบริษัท ทุกคำละเอียดมาก แล้วก็เข้าใจได้ แล้วก็เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วย แล้วใครเปลี่ยนไม่ได้ คำไหนของใครที่จะมาเปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง มีอีกคำหนึ่งที่ติดหูมาก ก็คือวุ่นวายกับสิ่งที่หมดไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ หมดแล้วคือไม่มี หมดแล้วจะมีได้อย่างไร แล้วโดยเฉพาะใช้คำว่าดับไปคือไม่กลับมาอีก ไม่เหลือด้วย ทั้งไม่เหลือและไม่กลับมา เดี๋ยวนี้ใครรู้ แต่วุ่นวายสมจริงอย่างคำที่ถาม แสดงให้เห็นความห่างไกลกันมาก อวิชชากับวิชชา สองคำ มีแต่คำว่าอะที่เพิ่มเข้ามา แต่ไกลกันมาก แม้แต่ไม่รู้อะไรยังไม่รู้เลย แล้วรู้อะไร ก็ไม่รู้ว่ารู้อะไร ความไม่รู้ถึงระดับนั้น ได้ยินคำว่าอวิชชา ไม่รู้ไม่รู้อะไร ถ้าไม่รู้ ตอบไม่ได้ แต่ถ้าเข้าใจตอบได้ว่าไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริง ทุกอย่าง อย่างไหนจริง ก็สิ่งที่กำลังมีจะไม่จริงหรือ แต่สิ่งที่ไม่มีแล้วจริงหรือ หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกอยู่ไหน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    23 พ.ค. 2568