ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831


    ตอนที่ ๘๓๑

    สนทนาธรรม ที่ รัฐเกรละ ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นทางที่จะไปสู่ความเห็นถูก ก็คือว่า ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดนามธรรม รูปธรรม ไม่เคยขาดจิต เจตสิกรูป เพราะฉะนั้นรู้อะไร ก็ต้องรู้จิต หรือเจตสิก หรือรูป โดยความไม่ใช่เรา จะพยายามไปบังคับ แต่เพราะมีความเข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นทางสายกลางก็ต้องมั่นคง ถึงใครจะตอบว่าประกอบด้วยองค์ ๘ ปกติ มีองค์ ๕ และชื่อต่างๆ แต่ว่าเข้าใจอะไร สัมมาทิฏฐิเข้าใจถูกในอะไร ถ้าไม่มี จะชื่อว่า ทางสายกลาง ไม่ได้ เพราะว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นไปเพื่อความเห็นถูก เป็นปัญญาทั้งหมด นำมาซึ่งปัญญาซึ่งตรงกันข้ามกับอวิชชา เพราะฉะนั้นการที่จะมีโอกาสได้ฟัง ได้มีจิตที่ผ่องใสมั่นคงในสิ่งที่มีจริงๆ ที่สามารถจะเข้าใจได้ ก็สะสม แทนที่จิตจะเป็นอกุศลและติดข้อง ก็มีการเข้าใจและก็สะสมความเห็นถูกไป จนกว่าเมื่อไหร่สภาพธรรมปรากฏได้ตรงตามที่ได้ฟัง ขณะนั้นก็รู้ความต่างกันของปริยัติกับปฏิบัติ

    เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ความจริง แม้แต่การที่ฟังแล้วเข้าใจ เข้าใจแล้วใครนึกบ้างว่า เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เมื่อเช้านี้ไม่มีเลย เพราะไม่มีปัจจัยพอ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปฝืน ไปท่อง ก็เป็นเราอีกนั่นแหละ เพราะฉะนั้นกลอุบายของโลภะ กับความไม่รู้มากมาย ที่จะตกหลุมไปได้ง่ายๆ เลย อุปมาว่าเหมือนทางที่เต็มไปด้วยหนาม จะย่างเท้าไปแต่ละก้าวต้องมีความละเอียดรอบคอบระมัดระวัง ที่จะให้ไม่ถูกหนามหรือไม่ถูกอกุศล ที่จะทำให้เราตกไปสู่ทางฝ่ายความไม่รู้และโลภะ เป็นเรื่องละโดยตลอด ถ้าเข้าใจอย่างนี้ปลอดภัย ยากไหม เพราะว่าความจริงสิ่งที่มีละเอียดลึกซึ้งกว่าที่คิด อย่างบอกว่ารูปเกิดดับอย่างไร ถ้าไม่มีการฟังเลย ไม่มีทางที่จะยอมรับ ไม่เห็นเกิด ไม่เห็นดับ แล้วก็บอกว่าเกิดดับ แสดงว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างยิ่ง และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วย ต้องเป็นอย่างนั้น

    ด้วยเหตุนี้เมื่อสภาพธรรมเกิดดับอย่างเร็ว เร็วมาก จึงมีข้อความในพระไตรปิฎกว่า ทันทีที่เกิดเหมือนพร้อมกับนิมิต เวลานี้ยังไม่เห็นใช่ไหม พอลืมตาเห็น เหมือนพร้อมกับนิมิต แสดงว่าการเกิดดับที่ปรากฏ ปรากฏจนแยกได้ไหมว่า ๑๗ ขณะนี่ดับ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย นี่คือเริ่มเข้าใจว่าสภาพธรรมที่ลวง ที่ทำให้ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเกิดดับเร็ว และไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้การเกิดดับเร็วอย่างนั้น ทีละ ๑ อย่าง หรือว่าทีละ ๑ ขณะได้ ด้วยเหตุนี้จึงใช้คำว่า รูปนิมิต รูป ทันทีที่ลืมตาก็ปรากฏ กี่คน ยังนับอีกใช่ไหม โน่นนี่นี่นั่น ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิต นับได้ไหม แม้แต่นับก็ต้องรู้ว่าเพราะมีนิมิต แสดงว่ารูปนั้นเกิดดับเร็วจนปรากฏให้เห็นความต่าง พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เลย ใครก็จะกล่าวคำนี้ไม่ได้ กล่าวเองไม่ได้ จะไปหาวิธีทำให้เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ได้ มีหนทางเดียวที่จะรู้ว่า ปัญญาเริ่มฟังเข้าใจ แต่ไม่ได้หมายความว่า ฟังแล้วให้ไปรู้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ก็จะมีความคิดว่าจะปฏิบัติ เพื่อที่ประจักษ์เกิดดับของสภาพธรรม ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น และก็ไม่รู้ด้วยว่าปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่สภาพธรรมอื่นเลย ที่สามารถที่จะเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจต้องตามลำดับด้วย เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่ไม่ปรากฏ คือ การเกิดดับ แต่สภาพธรรมปรากฏเป็นนิมิต ทันทีที่ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้กลิ่นอะไร เสียงอะไร ลิ้มรสอะไร กระทบสัมผัสอะไร เป็นนิมิตทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่ถามว่า เห็นอะไร จึงมีคำตอบว่า เห็นคน เห็นดอกไม้ ซึ่งเป็นนิมิตของรูปซึ่งมีจริง แต่ว่าเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ กระทบอะไร จับอะไร โต๊ะ เก้าอี้ ไมโครโฟน เสื้อผ้า ไม่รู้ในการเกิดดับของสภาพธรรมซึ่งไม่ปรากฏ เพราะความรวดเร็วอย่างยิ่ง สิ่งที่ปรากฏทั้งหมด จึงเป็นนิมิตของการเกิดดับของสภาพนั้นซ้ำๆ จนปรากฏรูปร่างสัณฐาน ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ขันธ์หมายความถึง สภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดดับแต่ละหนึ่งเป็นขันธ์ เพราะเหตุว่า สิ่งที่ดับเป็นอดีต จะเป็นปัจจุบันไม่ได้ สิ่งที่เป็นอนาคตยังไม่เกิด จะเป็นปัจจุบันไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งจึงเกิดขึ้นและดับไป แต่เร็วมาก

    ด้วยเหตุนี้มีรูปทั้งภายในที่เกิดดับ ภายนอกที่เกิดดับ มีรูปที่หยาบเกิดดับ มีรูปที่ละเอียดเกิดดับ หมายความว่าแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดมาหลากหลายมาก จึงทรงแสดงว่า แต่ละหนึ่งที่เกิดดับเป็นขันธ์ แต่ว่ารูปเป็นขันธ์ด้วย แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับให้เห็นเลย ปรากฏแต่รูปนิมิต ซึ่งใช้คำว่า รูปนิมิต เราก็เข้าใจได้ เราอยู่ในโลกของนิมิต ทุกอย่างปรากฏเป็นนิมิต แต่ความจริงนั่นใครจะรู้ถึงการเกิดดับ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม และหนทางที่จะประจักษ์การเกิดดับ ต้องปัญญาอย่างเดียวที่ฟังแล้วเข้าใจ ไม่ใช่ไปจำเรื่อง จำคำ พูดตาม แต่ต้องเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ และคำนี้ก็มีในพระไตรปิฎก มีคำว่ารูปนิมิต ขันธ์มี ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ พอเขาบอกว่า ขันธ์มี ๕ เราก็จำว่า ๕ ขันธ์ แต่ขันธ์ คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดดับเป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต เอาแค่นี้ก่อนก็ได้ แต่ความหลากหลาย คือ หยาบ ละเอียด ไกล ใกล้ เลว ประณีต พวกนี้ก็เป็นแต่ละลักษณะของ ๑ ขันธ์ไป ก็ไม่ต้องไปจำ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นเมื่อขันธ์เกิดดับสืบต่อเร็ว ไม่ปรากฏการเกิดดับ จึงปรากฏเป็นนิมิตของแต่ละ ๑ รูป จึงมีคำว่ารูปนิมิต ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ ๑ นามขันธ์ ๔ การฟังธรรมต้องฟังตามลำดับจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ว่าลักษณะใดก็ตาม เป็นรูปทั้งหมด และเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นนิมิตของรูปนั้น จึงเป็นรูปนิมิต ส่วนนามธรรม หรือนามขันธ์ ๔ ได้แก่ เจตสิก กับ จิต จิตเป็นวิญญาณขันธ์ ๑ เหลืออีกเท่าไหร่ ขันธ์มี ๕ รูปขันธ์ ๑ แล้วก็จิตเป็นวิญญาณขันธ์ ๑ ก็เหลืออีก ๓ เป็นเจตสิก ๓ แต่ละหนึ่งคือ ความรู้สึกมีจริงๆ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกดีใจ ที่ปรากฏเมื่อไหร่ เป็นนิมิตของความรู้สึกนั้น ซึ่งเกิดดับหลายขณะสืบต่อ จึงปรากฏให้รู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นความรู้สึกอย่างนั้น เวลาที่ขุ่นใจ นับได้ไหม เริ่มขุ่นเมื่อไหร่ ยังขุ่นนานเท่าไหร่ หรือขุ่นนั้นหายไปแล้วก็คือ การเกิดดับของสภาพธรรมจะมากหรือจะน้อย ก็คือ เป็นนิมิตของสภาพนั้น สภาพของความรู้สึก แต่ละความรู้สึกเป็นนิมิตทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นรูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สัญญาเป็นเจตสิก ๑ ใน ๕๒ เวทนา ก็เป็นเจตสิก ๑ ใน ๕๒ เพราะว่าเจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เอาที่ปรากฏประจำวันจริงๆ ให้รู้ได้ว่า ทุกขณะมีความรู้สึกปรากฏหรือเปล่า ที่ไม่ปรากฎเพราะเป็นความรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าดีใจรู้แล้ว ตื่นเต้น เสียใจ หรือไม่ชอบใจ ก็ปรากฏให้รู้ เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่ความรู้สึกมีต่างกันไป เป็นความรู้สึกเฉยๆ ๑ อทุกขมสุข แล้วก็โสมนัสทางใจ ดีใจ ๑ แล้วก็ทุกข์ใจโทมนัสเวทนา ๑ แล้วทางกายก็ต่างกับทางใจ เพราะเหตุว่า เพราะกายมีจึงมีทุกข์ที่กาย เพราะฉะนั้นทุกข์ที่กายไม่เกี่ยวกับทุกข์ใจเลย เจ็บปวดป่วยไข้ พระอรหันต์เดือดร้อนไหม ไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้นก็เป็นความรู้สึกทางกาย ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกทางใจ แต่ก็แสดงให้เห็นกำลังมีความรู้สึก ก็เป็นเรา เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ความจริงเลย แม้ความรู้สึกก็เป็นขันธ์ ซึ่งเกิดดับแล้วเป็นนิมิต หมายความว่า เมื่อรู้ก็คือนิมิต ไม่ได้รู้การเกิดดับของแต่ละสภาพธรรมเลย จึงเป็นนิมิต เพราะฉะนั้นรูป รูปนิมิต ความรู้สึกเวทนาเป็นเวทนานิมิต สัญญาความจำ นัยเดียวกันทั้งหมด สัญญานิมิต สังขารขันธ์ ได้แก่ เจตสิกแต่ละหนึ่งในเจตสิก ๕๐ โกรธเกิดขึ้นเป็นเจตสิกหนึ่ง เป็นสังขารขันธ์ ถ้าไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่สัญญาแล้ว ก็เป็นสังขาร ซึ่งเป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้นก็เป็นสังขารนิมิต นิมิตทั้งนั้นเลย ทั้งรูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต ทั้ง ๕ ขันธ์ อยู่ในโลกของนิมิต

    เพราะฉะนั้นจะสักแต่ว่าเห็น ไม่ใช่พูด แต่เป็นปัญญาที่เข้าถึงความเป็นจริงว่า เห็นเป็นหนึ่ง แล้วเห็นอะไร ต้องเห็นสิ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งที่รวมกันเป็นหนึ่ง เช่น ไม่ใช่เห็นดอกไม้ ไม่ใช่เห็นคน แต่เห็นสักแต่ว่าเห็น คือ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วเห็นสักแต่ว่าเห็นก็คือว่า เห็นไม่ใช่เรา เห็นเพียงเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ไม่มีเราในเห็น และเห็นจะเป็นเราก็ไม่ได้ เพราะดับแล้ว หมดแล้ว ไม่กลับมาอีก จะเป็นเราได้อย่างไร จะเป็นของเราได้อย่างไร จะอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเพื่อสอดคล้อง เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อว่าแล้วตำรานั้นว่าอย่างไร ตำรานี้ว่าอย่างไร ละเอียดอย่างไร แล้วก็ไปนั่งจำตำรา แล้วจะรู้อะไร แต่สำคัญที่สุดคือ เข้าใจแต่ละคำ อย่างพอได้ยินคำว่า นิมิต ไม่สงสัยเลย อยู่ในโลกของนิมิตทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า สักแต่ว่าเห็น ต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่พูดตาม สักแต่ว่าเห็น ใครก็พูดได้ เพราะเห็นไม่ใช่ได้ยิน แต่นั่นหรือคือปัญญาที่สามารถที่จะเข้าถึงความหมายของ สักแต่ว่าเห็น ด้วยสติและสัมปชัญญะ

    อ.กุลธิดา ท่านอาจารย์ได้อธิบายถึงวิญญาณนิมิต แล้วท่านอาจารย์ก็ได้อธิบายถึงสักแต่ว่าเห็น เพราะฉะนั้นเวลาที่รู้ลักษณะของเห็นก็คือ วิญญาณนิมิตนั่นเองใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดปรากฏสืบต่อเป็นนิมิต ให้รู้ว่ามีเป็นสิ่งนั้น ไม่เป็นสิ่งอื่น

    อ.กุลธิดา ก็คือ ปรากฏนิมิตของสภาพรู้ ธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เห็นเป็นวิญญาณนิมิต เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่า เห็นขณะนี้เป็นเพียงธาตุรู้ สภาพรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเห็น ไม่เป็นอื่น ไม่เป็นได้ยิน ไม่เป็นความรู้สึก เพราะฉะนั้นความเข้าใจ ไม่ใช่ไปเอาความเข้าใจของคนอื่นมา ไม่ไปเอาความเข้าใจของท่านทั้งหลายในครั้งพุทธกาลมา แต่ว่าความเข้าใจเดี๋ยวนี้มีแค่ไหน จากเดี๋ยวนี้ซึ่งมีน้อยมาก จะให้ไปถึงอย่างโน้น แล้วก็ไปนั่งคิด นั่งพยายามไตร่ตรอง กับ การที่เริ่มเข้าใจว่า นิมิตคืออะไร เดี๋ยวนี้เป็นนิมิตใช่ไหม เพราะอะไร เพราะเหตุว่าเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว จำก็เป็นนิมิตแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ข้อความในพระสูตร จะไม่กล่าวถึง จิตแต่ละ ๑ ขณะ แต่จะกล่าวว่าเห็นแล้วเป็นอย่างไร แล้วคิด แล้วจำ แล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าจิตเกิดทีละ ๑ ขณะ สืบต่ออย่างไร มีในพระอภิธรรมปิฎก เพื่อชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ไม่ใช่เรา เพราะแต่ละ ๑ ขณะเร็วแสนเร็ว เพราะฉะนั้นข้ามไปหมดเลย จากเห็นไปเป็นชอบหรือไม่ชอบ เท่าที่จะรู้ได้ เพราะว่าใครจะไปรู้จิต ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ก่อนที่โลภะ หรือโทสะจะเกิด และถึงจะเกิด ก็ไปรู้ทวารหลังๆ โน่น กลายเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ชอบแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงในวาระที่สิ่งนั้นกำลังเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อละความไม่รู้ตามกำลังของปัญญา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดว่า ฝันหรือเปล่า เมื่อคืนนี้เราไม่ได้ฝันเลย ก็เลยคิดว่าความที่ว่าจะฝัน เกิดจากธาตุอาหารหรือเปล่า หรือเราทานไปแล้วฝันหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความคิดเองแทรกเข้ามาตลอดเลย พอฟังเรื่องยาว แต่เรื่องยาว เรื่องเราคิด ฝันคืออะไร

    ผู้ฟัง ฝันก็คือ จิตที่เราคิดไปเอง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ฝันคือคิด เดี๋ยวนี้ฝันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขณะนี้นั่งอยู่ ไม่ได้ฝัน เพียงแต่ว่าตั้งใจที่จะฟังเฉยๆ เลยไม่ได้ฝัน

    ท่านอาจารย์ นั่งเดี๋ยวนี้ไม่ได้ฝัน คิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต่างกัน ต้องรู้ด้วย ไม่พ้นจากเห็น มีตา กรรมทำให้มีตา เพื่อรับผลของกรรม แค่ทำให้เกิดมาเป็นคน แล้วไม่เห็นไม่ได้ยินอะไร ไม่พอที่จะรับผลของกรรมใช่ไหม เพราะฉะนั้นกรรมก็ทำให้มีตาสำหรับรับผลของกรรม คือ เห็นเมื่อไหร่เป็นผลของกรรมเมื่อนั้น ได้ยินเมื่อไหร่ก็เป็นผลของกรรม ได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสพวกนี้เป็นผลของกรรม แต่ก็คิดไม่ใช่ผลของกรรม ต่างคนต่างคิด คิดดีกับคิดไม่ดี ตามการสะสมสืบต่อ เลือกไม่ได้ วันนี้ คืนนี้ จะฝันถึงอะไรดี เลือกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ฝันยังเลือกไม่ได้ แล้วคิดเลือกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คิดก็เลือกไม่ได้ใช่ไหม กำลังฟังเสียงอย่างนี้ คิดเรื่องอื่นก็ได้ ธรรมแต่ละหนึ่ง แล้วต้องเข้าใจแต่ละหนึ่ง เดี๋ยวนี้มีคิด แต่ไม่ใช่ฝัน เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตา ในฝันไม่มีเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้เลย แต่จำสิ่งที่เคยเห็น แล้วก็คิดถึงสิ่งที่ได้เคยเห็น เพราะฉะนั้นขณะที่ฝันก็คือ เพียงแค่จำสีสันวรรณะต่างๆ ด้วยความคิดว่าเป็นใคร เรื่องอะไร นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ว่าคืออะไร คืออะไร เพื่อที่จะรู้ว่าอยู่ในโลกของความฝัน หรืออยู่ในโลกของนิมิตอย่างไรตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องเข้าใจ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดมา แล้วก็สงสัยและก็เราฟังธรรมมาอย่างนี้ แล้วจะเป็นอะไร นั่นคือไม่ได้ฟังธรรมทีละคำ แล้วก็เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่างที่ถามเมื่อวานนี้ เมื่อคืนนี้ฝันหรือเปล่า ธรรมมีไหมขณะนั้น

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีธรรมอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ที่ได้ยินแล้ว ที่ท่านอาจารย์พูด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังไม่ถึงฝันเลย มีได้ยินแล้วใช่ไหม ต้องมีเสียง แล้วก็มีได้ยิน ดับแล้วก็จำคำและเสียงว่าหมายความว่าอะไร รวดเร็วขนาดไหน เป็นนิมิตด้วยทั้งหมด เพื่อให้รู้ว่าเราไม่รู้ระดับไหน แล้วเราศึกษาธรรม เราคิดว่าเรารู้ระดับไหน หรือเราจะรู้ได้ระดับไหนไปถึงโน่น แต่ว่าความจริงเราอยู่ตรงไหน และความเข้าใจของเรามั่นคงแค่ไหนว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ กำลังมีอย่างนี้ เราเข้าใจแค่ไหนแต่ละคำ เช่น นิมิต ได้ยินเสียงคือ นิมิตของเสียงใช่ไหม เสียงต่างกันหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นเสียงที่ปรากฏอย่างนี้ เป็นนิมิตให้รู้ให้จำได้ว่า เสียงนี้หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นจิตก็เกิดดับนับไม่ถ้วน ศึกษาธรรมต้องคือเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าเราศึกษาสิ่งที่ลึกซึ้ง แต่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจได้ แต่ไม่ใช่ว่าไปเป็นเราเข้าใจเร็วๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เข้าใจธรรมที่ปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจในลักษณะนั้นๆ

    เราอยู่ที่นี่วันนี้ บุคคลในครั้งพุทธกาลได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เฝ้าได้ฟังธรรม แต่ก็จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ใช่สาวก คิดดูถึงความลึกซึ้ง ความยาก ความละเอียด ความเป็นอนัตตาว่าบังคับบัญชาได้ไหม เพราะเหตุว่าผู้ที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องอบรมบารมีมากกว่าสาวกบารมี แต่เลือกไม่ได้ นายสุมนมาลาการ มีศรัทธาถึงกับว่า ยอมที่จะถูกลงโทษ เมื่อเอาดอกไม้โปรยบูชาพระพุทธเจ้าในระหว่างที่พระองค์เสด็จบิณฑบาต เป็นซุ้มดอกไม้เลย แต่ก็ไม่ได้บรรลุมรรคผล คิดดูว่า ได้ฟังธรรม ได้เฝ้า ได้เห็น ได้บูชา แต่ความลึกซึ้งของธรรม ไม่ใช่อยู่ที่เราปรารถนาว่าจะรู้ จะทำอย่างไร นี่ก็ผิดเลยใช่ไหม แต่เมื่อขณะที่ได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมลึกซึ้ง ไม่ลึกซึ้งได้อย่างไร เห็นก็ได้ฟังแล้ว แล้วก็จริงว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน แล้วทำไมจะมีทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึกขณะนี้ได้ ก็แสดงว่าธรรมเกิดดับสืบต่อสลับ จนกระทั่งไม่ปรากฏการเกิดดับสืบต่อ ซึ่งปัญญาถ้าไม่รู้อย่างนี้ จะละความเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร แต่ไม่ใช่ว่าด้วยความปรารถนาว่าจะได้เข้าใจอย่างนี้ โดยวิธีอย่างนั้น แต่เห็นความลึกซึ้ง และเป็นเรื่องละหมด อย่างวันนี้ถ้าเราฟังเข้าใจ เราละการที่เป็นเรา ที่ต้องการเร็วๆ หรือจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อที่จะรู้สภาพธรรม โดยที่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าถ้าไม่ใช่ความเห็นถูก ไม่ใช่ความเข้าใจถูก แล้วอะไรจะไปละความไม่รู้และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้

    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้ที่เห็นความจริงของบารมีว่า ถ้าขาดบารมีแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏได้เลย สัจจบารมี ตรง ขณะนี้เห็น แล้วก็เห็นก็เกิดดับ แต่ไม่ปรากฏ แต่ปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถถึงเฉพาะเห็นด้วยความเข้าใจถูกในความเป็นธาตุรู้ สภาพรู้ที่เกิดขึ้นเห็น ต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นแต่ละคำ สงสัย วิจิกิจฉา ในการเกิดดับของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นวิจิกิจฉา ความสงสัยในความเป็นจริงของสภาพธรรม เป็นอนุสัยกิเลส ดับได้ด้วยโสตาปัตติมรรค คิดดู คำว่าดับ หมายความว่าไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นใครก็ตามกำลังเห็นและไม่รู้ความจริงของเห็น สงสัยแน่ และก็ยังยึดถือว่าเป็นเราด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหาหนทางอื่นก็คือว่า ไม่ได้มีวันที่จะรู้ความจริงว่า เห็นจริงๆ ที่กำลังเห็น จะปรากฏแน่ๆ กับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เพราะการละคลายความติดข้องและความไม่รู้ โดยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยนี่แหละ นี่คือความมั่นใจว่า ถ้าสภาพธรรมไม่เป็นอย่างนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ความจริงนี้ได้หรือ ถ้าสภาพธรรมนี้ไม่เป็นจริงอย่างนี้ แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเป็นจริงอย่างนี้ การตรัสรู้ก็คือ พระปัญญาที่แทงตลอดความจริงของสภาพธรรม ซึ่งก่อนนั้นไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าเป็นผู้ที่มีความมั่นคงว่ารู้ได้อย่างที่ได้ฟัง แต่ไม่ใช่เราที่จะไปทำอะไรที่จะรู้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ซึ่งค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย ซึ่งใครจะรู้ นอกจากตัวเอง วันนี้คิดบ้างไหมว่า เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วจะไปรู้ จนกระทั่งประจักษ์การเกิดดับของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ได้อย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    2 มิ.ย. 2568