ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
ตอนที่ ๘๐๙
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ความจริงแท้ๆ ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรมเลย ไม่มีทางที่จะรู้ หลับตาแล้วมีแจกันหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ มีดอกไม้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ แล้วเห็นอะไร
ผู้ฟัง ความมืด
ท่านอาจารย์ แล้วก็ลืมตาใหม่ เห็นอะไร
ผู้ฟัง ดอกไม้ แจกัน
ท่านอาจารย์ นี่คือคนทั่วไป ไม่รู้ว่าแท้ที่จริง เห็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบตา ไม่ใช่กระทบหู ไม่ใช่กระทบจมูก สิ่งนี้สามารถกระทบตา ตามีจริงๆ เป็นรูปพิเศษที่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ แต่ตาไม่เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไรเลย แต่การกระทบกันของสิ่งที่สามารถกระทบตาขณะนี้ เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น เห็นไม่ใช่ตา เห็นไม่ใช่สิ่งที่กระทบตา แต่เห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กระทบตาได้
เพราะฉะนั้นเด็กเกิดใหม่เห็นอะไร เห็นแจกัน เห็นดอกไม้หรือไม่ หรือเห็นอะไร แค่เห็นหนึ่งขณะ ไม่เป็นอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ได้จำอะไรเลย ใช่หรือไม่ แต่เมื่อคุ้นเคยมากๆ เห็นบ่อยๆ และสิ่งที่ปรากฏ ความจริงซึ่งไม่มีใครรู้ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด และสิ่งนั้นจะเกิดตามลำพัง อยากจะเกิดก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดเองไม่ได้ ต้องมีปัจจัยอาศัยสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้นไม่เป็นสิ่งอื่น นี่แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตา อัตตาคือมีความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หยิบได้ เททิ้งได้ ทำอะไรได้เหมือนกับเราสามารถทำอะไรก็ได้ แต่อนัตตาไม่ใช่อัตตา นอัตตา รวมกันก็เป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา หลับตาแล้วจะให้เห็นแจกันเป็นไปไม่ได้ ลืมตาแล้วมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่จำ ถ้าไม่จำก็ไม่รู้ว่าเป็นแจกัน หรือเป็นดอกไม้ หรือเป็นคน หรือเป็นโต๊ะ
เพราะฉะนั้นที่จะจำสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องมีรูปร่าง สัณฐาน ซึ่งความจริงก็คือ สีต่างๆ ปรากฏ ตัดกัน ทำให้เกิดสัณฐาน กลมบ้าง เหลี่ยมบ้าง อะไรก็แล้วแต่ เพราะสีต่างกัน ถ้าเป็นสีเดียวกัน ไม่มีทางที่จะเป็นแจกันหรือเป็นดอกไม้ได้ แต่เพราะสีที่หลากหลาย ก็เป็นดอกไม้แต่ละดอก ไม่เหมือนกันด้วย เป็นใบก็ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่แจกัน
เพราะฉะนั้นจะเห็นการเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งเร็วอย่างยิ่งสุดที่จะประมาณได้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เหมือนทุกอย่างเกิดมาเที่ยง ตั้งแต่เช้ามาก็เป็นอย่างนี้ เที่ยง แต่ความจริงไม่ใช่เลย เป็นแต่ละหนึ่งขณะที่สั้นที่สุด เร็วที่สุด เกิดดับ เร็วจนไม่ปรากฏว่ากำลังเกิดดับ และสิ่งที่ปรากฏเกิดดับอย่างเร็ว คิดหยาบๆ ความจริงละเอียดกว่านี้มาก หยาบๆ ว่า เกิดดับจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน เพราะมารวมกัน ต่อกัน เหมือนก้านธูปหนึ่งดอก มีแสงไฟนิดเดียว แต่แกว่งให้เป็นวงกลม เห็นแสงสว่างเป็นวงทั้งๆ ที่มีเพียงหนึ่ง แต่ก็ลวงและหลอกให้เห็นว่าเป็นสิ่งซึ่งกลม ความจริงกลมหรือไม่ ไม่เลย ฉันใด นี่ก็ลวงว่าเป็นดอกไม้ ลวงว่าเป็นแจกัน ลวงว่าเป็นคน ลวงว่าเป็นโต๊ะ
เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของธรรมและพระปัญญาคุณ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีคือความดี จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะเหตุว่าอกุศลใดๆ ความชั่วทั้งหลายไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริง เพราะความติดข้อง และความไม่รู้เพิ่มขึ้นๆ ก็ปิดบังลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งใครก็ไม่รู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เมื่อไร คนที่ได้ฟังพระธรรม และฟังมาแล้วอย่างนานมากด้วย จนกระทั่งถึงเวลาที่จะเข้าใจคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส และก็ประจักษ์แจ้งความจริงว่า ขณะนี้สภาพธรรม แต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย ปรากฏแล้วก็ดับ แล้วสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งก็ปรากฏแล้วก็ดับสืบต่อ ตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้ จนกว่าจะได้เข้าใจขึ้น
นี่คืออนัตตา หมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่าเที่ยง เพราะแต่ละหนึ่งมีปัจจัยเกิดและดับ แต่การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ทำให้ปรากฏเหมือนไม่เกิดดับเลย ด้วยเหตุนี้ทั้งๆ ที่เกิดดับไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง สภาพธรรมที่เป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรยินดี ไม่มีใครติดข้องในความทุกข์ ทุกคนอยากจะพ้นไป แต่ไม่เคยรู้เลยว่า การเกิดดับมีอยู่ ไม่เห็นมีใครอยากพ้น เพราะไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจะเริ่มเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ต้องฟังแต่ละคำ แล้วก็รอบรู้ คือไม่ใช่มีใครมาบอก แต่เข้าใจคำที่ได้ฟัง ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ คำใดที่เป็นความจริงทั้งหมด เป็นคำจริง เป็นวาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นใคร และสิ่งที่ได้ฟัง ไตร่ตรอง จริงหรือไม่ ไม่ใช่บังคับให้เชื่อ เพราะฉะนั้นอนิจจัง สิ่งที่เกิดดับ ไม่ควรเป็นที่ยึดถือ จึงเป็นทุกข์ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ด้วยเหตุนี้ธรรมทั้งหมดไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา แต่ธรรมใดก็ตามที่มีปัจจัยเกิดขึ้นต้องดับ ใช้คำว่า สังขารธรรม หมายความว่าเกิดได้เมื่อมีปัจจัย เกิดแล้วก็ต้องดับไป เพราะฉะนั้นจะมีคำว่า สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ แต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะรวมสภาพธรรมซึ่งเป็นนิพพาน ซึ่งไม่เกิดดับด้วย เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่าอนัตตาแล้ว ใช่หรือไม่ ตรงกันข้ามกับคำว่าอัตตา ถ้าเข้าใจแล้วลืมหรือไม่ ได้ยินคำว่า อนัตตา รู้เลยว่าหมายความถึงทุกอย่างที่ปรากฏนั่นแหละ ถ้าเป็นอย่างนี้มันคง รอบรู้ เป็นปริยัติ และมั่นคงคือสัจจญาณ ยังไม่ถึงปฏิปัตติ ยังไม่ถึงกิจจญาณ ซึ่งจะทำให้เกิดรู้แจ้งประจักษ์แจ้งด้วยปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ไม่ใช่ปัญญาของใครทั้งสิ้น แต่ปัญญาที่ได้อบรมแล้ว
ผู้ฟัง ในโลกนี้สิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นความคิด ประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ หลักธรรมนี้มาใช้กับชีวิตประจำวันอย่างนี้ได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ จะไม่สิ้นความสงสัย เพราะคิดเอง แต่ถ้าฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น จะหมดความสงสัย ก่อนที่ใครจะคิดอะไร เป็นคอมพิวเตอร์ หรือเป็นรถยนต์ เป็นโทรศัพท์ เป็นเครื่องมืออุปกรณ์สมัยใหม่ ตอนเกิดมาเป็นเด็ก เขาคิดอย่างนั้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง คงไม่คิด
ท่านอาจารย์ แล้วคิดเมื่อไร
ผู้ฟัง เมื่อเขาเรียนวิชาทางโลก
ท่านอาจารย์ เติบโตขึ้น ต่างคนต่างคิด เพราะว่าใครก็ไม่ได้คิดอย่างเขา ถูกต้องหรือไม่
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความคิดก็หลากหลายตามการสะสม แต่การที่จะเข้าใจธรรม ต้องเริ่มจากเป็นธรรมก่อน ไม่ใช่ว่าคิดเรื่องอะไร เพราะอะไรอย่างไร โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้เป็นธรรม ก็กลายเป็นคนหลากหลาย แต่ความจริงสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงมีการใช้คำอีกคำหนึ่ง คือธาตุหรือทา-ตุ ทรงไว้ซึ่งลักษณะนั้น ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ทำไมคนเราต่างกัน เกิดมาแล้วก็ค่อยๆ โตขึ้น ค่อยๆ แสดงความหลากหลายของการสะสม บางคนก็ชอบที่จะคิดร้องรำทำเพลง แต่งเพลง แต่งได้อย่างไร เครื่องดนตรี เล่นได้อย่างไร ทำไมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนอีกคนก็เรื่องอื่นไปเลย แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ หรือว่าใครก็ตามที่ช่างคิดในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ออกมาแต่ละเรื่อง แต่ทั้งหมดเป็นธรรม มีจริงๆ ถ้าไม่มีปัจจัยสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้นได้หรือไม่ ให้เราเป็นอย่างเขาได้หรือไม่ ให้ไปคิดอะไรที่เขาคิดกันเก่งๆ แต่เราคิดไม่เป็น จะให้เป็นอย่างเขาได้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้
ผู้ฟัง คือธรรมชาติที่เขาเป็นอยู่ ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นอนัตตา และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความละเอียดจนกระทั่งว่า แม้ขณะนี้มีกี่คนในห้อง นั่งไม่เหมือนกันเลย เห็นหรือไม่ ทำไมไม่เหมือนกัน ให้เหมือนหุ่น ก็มีแขน มีขาเท่าๆ กัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน ตามการสะสม นี่แค่รูปธรรม แล้วจิต เจตสิก ซึ่งละเอียดกว่านั้นมาก เป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะอาการต่างๆ ตามความเคยชิน จนกระทั่งว่าไม่มีใครที่จะเข้าใจได้ว่า แม้ขณะนี้ การพูด การเดิน กิริยาอาการท่าทางทั้งหมด มาจากจิต เป็นกุศลก็เป็นกุศล เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล แต่หลากหลาย จนทำให้รูปนั้นขยับเขยื้อนเคลื่อนไปด้วยอาการต่างๆ จนเป็นอุปนิสัย ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้อย่างนี้ก็ยังคิดไม่ถึงว่า ความละเอียดของจิตแต่ละขณะปรุงแต่งอย่างละเอียดมาก นอกจากความคิดอ่าน การกระทำ กิริยาอาการ ก็ยังเป็นสิ่งซึ่งแม้เพียงเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ก็ต่างกันตามกำลังของการสะสม
เพราะฉะนั้นก็คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องสติปัญญา ความคิดอ่าน การที่จะมีการปรุงแต่ง คิดโน่นคิดนี่ ซึ่งคนอื่นไม่คิด แต่คนนั้นคิด ก็แสดงความหลากหลาย แล้วจะอย่างไร จะให้เป็นคนเก่ง คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เกิดมาแล้วตายไป แล้วก็สะสมความสุข ความทุกข์ โดยที่ไม่เข้าใจความจริง แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วย ว่าชาติต่อไปจะเกิดเป็นอะไร ชาติต่อไป ใครรู้ เพราะยังมีเหตุที่จะให้เกิด ถ้าดับเหตุหมดเมื่อไร เป็นพระอรหันต์ไม่มีการเกิดอีกเลย แต่ตราบใดที่ยังมีเหตุที่จะให้เกิดคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ยังต้องมีปัจจัยที่จะเกิด แล้วแต่กรรมหนึ่งที่ได้ทำไว้ เลือกไม่ได้เลยว่ากรรมไหน แต่พร้อมแล้ว จากโลกนี้กรรมนั้นให้ผลทันที ทำให้ปฏิสนธิเกิดใหม่ทันทีไม่มีระหว่างคั่น แล้วก็จะยังไปคิดถึงเรื่องรถยนต์ เรื่องอุปกรณ์ต่างๆ เรื่องอะไรต่างๆ หรือว่าเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าเป็นอะไรก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมซึ่งเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง เคยได้ยินเรื่องลักษณะของธาตุน้ำ
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นให้ทราบว่า รูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน อาศัยกันเกิดขึ้น มี ๔ รูป ธาตุแข็งหรืออ่อน เป็นปฐวีธาตุ เย็นหรือร้อน เป็นเตโชธาตุ ตึงหรือไหว เป็นวาโยธาตุ เรียกว่าธาตุลม สามธาตุแล้ว เดี๋ยวนี้กระทบอะไร อะไรปรากฏ กำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏที่กาย สิ่งนั้นเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง แข็ง
ท่านอาจารย์ แข็ง ลักษณะที่เอิบอาบ ไม่ได้ปรากฎใช่หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ปรากฎ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่แข็งอะไรปรากฏ
ผู้ฟัง เย็น ร้อน
ท่านอาจารย์ เย็นหรือร้อนปรากฏ ลักษณะที่เอิบอาบ ซึมซาบ เกาะกุม ไม่ได้ปรากฏ ถ้าไม่ใช่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง อะไรปรากฏ ตึงหรือไหว เหมือนเขาบอกให้เราจำ แต่ความจริง เวลาตึงปรากฏ ไม่ได้คิดถึงคำว่าตึงไหวเลย แต่ตึงเป็นตึง แล้วไหวก็เป็นไหว ก็มีปรากฏในชีวิตประจำวัน กลืนอาหารจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ไหวไปได้เพราะธาตุนี้ไม่อยู่กับที่
เพราะฉะนั้นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานที่ปรากฏให้รู้ได้ก็คือ ๓ ธาตุที่กระทบกายจึงรู้ได้ ตามองไม่เห็นความเย็นร้อนแน่ ถูกต้องหรือไม่ แต่กระทบกายเมื่อไร ที่จะพ้นจากเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว อย่างหนึ่งอย่างใดเพียงหนึ่ง ไม่มี เพราะฉะนั้นธาตุน้ำ เป็นธาตุที่เกาะกุมธาตุทั้ง ๓ ไม่ปรากฏ แต่ปรากฏเฉพาะธาตุที่ถูกเกาะกุม คือธาตุดิน อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ธาตุลม ตึงหรือไหว พิสูจน์ได้ แข็งปรากฏได้เมื่อไร ถ้าไม่กระทบกาย แข็งปรากฏได้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็ง เป็นธาตุที่กระทบกายปสาทะได้ จึงมีจิตซึ่งรู้สภาพที่แข็ง สภาพที่รู้แข็งขณะนั้น ถ้าไม่เกิด แข็งปรากฏไม่ได้เลย แล้วถ้าแข็งไม่กระทบกาย และจิตไม่เกิดขึ้น แข็งก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นกายปสาทะที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว รู้ได้เมื่อแข็งปรากฏเมื่อไร ตรงนั้นมีรูปที่สามารถกระทบแข็ง เป็นกายปสาทะ ไม่ใช่ตัวแข็ง แต่เป็นรูปที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ ที่สามารถกระทบกับลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวได้
เพราะฉะนั้นเป็นผู้ตรง ว่าวันหนึ่งๆ ที่กาย มีอะไรปรากฏบ้าง แล้วจะได้รู้ว่า ทำไมธาตุน้ำไม่ปรากฏ ไม่ใช่พอรู้ว่ามีธาตุน้ำ ธาตุน้ำก็ต้องปรากฏ นี่เราใช่หรือไม่ที่คิด แต่ปรากฎทีไร อะไรปรากฏ ปกติแม้ตึงหรือไหวมีก็ไม่ปรากฏที่จะให้รู้ เหมือนอย่างเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ยิ่งธาตุน้ำไม่มีทางที่จะกระทบกับกายปสาทะ
ด้วยเหตุนี้ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ๓ รูปนี้รวมเรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์ คำว่าอารมณ์หรืออารัมมณะ ในภาษาบาลี หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดเลย ภาษาบาลีใช้คำว่า อารัมมณะหรืออารัมพนะ พูดถึงอารมณ์ ต้องเป็นสิ่งที่จิตรู้ ภาษาไทยเราไม่พูดอารัมมณะ แต่เราพูดสั้นๆ ว่าอารมณ์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฎ หมายความว่ามีจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น แต่เราก็ลืมว่าขณะนี้เป็นจิต เป็นเจตสิกทั้งหมด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีสิ่งใดจะปรากฏ แต่เมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นจิตและเจตสิก ก็มีสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นอารัมมณะ ๓ รูปที่กระทบกาย ปรากฏเป็นโผฏฐัพพารมณ์ สำหรับทางตา สิ่งที่เราปรากฏขณะนี้ใช้คำว่า รูปารัมมณะ เป็นรูปที่กระทบตาปรากฏได้ เสียงก็เป็นสัททารมณ์ ภาษาบาลีไม่มีคำว่าเสียง แต่มีคำว่า สัททะ เพราะฉะนั้นเสียงใดที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เสียงอื่น เฉพาะเสียงที่จิตรู้ เป็นสัททารมณ์ ถ้าเสียงทั่วๆ ไปก็คือสัททะ แต่เฉพาะเสียงที่จิตรู้นั้นเป็นสัททารมณ์ เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่า โผฏฐัพพารมณ์ที่รู้ได้เฉพาะทางกาย
ผู้ฟัง สืบเนื่องจากเมื่อเช้า ถึงเรื่องสัญญาเจตสิก ซึ่งเกิดแล้วก็ดับพร้อมไปกับจิตที่เกิดขึ้น คำว่า ความมั่นคง ในภาษาไทย ผมนึกถึงความมั่นคง ไม่น่าจะดับไป น่าจะยังต้องมั่นคงอยู่ตลอดไป
ท่านอาจารย์ ถึงดับแล้วก็เกิดอีก มั่นคงหรือไม่ เกิดอีกมากเลย มั่นคงหรือไม่ ถ้าเกิดอีกนิดหน่อยก็ไม่มั่นคง แต่ถึงแม้ว่าดับไปแล้วก็ยังเกิดอีกๆ บ่อยๆ มากๆ มั่นคง ถ้าเกิดน้อยก็ไม่มั่นคง
ผู้ฟัง หมายถึงมั่นคงโดยการเกิดดับต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถึงจะต่อเนื่อง ไม่ต่อเนื่อง ก็ตาม แต่บ่อยจนกระทั่งไม่เปลี่ยน ก็คือมั่นคง ถ้าเปลี่ยนก็คือไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลาย เห็นหรือไม่ ธรรมมั่นคงหรือยังว่าเป็นธรรม ลืมเมื่อไรก็ไม่มั่นคง แต่ระลึกได้บ่อยๆ เริ่มมั่นคง จนกระทั่งไม่เปลี่ยนเลยก็คือมั่นคง
ผู้ฟัง ผมก็เลยคิดด้วยความเป็นตัวตนว่า ถ้าอยากจะทำให้สัญญามั่นคง จะต้องเป็นตัวตนที่มีการฟังให้มากขึ้นในเชิงปริมาณหรือเปล่า เรียกว่าท่องจำ
ท่านอาจารย์ คิดแบบนี้อัตตสัญญามั่นคง เพราะว่าสัญญามี ๒ อย่าง อัตตสัญญาจำว่ามีเรา จะต้องทำให้มั่นคง กับอนัตตสัญญา สัญญาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่เมื่อมีปัจจัยก็เกิดได้ ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด อย่างการฟังมาตลอด ก็แสดงว่ามั่นคงที่จะฟัง จึงฟัง แสดงอยู่แล้ว ไม่ใช่เราเลย แต่เพราะมั่นคงที่รู้ว่า ความเข้าใจมาจากการฟัง เพราะฉะนั้นฟังเข้าใจขึ้นๆ ความเข้าใจว่าเป็นอนัตตาก็มั่นคง แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผ่านมาในสารสารวัฏฏ์ อัตตสัญญามั่นคงเหลือเกิน กับอนัตตสัญญาที่กำลังฟัง เริ่มเข้าใจ ไม่เปลี่ยน แต่แล้วก็ลืมบ่อยๆ ก็แสดงว่ายังไม่มั่นคงเท่ากับอัตตสัญญา
ผู้ฟัง ทุกครั้งที่ถึงวันเสาร์รู้สึกว่า เราตัดสินใจไม่ถูก ระหว่างที่เราจะไปมูลนิธิดีหรือว่า เพราะภรรยาเขาอยากจะไปซื้อสินค้า
ท่านอาจารย์ อะไรเกิดขึ้น แสดงว่าอะไรมั่นคง จึงเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เราจะไปรู้ก่อน แต่ปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดนั่นแหละ เป็นเครื่องแสดงว่าอะไรมั่นคง บางคนเขาก็ลังเล แสดงความลังเลให้เห็นชัดเลย จะเลือกอย่างไหน ในที่สุดก็เลือกอย่างหนึ่ง แสดงว่ามั่นคงที่จะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เขาเลือก แต่ยึดถือว่าเป็นเขาที่เลือก แต่สิ่งที่เลือกแล้วนั่นแหละเป็นความมั่นคงของสิ่งนั้น ทำให้เลือกสิ่งนั้น และเข้าใจว่าเราเลือก แต่ความจริงไม่ใช่
เพราะฉะนั้นถ้าจะไปห้างสรรพสินค้า ก็ไม่มั่นคงที่จะฟังธรรม ไม่ใช่มีเราจะต้องไปทำอะไรเลย เป็นเครื่องพิสูจน์ชัด เพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้จริงอย่างนั้น ค่อยๆ เริ่มมั่นคง ที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ว่าพอเราไปบังคับตัวเอง ทำแล้วก็ดีใจว่าเราบังคับได้ นั่นคือไม่มั่นคงในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นคนสับสนและเข้าใจผิด คิดว่าถ้าบังคับให้ทำอย่างนี้ได้ถือว่าดี แต่เขาลืมว่าไม่มีทางที่จะรู้ว่าเป็นอนัตตา กับการที่อกุศลเกิด มีใครอยากให้อกุศลเกิดบ้าง และอกุศลก็แรงด้วย ก็เกิดแล้วไม่ใช่หรือ จะไปทำอะไรกับสิ่งที่มีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนั้น แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา นี่คือปัญญาที่อบรมแล้ว ไม่ใช่ไปพยายามดับ ไม่ใช่พยายามฝืน ไม่ใช่พยายามไม่ให้เป็นอย่างนั้น นั่นคือพยายามสักเท่าไร ก็ไม่พ้นอำนาจของกิเลสคือโลภะและความติดข้องในความเป็นเรา
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งซึ่งต้องละเอียดว่า ปัญญาเข้าใจได้ถ้าอบรม ถ้ายังคงขวนขวายพยายามที่จะไปกดบีบบังคับไม่มีอกุศลเกิดขึ้น ไม่มีทางสำเร็จไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ แต่ขณะนั้น ความเป็นตัวตนทำให้รู้สึกดีใจ ว่าเราบังคับได้ เราทำได้ แต่ขณะใดก็ตาม สะสมความเห็นถูกว่า ธรรมบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น เกิดแล้วให้เห็นความเป็นอนัตตา ซึ่งยากกว่าการที่จะทำด้วยความเป็นตัวตน เพราะให้เห็นว่าเป็นอนัตตา แม้เดี๋ยวนี้ เห็นหรือไม่ ไม่ต้องไปถึงปัญหาเฉพาะหน้า หรือไม่ต้องไปถึงอะไรเลยทั้งสิ้น ขณะไหนทั้งสิ้น เป็นอนัตตาทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าสะสมอบรมจนกระทั่งมั่นคงจริงๆ ไม่หวั่นไหวเลย เพราะว่าอกุศลเกิดนิดเดียวดับแล้ว แต่ปัญญาก็ไม่รู้ แล้วก็มีความเป็นตัวตนไปบังคับ กับการที่รู้ความจริงว่า อกุศลไม่ว่าจะแรงสักเท่าไร เกิดแล้วดับแล้ว ปัญญาที่สามารถละอกุศลที่แรงนั้น รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ก็จะค่อยๆ นำไปสู่ความถูกต้องที่มั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นการที่ต้องละเอียด แล้วก็รู้ประโยชน์จริงๆ ว่า ไม่ใช่ไปบังคับและดีใจด้วยความเป็นตัวตน แต่ปัญญาต่างหากที่สามารถที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ถ้าเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ อย่างอื่นนอกจากนั้น ปัญญาก็ค่อยๆ รู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งทั่วในชีวิตประจำวันปกติตามความเป็นจริง
นี่เป็นความละเอียด ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าเห็นความลึกซึ้งเมื่อไร ก็เห็นว่าหนทางที่จะดับกิเลสลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าอริยสัจจธรรมลึกซึ้งทั้ง ๔ ทั้ง ๔ นี่ก็รวมหนทางที่จะทำให้รู้อริยสัจจ์อื่นๆ ด้วย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
