ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793


    ตอนที่ ๗๙๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ แต่ว่าขณะนั้นการฟัง จากความเข้าใจที่เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ก็จะเริ่มมีขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจเห็น ไม่มีใครไปทำเลย และสภาพที่เริ่มเข้าใจคือรู้ที่ตรงเห็นคือสติ เพราะฉะนั้นคำว่าปัฏฐานะ สติในขณะนั้นระลึกรู้อะไร สิ่งนั้นเป็นที่ตั้งที่สติกำลังระลึกรู้ เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานที่ตั้งที่จะให้สติเกิดระลึกรู้ คือทุกอย่างที่มีจริงไม่ต้องเลือก แล้วแต่ว่าสติขณะนั้นมีปัจจัยที่จะเกิดรู้อะไร เกิดแล้วรู้ทันที ใครไปทันเลือก มีใครที่ไหนไปเลือก ถ้าเลือกก็คือผิด ถ้าจะบอกให้กำหนดที่นั่น รู้ที่นี่ ไม่ใช่ปัญญาเป็นเราต่างหาก ไม่ได้รู้ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม นี่คือเข้าใจคำว่าปัฏฐาน เพราะฉะนั้นสติสามารถที่จะเริ่มเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้เฉพาะตรงเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เมื่อถึงเวลาที่ปัญญาไม่ใช่เรา ที่เข้าใจแล้วเป็นปัจจัยให้ขณะนั้นเริ่มเข้าใจทันทีที่เกิด ไม่ต้องไปนำให้สติเกิด หรือไปจูงใจให้สติเกิด หรือไปพยายามให้สติเกิด และขณะนั้นที่ใช้คำว่าตามรู้ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ จะห่างมากเลย เหมือนคนเดินข้างหน้า แล้วเราเดินตามใช่ไหม แต่สติเร็วกว่านั้น ตามรู้คือเกิดแล้วทันที ระลึกทันที รู้ตรงนั้นทันที ขณะนี้มีแข็งกำลังปรากฏไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ รู้ที่แข็งหรือเปล่า

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่ถูกถาม รู้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ แต่พอถามแล้วรู้ที่แข็งไหม

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ เป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า ความตรงอยู่ตรงนี้

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็น ทุกคนก็มีสติปัฏฐาน ถามใครว่ารู้แข็งไหม เขาก็ตอบว่ารู้ ขณะที่รู้ขณะนั้นมีแข็งกำลังปรากฏให้รู้ว่าแข็ง ทุกคนตอบได้ เด็กก็ตอบได้ ถามเด็กว่าแข็งไหม เด็กก็ตอบว่าแข็ง เหมือนคุณชัยยงค์ถูกถามเมื่อสักครู่นี้ใช่ไหม ขณะที่แข็งปรากฏต้องมีสภาพที่รู้แข็ง จะกล่าวโดยชื่อก็คือจิตธาตุรู้ขณะนั้นไม่ได้รู้อย่างอื่นแต่รู้แข็ง ถ้าจะกล่าวเพิ่มขึ้นกายวิญญาณ ถ้าจะพูดภาษาบาลี สภาพรู้นั้นอาศัยกายปสาท ถ้าไม่มีกายปสาท แข็งปรากฏไม่ได้เลย เพราะแข็งต้องกระทบกายปสาทเท่านั้น กระทบอื่นไม่ได้ แข็งกระทบตาไม่ได้ กระทบจักขุปสาทไม่ได้ กระทบหูไม่ได้ เพราะฉะนั้นแข็งจะกระทบได้เฉพาะกายปสาท เพราะฉะนั้นถ้าขณะใดก็ตามมีธาตุรู้ ซึ่งอาศัยกายปสาท เกิดขึ้นรู้แข็ง ขณะนั้นเป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น นี่ถูกต้อง ใครๆ ก็รู้แข็ง เพราะเป็นธรรมดาธรรมตา สภาพธรรมที่สามารถกระทบกัน แข็งกระทบกายปสาท เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เดี๋ยวนี้เกิดขึ้นรู้แข็ง แต่ไม่ใช่สติไม่ใช่ปัญญา ไม่มีความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น แล้วจะเป็นสติปัฏฐานได้อย่างไร นี่เป็นความเข้าใจของแต่ละท่านเอง เมื่อเข้าใจถูก ประโยชน์สูงสุดคือไม่เข้าใจผิด ไม่หลงผิด และเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้สามารถเข้าใจความต่างของกายวิญญาณคือธาตุรู้หรือจิตที่รู้แข็งธรรมดาปกติ กับขณะนั้นเป็นสติและปัญญาซึ่งตามรู้ หลังจากที่จิตรู้แข็งหรือแข็งปรากฏแล้ว มีแข็งปรากฏให้รู้ธรรมดา แต่เพราะปัญญาที่ได้ฟังมา จนกระทั่งถึงพร้อมด้วยการที่จะเข้าใจแข็งขณะนั้นว่า เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้า ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏว่ามีจริงๆ คือแข็ง ไม่ใช่ขาเรา ไม่ใช่นิ้วเรา ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ แต่เป็นสิ่งที่มีปรากฏว่ามี และยิ่งกว่านั้นถ้าไม่ลืมคำที่เคยได้ฟังตั้งแต่ต้น แข็งต้องเกิด ไม่ใช่ว่ามีแข็งอยู่แล้ว

    เพราะฉะนั้นบางคนอาจจะเข้าใจว่า ขณะนี้มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีไมโครโฟนใช่ไหม มีอยู่แล้ว และเราก็ไปกระทบสัมผัสก็รู้ในลักษณะที่แข็ง นั่นคือยังมีความเป็นตัวตน และมีความเป็นเรา ที่เข้าใจว่ามีไมโครโฟน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏความแข็งเลย แต่อัตตสัญญาความจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เคยหายไปเลย เพราะว่ากี่แสนชาติมาแล้วที่ไม่เคยรู้ความจริง และจำผิดเป็นสัญญาวิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไปจำสิ่งที่เพียงแข็งว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงก็คือ อัตตสัญญา สิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าจะได้ฟัง เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความเข้าใจจริงๆ จนกระทั่งปัญญาไม่ใช่เรา สามารถที่จะรู้ความต่างของการรู้ด้วยสัญญาจำไว้ การรู้ด้วยวิญญาณขณะที่สภาพนั้นปรากฏ หรือว่าการรู้ด้วยปัญญาต่างกันมาก

    เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะเป็นผู้ตรง และเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่ทรงแสดงธรรมไว้โดยละเอียดยิ่ง แค่เผินๆ สัตว์โลกก็เข้าใจผิด ไม่สามารถที่จะมีที่พึ่งได้ แต่เพราะเหตุว่าทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง ทั้งมิจฉามรรค และสัมมามรรค มิจฉาสติ สัมมาสติ อกุศลศีล กุศลศีล ทรงแสดงทั้งหมด สำหรับให้ศึกษาให้เข้าใจ เพื่อที่จะได้ไม่หลงผิดไม่เข้าใจผิด เพราะฉะนั้นขณะนี้คุณชัยยงค์ก็มีความเข้าใจถูกต้องว่า เพียงแค่รู้แข็งไม่ใช่สติปัฎฐาน

    ผู้ฟัง เพียงแต่ว่าเรารู้ทางกายวิญญาณ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา ธาตุรู้เกิดขึ้น และก็รู้สิ่งที่เกิดและก็ดับด้วย แต่ว่าการเกิดดับยังไม่ปรากฏ เพราะปัญญาไม่ถึงการที่จะละคลายว่า เป็นแต่เพียงธรรมที่ปรากฏ ขณะนี้ทั้งหมดเลย แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง สติปัฎฐานสามารถที่จะเกิดได้เมื่อมีความเข้าใจ แต่อีกคำหนึ่งของคุณชัยยงค์ก็คือสติสัมปชัญญะ นี่แสดงความต่าง เราคิดถึงแข็ง ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้แข็งใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความเป็นอนัตตาขณะที่แข็งกำลังปรากฏ ต้องเป็นสัมปชัญญะรู้ในขณะที่สภาพนั้นมีจริงๆ นี่คือสติสัมปชัญญะไม่ใช่เพียงแค่คิด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์อธิบายใหม่

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็นมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ นี่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะต้องเริ่มที่เห็นและเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็พร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ตรงเห็น ไม่ใช่ตรงอื่นเลย ไม่ว่าจะพูดถึงอะไร อย่างเสียงกับได้ยิน ดับแล้วไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่คิดถึงเสียง และคิดถึงสภาพที่ได้ยินว่าเป็นธาตุรู้ ต้องในขณะที่กำลังได้ยินจริงๆ การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากของสภาพธรรมทั้งหลาย ปรากฏเป็นนิมิตตะให้สามารถรู้ได้ เพราะฉะนั้นมีคำว่า รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต หมายความว่าทุกอย่างในขณะนี้เกิดดับ เพราะฉะนั้นใครจะไปรู้เพียงหนึ่งได้ แต่เพราะเกิดดับอย่างรวดเร็ว จึงปรากฏเป็นนิมิตตะของรูป รูปนั้นรูปเดียว เวทนาความรู้สึกนั้นอย่างเดียว ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ก็ตามแต่ สังขาร ๕๐ แต่ละหนึ่งที่เกิดดับสืบต่อก็ปรากฏให้รู้ อย่างความโกรธอย่างนี้ เราคิดว่าเราโกรธ นานไหม หรือน้อยมาก

    ผู้ฟัง นาน

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงเกิดดับไหม โกรธเกิดดับใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียงแค่หนึ่ง จะปรากฏไหม ลักษณะที่เป็นความโกรธให้รู้ แต่ถ้ามาก หลงลืมไปแล้ว กว่าจะรู้ว่าลักษณะที่โกรธนี่เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าหลายขณะของความโกรธ ซึ่งเกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตของความโกรธให้รู้ได้ ยิ่งฟังยิ่งเริ่มเห็นความละเอียด และเข้าใจขึ้นว่า นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้แสดงลักษณะของจิตหนึ่งขณะที่เกิด ขณะนั้นเป็นจิตชาติอะไร เป็นเหตุคือเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล หรือว่าเป็นผลของกรรม ซึ่งเป็นเหตุเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก หรือว่าไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่อกุศลไม่ใช่วิบากแต่เป็นกิริยา

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นคำที่นำมาซึ่งปัญญา นี่คือมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยไม่ได้มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีพระธรรมเป็นที่พึ่งให้ได้เข้าใจถูกต้องด้วย จนกระทั่งสามารถที่จะถึงความเป็นสังฆรัตนะ คือเป็นพระอริยสงฆ์สาวก เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดของการฟังแต่ละครั้งคือเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็เสียเวลาหมดเลย นานเท่าไหร่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้ามีความเข้าใจขึ้น ประโยชน์คือได้เข้าใจสิ่งซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ แต่เพราะอาศัยการฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ที่จะไม่คิดเอง ไม่เอาประสบการณ์ ไม่เอาขบวนการ ไม่เอาอะไรๆ ทั้งหลายเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะว่าไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เป็นเรื่องราวเป็นคำที่ไม่รู้จักทั้งหมด แต่ว่าทุกคำที่พูดขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจได้ ก็เป็นความต่างกันของคำที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับคำของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น มนุษย์หรือเทวดาหรือพรหมก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายสติสัมปชัญญะอีกครั้งหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีแข็งไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ กำลังพูดว่ามีแข็ง แข็งปรากฏหรือเปล่า หรือเพียงพูดว่ามีแข็ง

    ผู้ฟัง แข็งปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่แข็งปรากฏ จะพูดว่ามีแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าขณะที่พูดว่าแข็ง แข็งปรากฏหรือเปล่า ความละเอียด มาถึงคำพูด

    ผู้ฟัง แข็งเกิดไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ที่พูดว่าแข็ง นึกถึงแข็ง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะที่แข็งกำลังปรากฏ ไม่ต้องพูด ถ้าพูดเมื่อไหร่ขณะนั้นแข็งไม่ได้ปรากฏแล้ว ดับแล้วเร็วมาก เพราะฉะนั้นที่จะรู้สติสัมปชัญญะคือไม่ต้องพูด แข็งปรากฏ กำลังเข้าใจแข็ง ไม่ใช่เพียงปรากฏเหมือนอย่างก่อนที่ฟังธรรม เด็กๆ ก็ตอบได้ว่าแข็ง ใครก็ตอบได้ว่าแข็ง แต่คนที่ฟังธรรมแล้วสามารถที่จะรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นเป็นสติสัมปชัญญะหรือเป็นเพียงการรู้แข็ง นี่คือปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาละเอียดมากเริ่มตั้งแต่ฟัง ฟังแล้วรู้ความลึกซึ้งของธรรม นี่คือปัญญา ฟังแล้วรู้ว่าเป็นอนัตตา นี่คือปัญญา ฟังแล้วรู้ว่าไม่ใช่เราเลยสักอย่างที่จะต้องไปทำอะไร นั่นคือปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้เพียงรู้ว่าถ้าไม่ฟังก็ไม่เข้าใจ นี่ก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีปัญญา จะบอกว่าไม่ต้องฟังพระพุทธพจน์ ไม่ต้องศึกษา ปฏิบัติเลย ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ แต่ปฏิบัติอะไร ใครเป็นคนบอกให้ปฏิบัติ คนนั้นรู้กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ และผู้ฟังมีปัญญาอะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีความรู้สึกว่า ถ้าดับเกิดได้แล้ว ทุกข์จะมาจากไหน จะดับเกิดได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็คือว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย ไม่มีทุกข์นี่แน่นอนใช่ไหม แต่ก็ยับยั้งการเกิดไม่ได้ เพราะมีเหตุที่จะให้เกิด ที่เกิดมาเพราะไม่รู้ใช่ไหม หรือว่าพอเกิดก็รู้เข้าใจไปหมดเลย เกิดมาไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเพราะไม่รู้นี่แหละจึงเกิด ถ้ารู้จนกระทั่งสามารถที่จะดับเหตุที่จะให้เกิดจึงไม่เกิด

    ผู้ฟัง จะดับได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ รู้เหตุที่ให้เกิด จึงจะดับเหตุได้

    ผู้ฟัง ก็อยากให้ท่านอาจารย์อธิบาย

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เพราะไม่รู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แต่เพราะว่าไม่รู้อย่างนี้ ก็ยังต้องมีปัจจัยที่จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเมื่อไหร่ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูก แล้วก็ดับความไม่รู้ เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายดับความไม่รู้และกิเลสทั้งหมด จึงไม่มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่จะให้ผลต่อไป เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการเกิดอีกเลย ตอนนี้ก็ค่อยๆ ฟัง เป็นค่อยๆ รู้ขึ้นก่อน จนกว่าสามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่ถ้าไม่รู้ดับกิเลสไม่ได้แน่นอน เพราะว่าใครก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเกิดเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นปัญญาความเข้าใจจากการได้ฟังผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว และทรงแสดงหนทางว่าที่พระองค์สามารถจะดับกิเลสได้ เพราะได้อบรมเจริญปัญญาอย่างไรนานเท่าไหร่ ผู้ที่เป็นสาวกก็ไม่ต้องอบรมนานเท่านั้น เพราะว่าไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ถึงกาลที่สามารถที่จะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ และก็ดับเหตุได้ ยังดับไม่ได้แน่ ยังต้องเกิดต่อไป แต่เกิดดี ดีกว่าเกิดไม่ดี แต่ก็เลือกไม่ได้ แต่ว่าจากความเข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาก็นำไปในกิจทั้งปวง ปัญญาเห็นว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรเป็นประโยชน์ ปัญญารู้ว่าอะไรเป็นโทษเป็นสิ่งที่ไม่ควร เมื่อเห็นอย่างนี้ปัญญาจึงละ ค่อยๆ ละความไม่รู้จากการฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    สนทนาธรรมที่ เซอร์เจมส์รีสอร์ท จังหวัดสระบุรี

    วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

    ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสจะได้พบกับชมรมคนรุ่นใหม่ใฝ่ธรรม ทุกคำน่าคิด เพราะเหตุว่ามีคำว่าคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่จะต่างกับคนรุ่นเก่าอย่างไร แม้แต่ชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าได้เข้าใจตั้งแต่ต้นก็จะทำให้ได้เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ว่าคำที่เราพูด พูดแล้วรู้สึกว่าเป็นคำที่น่าฟังมากเลย ชมรมคนรุ่นใหม่ใฝ่ธรรม ต้องใฝ่จริงๆ แล้วก็คนรุ่นใหม่ต่างกับคนรุ่นเก่าอย่างไร ความจริงน่าคิด เพราะว่าถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ต้องใหม่กว่าคนรุ่นเก่าแสดงว่า ทุกคนเห็นว่าเก่าๆ ควรจะต้องปรับปรุง หรือว่ามีอะไรที่ดีขึ้น ใช้คำว่าคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นถ้าคนรุ่นใหม่ เป็นชมรมที่จะทำให้ดีขึ้นในความเป็นคนรุ่นใหม่ ก็ต้องรู้ว่าต่างจากคนรุ่นเก่าอย่างไร คนรุ่นเก่าไปวัด คนรุ่นใหม่ไม่ได้ไปวัดใช่ไหม หรือใครไปบ้าง ใครไปบ้าง หลายคนก็ตอบว่าไปวัดทำบุญ แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจละเอียดจริงๆ ที่จะสนทนากัน เพราะว่าประโยชน์ของการได้พบกันได้สนทนากัน ควรจะเป็นสาระจริงๆ มิฉะนั้นแล้วก็คือว่าเหมือนสนทนาทั่วๆ ไปทั้งวันทุกวัน แล้วก็สาระคืออะไร

    เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ จากการที่จะได้สนทนากัน ก็ควรจะเป็นสาระ คือให้รู้ว่าคนรุ่นเก่าเป็นอย่างไร จึงต้องมีคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ธรรม เพราะฉะนั้นแต่ก่อนนี้ก็มีคนที่ไปวัด แต่ว่าไปทำอะไรที่วัด แล้วก็ตอบได้ไหม ที่จากเก่าจะต้องเป็นไหม คือถ้าคนรุ่นเก่าไปวัดแต่ไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่เห็นประโยชน์ว่า ไม่ควรแต่ไปวัดแล้วไม่ได้อะไร เพราะว่าถามคนที่ไปวัดแล้วกลับมาบ้านได้อะไร ไปกราบพระไปสวดมนต์ไปทำบุญ แล้วธรรมคืออะไร ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ เราจะไม่เผินเลย เพราะเหตุว่า เราเกิดมาในโลก เป็นเวลาที่มีค่าที่สุด ซึ่งต่างกับชีวิตในโลกนี้ ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ ฟังอะไรก็ได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ แต่การเป็นมนุษย์สามารถที่จะได้ยินได้ฟังเข้าใจและก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จักสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ไม่ใช่เราเกิดมากิน มาเล่น มาเที่ยว มานอน มาสนุกสนาน แล้วก็จากโลกนี้ไป สาระอะไรที่ได้จากโลกนี้มีหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ธรรมก็น่าอนุโมทนาชื่นชมในคำนี้มากเลย แต่ก็ขอให้เป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ ที่ใฝ่ธรรมจริงๆ คือไม่ใช่เพียงแต่ไปที่ไหนก็ไปกัน แต่ว่าประโยชน์แท้จริงอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นสำหรับวันนี้ก็มีโอกาสที่จะได้สนทนากัน เป็นการสนทนาเบาๆ สบายๆ ไม่ใช่เคร่งเครียดอะไรเลย เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แม้แต่คำเดียว คำว่าธรรม แต่ว่าได้ยินหลายคำ เช่น พระรัตนตรัย รัตนะคือสิ่งที่ประเสริฐสุดมี ๓ คือ พระพุทธรัตนะหนึ่ง พระธรรมรัตนะหนึ่ง พระสังฆรัตนะหนึ่ง มีใครไม่รู้จักพระพุทธรัตนะบ้างไหม ทุกวัดและสถานที่อื่นๆ ก็มีพระพุทธรูป แต่พระพุทธรูปไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพียงแต่เป็นเครื่องที่จะทำให้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าเคยได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ณ กาลครั้งหนึ่งในอดีตซึ่งไม่ใช่ชาตินี้หรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่คนไทยที่อยู่เมืองไทย ก็มีโอกาสที่จะได้รู้จักพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ซึ่งใช้คำว่าพระรัตนตรัย แต่ว่าเผินมาก เพียงชื่อ เพราะว่าเพียงแต่เห็นพระพุทธรูปก็บอกว่านี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ แล้วก็กราบพระพุทธรูป แต่ว่าไม่รู้พระคุณที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณพระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณคือการตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง และถ้าศึกษาในพระไตรปิฎก ก็จะได้เห็นข้อความที่ว่าเทพก็มาเฝ้า พรหมก็มาเฝ้า ไม่ว่าในจักรวาลไหนที่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม เพราะว่าบนสวรรค์ก็มีการฟังธรรมด้วย แต่ในโลกมนุษย์ก็มีโอกาสที่จะได้ฟัง แต่ว่าถ้าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ก็เพียงแต่เข้าใจว่าฟังธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะชื่อว่าเข้าใจธรรมหรือเปล่า หรือว่าชื่อว่าฟังธรรมหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำละเอียดมาก เพราะสามารถที่จะตอบคำถาม หรือปัญหา หรือว่าสิ่งที่ข้องใจได้ทั้งหมด แต่ก่อนอื่นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธรูป พระพุทธรูปเป็นแต่เพียงสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงพระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้ทุกอย่าง โดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง ที่ทำให้พระองค์บริสุทธิ์จากกิเลส ไม่มีกิเลสเหลือเลย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ที่ดับกิเลสแล้ว แล้วก็ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้คนอื่นได้ฟังตลอดเวลาก่อนที่จะปรินิพพาน รวมทั้งหมดก็ประมาณ ๔๕ พรรษา และก็จารึกไว้เป็นพระไตรปิฎก ซึ่งคนในครั้งนั้นได้บำเพ็ญบุญกุศลปัญญาบารมีความเข้าใจเมื่อมีโอกาสที่จะได้เห็นพระรูป ได้ฟังพระเสียงก็สามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นความต่างกันของยุคสมัยก็คือว่า คนในสมัยพุทธกาลอบรมปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ฟังจากพระโอษฐ์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    11 พ.ค. 2568