ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
ตอนที่ ๘๐๓
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ มีคนที่เปรียบเทียบเมื่อได้เข้าใจธรรมจากการที่ได้ฟังว่า ไม่ว่าเป็นโลกนี้ทั้งโลก ผู้ที่กำลังฟังธรรมแล้วเข้าใจธรรม เหมือนกับปลายเข็มที่จรดลงที่แผ่นดิน ก็ลองคิดดู ขณะนี้โลกกำลังคิดเรื่องอะไรกัน ทำอะไรกัน แต่จุดนี้ ตรงนี้ ก็ยังมีการได้ยินได้ฟังธรรม ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่ง่ายแน่นอน ถ้าใครคิดว่าธรรมง่าย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร เคารพใคร พระองค์จะตรัสสอนง่ายๆ ไม่ต้องเข้าใจอะไรเลย เพียงแต่ไปนั่งทำ ไม่มีเลยในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะรู้ว่า ต้องเป็นปัญญาของผู้ฟัง จะอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจแต่ละคำคืออะไร เพราะความลึกซึ้งของสิ่งที่ทรงแสดงถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ลึกซึ้งมาก จนกระทั่งผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจ ค่อยๆ เห็นความลึกซึ้ง ค่อยๆ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมียากมากทุกอย่าง เพื่อที่จะได้รู้ความจริง ซึ่งทุกคนไม่ต้องบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะนี้กำลังบำเพ็ญบารมีที่จะได้เป็นสาวก คือผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็เข้าใจ
เพราะฉะนั้นไม่ประมาทที่คิดว่ารู้แล้ว ก็จะได้สนทนากันว่ารู้แค่ไหน รู้ถูกหรือรู้ผิด เพราะความเห็นก็มี ๒ อย่าง ความเห็นผิดกับความเห็นถูก สิ่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ตรงตามเหตุและผล ถ้าสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามเหตุผลเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้ว่าสิ่งใดจริง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่พูดแล้วไม่เป็นไปตามที่ได้ฟัง หรือลวงให้เห็นว่าเป็นอย่างอื่น ต้องเป็นผู้ที่ตรงในการศึกษาธรรม แล้วก็จะได้สาระจากพระธรรม เป็นสัจจบารมี
อ.คำปั่น เหมือนกับว่าอยู่กับธรรมตลอด มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่เห็นความเป็นจริงของธรรมที่ลึกซึ้งนั้นเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้กำลังเห็นหรือเปล่า เห็นไหมสิ่งที่มีจริง เรื่องจริง ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นเป็นเห็น จะมีเห็นไหม ชัดเจนใช่หรือไม่ และเห็นแล้วก็ดับไปเพราะมีสิ่งอื่น เช่นได้ยิน ขณะที่ได้ยินก็ไม่ใช่ขณะที่เห็น แล้วเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดแล้วดับเลยทันที แต่สืบต่อปรากฏเหมือนไม่ได้ดับเลย เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ลึกซึ้งไหม จริงหรือเปล่า เป็นเหตุเป็นผลหรือไม่ มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้บ้าง เสียง เมื่อสักครู่ไม่มีเลย แล้วเสียงก็ปรากฏว่ามีเสียง เสียงมีจริงๆ เมื่อได้ยินเกิดขึ้น ลึกซึ้งหรือไม่ ใครทำได้ ไม่มีใครทำได้ จึงน่าอัศจรรย์ ซึ่งมีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนี้เกิดโดยไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่มี สิ่งที่อาศัยกันเกิดขึ้น ทำให้ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะทางตาหรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชีวิตประจำวันจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด คุณคำปั่นและหลายๆ คนคงได้ยินคำนี้บ่อยๆ ใช่ไหม เห็นต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีเห็นได้อย่างไร ได้ยินอย่างนี้กี่ปีแล้ว
อ.คำปั่น สิบกว่าปีแล้วในชาตินี้
ท่านอาจารย์ แล้วต่อไปอีก อีกกี่ปี
อ.คำปั่น เมื่อเห็นประโยชน์ก็ฟังต่อไป
ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าความไม่รู้มากแค่ไหน บางคนก็ใจร้อนมากเลย ได้ยินอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร แล้วจะรู้อย่างนี้ได้อย่างไร ไม่หมดความเป็นตัวตนด้วยความติดข้อง ตกหลุมของโลภะ ของความเป็นตัวตน ล้อมรอบทุกขณะที่จะก้าวไปพลาดและผิดจากพระธรรมคำสอน ซึ่งทรงแสดงความจริงไว้ว่าเป็นอนัตตา
พระโพธิสัตว์ต้องเคยฟังพระธรรมมาแล้วในชาติก่อนๆ แต่ไม่เคยคิดว่าจะทำอย่างไร จะรู้เร็วๆ จะหมดกิเลสเร็วๆ แต่คนสมัยนี้ฟังอย่างนี้ อยากหมดกิเลสมาก ฟังมาสิบปียี่สิบปี เห็นก็เห็น แล้วก็ฟังว่า เห็น ไม่ใช่เราเลย เป็นสภาพที่รู้ เกิดขึ้นเห็น คือกำลังรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างนี้เดี๋ยวนี้ เพียงหลับตาไม่ปรากฏ แค่ลืมตาปรากฏได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้มากมาย เพราะเราเห็นมาทั้งวันเท่าไรแล้ว กี่ครั้งนับไม่ถ้วน แค่วันนี้วันเดียว แล้ววันหลังๆ วันก่อนๆ ตั้งแต่เกิดและชาติก่อนๆ ก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นเพียงฟังแค่นี้ โลภะกับความไม่รู้ ความติดข้อง ความต้องการก็คิดแล้ว ทำอย่างไรถึงจะรู้สักทีว่า เห็นขณะนี้ ไม่ใช่เรา ทำอย่างไรมาแล้ว เรามาแล้ว ตัวตนมาแล้ว ความเห็นผิดมาแล้ว ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าคิดว่ามีหนทางอื่น นอกจากปัญญาของตนเองต้องมีก่อนตามลำดับด้วย คือตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นฟัง ฟังแล้วพิสูจน์พิจารณาว่าจริงหรือไม่ มีเห็นจริงๆ แต่เห็นก็ไม่เห็นตลอดไป เห็นเมื่อวานนี้หมดไปแล้ว เห็นเมื่อเช้านี้หมดไปแล้ว เห็นเมื่อสักครู่นี้ก็หมดไปแล้ว และเห็นที่จะเกิดขึ้นเห็นก็ต้องหมดไป ไม่มีเห็นไหนซึ่งไม่หมด
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมจึงต้องมั่นคงเป็นสัจจญาณก่อน จากปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธะ หรือจากสัจจญาณ เป็นกิจจญาณ และก็เป็นกตญาณ ทรงแสดงไว้โดยตลอดโดยประการทั้งปวง ไม่ให้ผิด ไม่ให้พลาด เพราะทางที่จะหลงมีมากเหลือเกิน เหมือนอยู่ในป่าและอยู่ในความมืดด้วย จะออกจากป่าได้อย่างไร ป่ากิเลสทั้งนั้น มืดด้วยอวิชชามากมาย แค่ป่าตอนเย็นก็ยากแล้วใช่ไหม นี่มืดสนิท แล้วป่ากว้างใหญ่ขนาดไหน หลงอยู่นั่นแหละ ไปถึงไหนเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ก็หลง เพราะไม่มีปัญญาคือแสงสว่าง ที่จะรู้ว่าหนทางที่จะออกจากป่ากิเลส ซึ่งมีมามากมายในสังสารวัฏฏ์ จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่หนทางของคนอื่นเลย และไม่ใช่มีหลายทางด้วย ทางเดียวคือปัญญาที่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย
ขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจถูกว่า ต้องไม่ใช่เรา ที่จะสามารถทำอะไรได้ เพราะว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ละเอียดมาก เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป กว่าจะละคลายการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะสภาพธรรมก็กำลังเกิดดับ แต่ความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงมั่นคง ไม่สามารถที่จะเห็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับอยู่ขณะนี้ได้
เพราะฉะนั้นขันติบารมี มีหรือไม่ แล้วอย่างไร จะไปทำอะไรที่ไหน จะไปขันติอะไร แสดงเห็นว่าไม่เข้าใจแม้แต่คำว่า ขันติ สิ่งที่กำลังปรากฏเกิดดับ ขันติคือใครรู้ ไม่ใช่เรา ฟังเข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายความติดข้องทีละเล็กทีละน้อย และปัญญานั่นเองก็มั่นคงว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจขึ้น ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นฟังธรรมวันนี้ ก็คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง อีกกี่กัปป์ข้างหน้าก็แล้วแต่ ชาติหน้าจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่ฟังชาตินี้ แค่ชาติหน้า ถ้าเป็นผู้ที่ตรงไม่มีทาง เพราะไม่ใช่รู้อื่น รู้เห็นที่กำลังเห็น รู้เสียงที่กำลังปรากฏ รู้คิด รู้ทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมด ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ต้องอาศัยกาลเวลานานเท่าไรก็ไม่สำคัญ ในเมื่อมีจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ วันหนึ่งก็ต้องสามารถรู้ความจริงได้ แต่ต้องไม่ลืม บารมี ๑๐ บารมีคืออะไร คุณคำปั่นช่วยให้คำแปลด้วย เพราะว่าทุกคำควรจะได้เข้าใจ
อ.คำปั่น บารมีเป็นคุณความดี ที่จะทำให้ถึงซึ่งฝั่งแห่งการดับกิเลส ซึ่งเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงตัวอย่างหนึ่ง คือขันติบารมี เป็นความอดทน แม้ในการฟัง ก็ต้องอดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษา และก่อนหน้านั้นก็จะมีคำว่า สัจจบารมี ด้วย คือความเป็นผู้ตรง จริงใจในการฟังธรรม ฟังเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ไม่ได้เพื่อมุ่งหวังลาภสักการะสรรเสริญแต่ประการใด แต่ฟังเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวโดยสรุป ความหมายของบารมีก็คือ ความดีทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง ที่จะปราศจากปัญญาไม่ได้เลย ปัญญาก็เป็นบารมีประการหนึ่งด้วยก็คือปัญญาบารมี ในเบื้องต้นขอกล่าวเท่านี้ก่อน
ท่านอาจารย์ อกุศลไม่ใช่บารมี เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นจะเป็นบารมีที่จะทำให้หมดกิเลสไม่ได้เลย ความไม่รู้จะทำให้หมดกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นกุศล เพราะเหตุว่าถ้าขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเป็นกุศล และบารมีต้องเพิ่มอีกเท่าไร เพราะว่าละเลยทอดทิ้งให้สภาพธรรมเป็นอกุศลเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ถ้าเป็นบารมีหนึ่งบารมีใดใน ๑๐ บารมี เป็นกุศลทุกโอกาส ที่จะเป็นไปได้ ที่จะทำให้ขณะนั้น อกุศลไม่เพิ่ม ทำให้การที่จะเข้าใจธรรม สามารถที่จะให้อกุศลลดน้อยลงไป
เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่ามีหนทางเดียวจริงๆ คือฟังธรรม และขณะที่ฟังเข้าใจ ยากหรือไม่ ยาก เพราะฉะนั้นจะหมดกิเลสไหม โดยการไม่รู้อะไรเลย ไม่มีเหตุผลเลย เป็นไปไม่ได้เลย มิเช่นนั้นพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษาทำไม ทำไมมากมายอย่างนั้น เพราะรู้ว่าขณะนี้ทุกคนก็เห็น แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจเห็น มีความเป็นตัวตนที่ปิดบังไว้มานานว่าเราเห็น แล้วก็มีความพอใจในสิ่งที่เห็นก็มากมายมหาศาล
เพราะฉะนั้นที่จะสละ ละความติดข้อง และรู้ความจริงว่าเพียงแค่เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้ จะสวยงาม จะดีงาม จะเป็นอะไรก็ตามแต่ทั้งหมด เพียงแค่ปรากฏให้เห็นจริงหรือเปล่า ทุกคำ เมื่อไรก็คือเห็น แค่ปรากฏให้เห็น เพชรนิลจินดา แค่ปรากฏให้เห็น จะถือว่าเป็นของเรา ก็แค่ปรากฏให้เห็น จะมาอยู่ติดตัว ก็แค่ปรากฏให้เห็น เพราะว่าสิ่งนี้ก็คือว่ามีจริงๆ ชั่วขณะที่มีสภาพที่กำลังรู้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เหมือนกันหมดเลย
เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ประเพณีดั้งเดิมของชาวพุทธ มีมากมายหลายประเพณี รวมทั้งสิ้นที่เคยมีมาแล้วก็คือ ประเพณีไม่เข้าใจธรรม ถูกต้องหรือไม่ ทำประเพณีอื่นได้หมดทุกอย่าง แต่ทุกประเพณีนั้นไม่เข้าใจธรรม และควรหรือที่จะไม่ทิ้งประเพณีไม่เข้าใจธรรม เป็นประเพณีที่ถูกต้องคือ เริ่มเข้าใจธรรม มิฉะนั้นพุทธะหรือว่าชาวพุทธ หรือสาวกคือใคร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม แล้วก็มีแต่ประเพณี ประเพณีเหล่านั้นนอกจากจะไม่เข้าใจธรรมแล้ว ยังเสียเงินเสียทองมากมายโดยไร้ประโยชน์ เคยเห็นวัดสวยๆ สวยมาก เสียเงินเสียทองมากในการที่จะทำให้วัดนั้นสำเร็จ แล้วเดี๋ยวนี้ร้างเลย นานๆ ก็มีคนไปดูสักหน่อย ไปกราบไหว้ว่า วัดนี้วิจิตรมาก
เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็กำลังทำอย่างนั้นกันอยู่ พยายามที่จะแข่งขันสร้างสิ่งซึ่งคิดว่าเป็นประเพณีที่ดีงาม แต่ว่าทำเพื่ออะไร ในที่สุดก็ต้องจากไป ไม่ว่าที่ไหนลองไปดู ก็จะเห็นได้ว่าสร้างไว้เพื่ออะไร ต้องมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลใครที่จะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่นทำลายไม่ได้เลย นอกจากผู้ที่กล่าวว่าเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่านับถืออะไร ศาสนาคือคำสอน ถ้าไม่ฟัง ไม่เข้าใจ และนับถืออะไร
อ.คำปั่น ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงความจริง เกื้อกูลแก่ผู้ที่เป็นสาวก เพราะฉะนั้นพระสาวกทั้งหลายในอดีตก็ฟังพระธรรม ฟังความจริงที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด ก็ติดตามไปที่จะฟัง เพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นประเพณีที่ควรฟื้นฟู หรือว่าควรรักษาให้มั่นคงสืบต่อไปก็คือ การมีโอกาสได้ฟังธรรม สนทนาธรรม เพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าทั้งการฟังธรรม ทั้งการสนทนาธรรม ก็เป็นมงคล เป็นเหตุแห่งความเจริญ ก็คือเจริญขึ้นของปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก แล้วเมื่อปัญญาเจริญขึ้น คุณความดีทั้งหลายก็จะเจริญคล้อยตามปัญญาด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกท่านที่ฟังธรรม ต้องเป็นผู้ตรง จึงจะได้สาระ นอกจากความเป็นผู้ตรงแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่อาจหาญ กล้าที่จะรู้ว่าสิ่งใดที่ถูก คิดเองควรทำหรือไม่ เป็นประโยชน์หรือเปล่า ต้องตรง มิฉะนั้นก็จะไม่ได้รับสาระจากพระธรรมแน่นอน และเงินทองหายาก ถ้าเป็นประโยชน์จริงๆ ก็ใช้ในทางที่จะไม่ทำให้เสียของ หรือว่าเสียประโยชน์ แต่ว่าได้ประโยชน์มาก
ประโยชน์สูงสุดของพระพุทธศาสนาคืออะไร เห็นไหม ไม่ใช่สร้างวัด หรือสร้างอะไรต่างๆ แต่เข้าใจธรรม สร้างวัดสวยมาก เข้าใจธรรมหรือเปล่า แล้วสร้างทำไม สามารถจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่านั้นมากเลย แล้วก็สามารถเข้าใจธรรมด้วย แค่ฟัง ฟังแล้วเข้าใจ ชีวิตมีประโยชน์ทุกทาง ที่จะช่วยเหลือคนยากจน ช่วยเหลือในการศึกษา ช่วยคนป่วยไข้ ช่วยให้เขาได้เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่งมงาย พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกให้ใครไปที่หนึ่งที่ใด ไปสร้างสำนักเพื่อที่จะปฏิบัติธรรม ไม่มีในพระไตรปิฏกแน่นอน เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม สร้างอะไรตรงนี้ที่จะเข้าใจธรรม สร้างโบสถ์ตรงนี้หรือ หรือจะสร้างวิหารตรงนี้ จะได้เข้าใจธรรม ไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น ฟังด้วยความเคารพ ตั้งจิตไว้ชอบ ฟังเพราะรู้ว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ซึ่งลึกซึ้งและยากแต่ก็ไม่หวั่นไหว อาจหาญ อดทน เพราะรู้ว่าสามารถรู้ได้แน่นอน เพียงแต่ว่ายังไม่ใช่วันนี้ เพราะความเข้าใจวัดกันไม่ได้ ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี
แม้แต่พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต่างกัน ถ้าเป็นผู้ที่ถึงความแก่กล้าด้วยปัญญา ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ปัญญาปานกลาง บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้าเป็นผู้ที่ปัญญาอ่อนกว่าปัญญากล้า และปัญญาปานกลางก็ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ แต่พระสาวกทั้งหลายก็ไม่ถึงที่จะต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีด้วยความตรงและความจริงใจว่า ฟังธรรมยังไม่เข้าใจ แต่ก็มีสิ่งที่ได้ฟังที่จริง เช่นเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นฟังธรรมต้องรู้ว่า ฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม จนกว่าเป็นธรรมเมื่อไร คือค่อยๆ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นการที่จะเห็นแก่ตัวก็ลดน้อยลง จนกว่าที่จะดับกิเลสตามลำดับขั้นได้
อ.ธิดารัตน์ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ฟังธรรมจนกว่าจะเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเห็นถูกต้องว่าเป็นธรรม เมื่อไรที่เห็นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เห็นเป็นเห็น
อ.ธิดารัตน์ ต้องหมายถึงขณะที่ลักษณะของธรรมนั้นปรากฏกับปัญญา ถึงจะเห็นธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ตลอดเวลาเป็นธรรมหมดเลย ธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลยสักอย่างหนึ่ง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่โต๊ะ เพราะเหตุว่าทุกอย่างสามารถที่จะแตกย่อยจนละเอียด ทั้งหมดนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นชั่วคราวแล้วก็หมดไป หมดไป ดับไป หมายความว่าไม่เหลืออีกเลย เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง มีแต่สิ่งที่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นปรากฏ เล็กน้อยมากแล้วก็ดับไป แต่ไม่รู้
อ.คำปั่น กราบเรียนอาจารย์อรรณพสนทนาเพิ่มเติมนะครับ ว่า อะไรที่จะทำให้เป็นผู้หลงทาง แล้วจากที่เคยหลงทาง จะเป็นผู้ที่ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรนั้นได้ด้วยอะไร
อ.อรรณพ ทุกคนที่มีความไม่รู้ แล้วก็ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ก็เป็นผู้หลงทางทั้งสิ้น นอกจากความไม่รู้แล้ว ยังมีความเห็นผิดเกิดขึ้นด้วย ก็เป็นคนที่หลงทางแล้วก็เข้าใจผิด ส่วนปัญญาซึ่งเป็นความรู้ ก็จะตรงข้ามกับความเห็นผิด แล้วก็ตรงข้ามกับความไม่รู้ และเมื่อมีการอบรมความเข้าใจคือปัญญา สภาพธรรมฝ่ายดีต่างๆ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นสิ่งที่สงบ หรือนำไปสู่ความสงบ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็สนทนาถึงพระสัทธรรม พระสัทธรรมคือปัญญา ศรัทธา สติ วิริยะ ที่ถูกต้อง พร้อมความเข้าใจทั้งหลาย ซึ่งจะแสดงเป็น ๗ เป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็คือสภาพธรรมฝ่ายดี มีปัญญาเป็นประธาน ที่จะเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้ายังเกิดกับจิตของใครอยู่ คนนั้นก็ยังไม่อันตรธานไป ใช่ไหม แล้วก็เป็นหนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าเสพอสัทธรรมคือความเห็นผิด ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นอสัทธรรม ไม่สงบเลย แล้วก็นำไปสู่ความมีกิเลสมากมายมหาศาลยิ่งขึ้น
ท่านอาจารย์ ทุกคนฟังธรรมแล้วก็ไตร่ตรอง เป็นความจริงก็ต้องรับว่าเป็นความจริง อาจหาญที่จะรู้ว่าถูกหรือไม่ ควรจะเป็นอย่างนั้นต่อไปหรือเปล่า ไม่ต้องคำนึงถึงคนอื่น เพราะเราแก้ไขไม่ได้เลย ต้องตนเอง จากที่ไม่เคยเข้าใจธรรมเลย ก็ควรที่จะได้คิดว่า แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพื่อใคร เพื่ออะไร
แม้ว่า ๒,๕๐๐ กว่าปี ที่พระวิหารเชตวันผู้ที่ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ก็มีมาก แต่ทุกคำยังจารึกไว้ ยังสืบทอดมาให้เราได้ยินได้ฟัง เหมือนได้เฝ้าเฉพาะพระพักตร์ เพียงแต่ว่าเรามีความรู้ความเข้าใจที่สะสมมา พอที่จะเข้าใจความจริงของคำที่ทรงแสดงหรือเปล่า เพราะว่าทุกคำเป็นความจริง แล้วต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองจนกระทั่งความจริงนั้นถูกต้อง ไม่เปลี่ยนแปลง
ก่อนอื่นทุกคำต้องตั้งต้นว่า คืออะไร เมื่อสักครู่เราพูดว่าหลงทาง ใช่ไหม ทางคืออะไร อย่าเพิ่งไปไหนเลย แต่ละคำเป็นสัจวาจา วาจาสัจจะ ที่แสดงให้เห็นว่ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ทางคืออะไร แม้แต่หลงทางที่พูดกัน คืออะไรเพราะว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ายังไม่ได้ฟังพระธรรม พูดคำที่ไม่รู้จักทั้งหมด ไม่ว่าคำอะไร ลองยกขึ้นมาสักคำ ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร คำนั้นหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นหลงทางคืออะไร เพราะยังไม่รู้ว่าทางคืออะไร เพราะฉะนั้นก่อนอื่น หาทางที่จะไม่หลงว่าทางต้องมี เพราะฉะนั้นทางที่จะไม่หลง ทางคืออะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
