ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
ตอนที่ ๘๑๙
สนทนาธรรม ที่ มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก
วันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ต้องคิดไตร่ตรอง เพราะเหตุว่าจะต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง ถ้าเราฟังแล้ว ๒ ชั่วโมง ๒ เดือน ๒ ปี แต่ไม่เข้าใจอะไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นไม่ขึ้นอยู่กับว่าจะฟังน้อยฟังมาก แต่ขอให้เข้าใจแต่ละคำที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งขณะนี้ก็มีสิ่งที่มีจริงๆ และเราก็ไม่เคยได้ฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงเลย ต่อเมื่อไหร่ได้ฟังแต่ละคำของพระพุทธเจ้า จะรู้ว่าเป็นคำที่ลึกซึ้ง เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่จะยากไหม ลองคิดดู เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่คำของคนอื่น
เพราะฉะนั้นต้องต่างกับคำของคนอื่นทั้งหมด แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีคำของครูบาอาจารย์มากมาย แต่ก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ก็เห็นว่ามีผู้ที่มีโอกาสจะเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นจึงทรงแสดง เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร เราเป็นปุถุชน หมายความว่าคนที่ยังมีกิเลสมาก และยังไม่มีความเข้าใจอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่พระองค์ไม่มีใครเปรียบได้เลย ไม่ว่าสวรรค์เทพชั้นใดหรือพรหมชั้นใดก็ตาม มาเฝ้าเพื่อกราบทูลถามสิ่งที่แม้พวกพรหมเหล่านั้นทำกุศลจนกระทั่งเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้
ด้วยเหตุนี้แต่ละคำก็เป็นคำที่มีค่าอย่างยิ่ง เป็นธรรมรัตนะ ที่เรากล่าวว่าพระรัตนตรัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธรัตนะ เพราะทรงตรัสรู้ความจริง แต่ถ้าเรายังไม่ได้ฟังความจริงเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร รู้ความจริงอะไร ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นมีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจจนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเอง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมแต่ละครั้ง เพื่อเข้าใจธรรมคือคำที่ได้ฟังจริงๆ เป็นผู้ที่ตรงต่อตนเองและธรรมด้วย เพราะว่าข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า ผู้ที่เป็นผู้ตรงเท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ตรง เพราะเหตุว่าเป็นความจริงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เปลี่ยนไม่ได้เลยสักคำเดียว เป็นคำที่เมื่อตรัสไว้แล้วไม่เป็นสอง คือไม่เปลี่ยน จะเปลี่ยนได้อย่างไร เมื่อได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด
ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดง สามารถที่จะเข้าใจได้ทุกกาลสมัย แม้ในสมัยนี้เอง แต่ต้องรู้ว่า ลึกซึ้งแล้วยาก เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นเริ่มเข้าใจความจริงนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดงที่จะทำให้เข้าใจจนกระทั่งถึงการดับกิเลสได้ จึงเป็นธรรมรัตนะ พระรัตนตรัยมี ๓ พระพุทธรัตนะคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมรัตนะคือธรรมซึ่งน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าสามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่าปัญญา เพราะฉะนั้นคนไทยเราใช้คำนี้ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจว่า ปัญญารู้ความจริง แต่ว่าความจริงนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นจะเป็นประโยชน์มาก ถ้าเราได้ฟังแต่ละคำ แล้วก็พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจคำนั้นจริงๆ เช่น ปัญญารู้อะไร ถ้ายังไม่ฟังก็ยาก คนโน้นก็คิดว่าปัญญารู้อย่างนั้น ปัญญารู้อย่างนี้ ปัญญาสามารถที่จะสร้างสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนน่าอัศจรรย์ในแต่ละยุคสมัย แต่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักความสุขความทุกข์ เพราะคนที่มีความสามารถก็ยังมีทุกข์
เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ต่างกันมากกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผู้ใดที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว มีทุกข์ทุกขณะแต่ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สามารถที่จะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเป็นปุถุชนผู้ไม่รู้อะไรเลย ผู้มากด้วยกิเลส ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งละความไม่รู้ และก็ค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งกิเลสดับหมดไม่เหลือ นี่คือความน่าอัศจรรย์ยิ่งของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจากผู้ที่มีกิเลสมาก ไม่มีกิเลสเลยเมื่อได้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา ก็ยังมีจารึกในพระไตรปิฎก แต่ว่าคนที่อ่านออกเขียนได้ อ่านพระไตรปิฎกได้แต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการฟังและก็การไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจแต่ละคำ
เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เข้าใจความหมายของรัตนะทั้ง ๓ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธรัตนะ พระธรรมที่ทรงแสดงจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นธรรมรัตนะ และผู้ที่ดับกิเลสได้จริงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นพระสงฆ์สาวก แต่ต้องเป็นอริยสงฆ์ ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว จึงเป็นรัตนะเป็นสังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นที่เรากล่าวถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ต้องเป็นผู้ตรง ถ้าเรายังไม่เข้าใจพระธรรม เรายังไม่ได้พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้แต่กราบไหว้บูชา แต่บูชาอะไร เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรม เราบูชาชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาพระคุณที่มีผู้กล่าวว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้และดับกิเลสหมดแล้ว แต่เรายังไม่ได้เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรง ก็จะตรงกับข้อความที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระผู้มีพระภาคตรัสด้วยพระองค์เอง เพราะเหตุว่าความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่รูปร่างกาย ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นเจ้าชายในสกุลศากยะ แต่ว่าจากพระปัญญาคุณซึ่งสามารถที่จะรู้ความจริง ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลยในจักรวาลทั้งหมด เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระคุณนาม เพราะฉะนั้นก็จะได้เห็นว่า เพียงได้ยินชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกล่าวคำว่าขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ตรงกว่านั้นคือ พึ่งพระองค์ด้วยการฟังพระธรรม และเห็นคุณของพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณที่หมดจากกิเลส และพระมหากรุณาคุณ ถ้าไม่ตรัสคำสอนใดๆ คนอื่นไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ว่า ความจริงเป็นอย่างไร ซึ่งพระธรรมคำสอนสามารถที่จะรู้และเข้าใจได้ทุกกาลสมัย เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าที่ไหน ก็มีสิ่งที่มีจริง เราอาจจะบอกว่า มีคนมีสัตว์มีเทวดามีพรหมมีดอกไม้มีภูเขาไฟมีอะไรต่างๆ ถ้ารู้เพียงเท่านี้ ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทรงตรัสรู้ละเอียดยิ่งกว่านั้นลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ถึงทีละหนึ่งของสิ่งที่มีจริง เช่น ขณะนี้เห็นมีจริงๆ ใครเคยรู้ความจริงของเห็นบ้าง เป็นเราเห็นมานานแสนนาน เหมือนปุถุชนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม เขาก็เข้าใจว่าเขาเห็น ทุกคนก็เข้าใจว่าเห็น สัตว์ก็เห็น นกก็เห็น แต่ลืมคิดว่าเห็นต้องเกิดขึ้น ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็น อย่างคนตาบอดไม่เห็นเพราะเห็นไม่เกิด
เพราะฉะนั้นถ้าโลกนี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีโลกไม่มีอะไร แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นแหละเป็นโลก มีแล้วเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่ว่าเป็นโลก ก็เพราะเหตุว่ามีหลายสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกันหมดเลยทั้งโลก ก็เลยเข้าใจว่าโลกมีมากมายหลายอย่าง มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความจริงต้องเป็นทีละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมากและไม่ซ้ำกันด้วย เช่น เห็นมีจริงๆ ได้ยินมีจริงๆ แต่เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นต้องเกิดในขณะที่เห็น ได้ยินต้องเกิดในขณะที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเราเข้าใจว่ามีคนมีสัตว์มีโลก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่างแต่ละหนึ่งละเอียดอย่างยิ่ง แสดงให้เข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่มีทั้งหมดนี่เกิด ถ้าไม่เกิดไม่มี แต่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ใครจะคิดบ้างว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกคำที่ทรงแสดงเป็นความจริงของสภาพธรรมทุกอย่างซึ่งเกิด เมื่อเกิดแล้วต้องดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เสียงขณะนี้ ก่อนเสียงปรากฏ ไม่มีเสียง แล้วเสียงก็เกิดขึ้น ปรากฏว่ามีเสียงนี้ไม่ใช่เสียงอื่น แล้วเสียงนี้ก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง และใช้คำว่าธรรม ซึ่งคำว่าธรรมเป็นภาษามคธี แต่ว่าเราเอามาใช้ในภาษาไทย แต่เราเผินมาก ชอบใช้คำภาษาอื่นโดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงอย่างละเอียดยิ่งของคำนั้น เพราะฉะนั้นเราก็จะใช้คำไหน เราก็ใช้ตามใจชอบ แต่ว่าไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วคำนั้นความจริงคืออะไร อย่างธรรม ใครจะตอบว่าธรรมคืออะไร แต่พูดแล้วใช่ไหม ต้องมีคนพูดแน่ๆ ยุติธรรมก็พูด อธรรมก็พูด แต่ว่าลึกซึ้งกว่านั้นคือแค่ ธรรม คำเดียว ต้องหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี แล้วจะไปตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ก็คือทรงตรัสรู้สิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ด้วยการตรัสรู้ ตรัสรู้สิ่งที่มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่เช้า จนถึงเมื่อวานนี้พรุ่งนี้ต่อไป ทุกสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ ซึ่งจากไม่มีก็มี แล้วก็หามีไม่ ซึ่งไม่สามารถจะไปตามหาได้อีกเลยในสังสารวัฏ
เพราะฉะนั้นเกิดมาชั่วคราวไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าแน่นอน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าวันไหนจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ไม่อยากจะจากโลกนี้ แต่มีใครบ้างที่ไม่จากไป แต่ก่อนจากไปคิดบ้างไหมว่า ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราทำอะไรบ้าง หรือมีอะไรเกิดกับเราบ้าง ดีชั่วแค่ไหนไม่รู้เลย แต่ว่าจากการได้ฟังพระธรรม เห็นธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นได้โดยความปรารถนาโดยความต้องการ อยากจะไม่โกรธก็โกรธ ไม่อยากจะคิดก็คิด เพราะฉะนั้นแสดงความเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แต่ละคนเกิดแล้ว เลือกเกิดไม่ได้เลย ขณะที่เกิดไม่รู้ด้วยว่าอยู่ไหนมาจากไหน แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของธรรมทั้งหมดที่มีทุกอย่าง แม้แต่ในขณะที่เกิด และเมื่อเกิดแล้วต่อไปเป็นอย่างไร แต่ละสภาพธรรมจนกระทั่งถึงขณะสุดท้าย ถึงแม้ว่าเราใช้คำว่าตาย หมายความถึงจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับไปพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ไม่กลับมาที่จะเป็นคนนี้อีกได้เลย แต่ก็มีกรรมที่จะต้องเกิดสืบต่อทันที
เพราะฉะนั้นเราพูดถึงจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เปลี่ยนไปว่าจะเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ใช่ไหม เพราะเหตุว่าตายแล้วเกิดทันที นี่ใครรู้ ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีทั้งหมด แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้คนเข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ หมดความไม่รู้ หมดกิเลสทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งที่ทุกคนบอกว่า ถ้าหมดกิเลสได้ต้องสบายแน่ เพราะเหตุว่าที่เป็นทุกข์เดือดร้อนเพราะกิเลส ถึงแม้ว่าจะแข็งแรงดี ใจเป็นทุกข์ได้ไหม แน่นอนเลย มีทรัพย์สมบัติมาก ใจเป็นทุกข์ได้ไหม มีชื่อเสียงมาก เป็นทุกข์ได้ไหม มีเกียรติยศมาก ชั่วคราวทั้งหมด แต่ว่ายาทั้งหลายสามารถรักษาได้เพียงกาย แต่ใจใครจะรักษาได้ แต่ผู้ที่จะรักษาได้ผู้เดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรักษาไข้สภาพธรรมที่ทำลายจิตคือกิเลส ทำให้จิตเศร้าหมองเดือดร้อนเป็นทุกข์มากด้วยประการต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงความจริง ซึ่งเหมือนยาที่รักษาโรค ซึ่งคนอื่นรักษาไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเกิดมา คนที่จะพ้นจากทุกข์กายไม่มี ต้องป่วยไข้ได้เจ็บนิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องมีใช่ไหม เราก็แสวงหายาเพื่อที่จะรักษา แต่ไม่เคยคิดที่จะแสวงหายาที่จะรักษาโรคกิเลสที่นำความทุกข์มาให้
เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วก็ประโยชน์ของการฟังไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ จากใคร วันไหน เวลาไหน ก็คือขอให้เข้าใจคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นสำหรับวันนี้ ก็มีคำว่าธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เริ่มรู้ว่าไม่ได้เพียงแค่กุศลธรรม อกุศลธรรม หรืออธรรมอย่างที่เราเคยได้ยิน ยุติธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่เริ่มเข้าใจคำนี้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่ไม่มี และสิ่งที่มี ไม่ใช่ว่าผ่านไปไม่รู้ ถ้าผ่านไปไม่รู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกอย่างที่ปรากฏว่ามีจริง ทุกอย่างนั้นเป็นธรรม เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นแน่นอน มีจริงๆ คิดเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นเมื่อไหร่ เมื่อคิด
เพราะฉะนั้นขณะไหนก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจริง จะบอกว่าไม่จริงไม่ได้ แต่เราไม่รู้ว่าเราคิดเรื่องอะไร แล้วทำไมเราคิดอย่างนั้น แล้วคิดดีหรือเปล่า หรือว่าคิดไม่ดี ทั้งหมดเป็นคำสอนอย่างละเอียดยิ่ง ด้วยพระมหากรุณาที่จะทำให้คนที่ได้ฟัง มีความเข้าใจสิ่งที่มีแล้วตั้งแต่เกิด และกำลังมีในขณะนี้แล้วก็จะมีต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียด อาจจะเคยได้ยินได้ฟังคำคนอื่นเรื่องอื่นมามาก แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจความจริงว่า นี่แหละคือธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา นานถึงอย่างนั้นเพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ฟังเผินๆ แล้วก็ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กราบไหว้บูชา เพียงคิดว่าพระองค์เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดไม่มีใครเทียบเท่า แต่ยิ่งกว่านั้นคือว่าได้ประโยชน์จากการที่พระองค์ตรัสคำจริง ให้เราสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรม แต่ต้องไม่ลืมแต่ละหนึ่ง ปนกันไม่ได้เลย เห็นไม่ใช่ได้ยิน คิดไม่ใช่จำ สุขไม่ใช่ทุกข์ ชอบไม่ใช่ไม่ชอบ ทั้งหมดในชีวิตเป็นธรรม
ผู้ฟัง ดิฉันเข้าใจว่าธรรมนี่คือพระธรรมเท่านั้น เพิ่งมาทราบเดี๋ยวนี้เองว่าธรรมคือความจริงทั้งหมด
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า พระธรรมเป็นคำสอน แต่สอนเรื่องอะไร ต้องสอนเรื่องสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่จริงจะสอนทำไม ไม่มีให้รู้ด้วย แต่ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มีจริงๆ และก็ความจริงของสิ่งที่มีต้องเกิดขึ้น แต่อะไรทำให้เกิด ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ทรงแสดงอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักธรรมกว้างขึ้นว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า ทรงแสดงธรรม หมายความถึง แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง สิ่งที่ไม่มีตรัสรู้ไม่ได้ และเมื่อตรัสรู้แล้วก็กล่าวถึงสิ่งที่ได้ทรงตรัสรู้ว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นเพียงแค่ได้ยินคำว่าพระธรรม ไม่พอ ต้องเข้าใจด้วยว่า พระธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไร เรื่องธรรม คือเรื่องสิ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง มีข้อคำถามว่า ได้ยินคำว่าพระไตรปิฎก ซึ่งพระไตรปิฎกก็คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสงสัยว่าถ้าจะศึกษาธรรม นอกจากการฟังธรรม การสนทนาธรรมแล้ว จำเป็นต้องไปศึกษาให้เข้าใจพระไตรปิฎกด้วยไหม ทั้งพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นได้ยินคำไหนเข้าใจเพิ่มขึ้น นี่เป็นประโยชน์ ได้ยินคำว่าพระไตรปิฎก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรมไม่ได้แยกเป็นปิฎกไหนเลย ทรงแสดงพระธรรมจนกระทั่งมีผู้ที่มีศรัทธาที่จะอุปสมบทดำรงเพศบรรพชิต เพราะเหตุว่าสะสมมาที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศที่ต่างกับคฤหัสถ์ จึงมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ด้วยเหตุนี้ภายหลังหลังจากที่ทรงแสดงพระธรรมและพระวินัย พระธรรมสำหรับทุกคนหมดเลย และพระวินัยทรงบัญญัติสำหรับผู้ที่เป็นพระภิกษุ ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นพระภิกษุจะเหมือนอย่างคฤหัสถ์ฆราวาสไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีศรัทธาที่จะบำเพ็ญการอบรมเจริญปัญญาอย่างขัดเกลายิ่ง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกเวลา แม้แต่จะบริโภคอาหารหรือว่าจะอะไรก็ตามแต่ ต้องต่างจากคฤหัสถ์
เพราะฉะนั้นก็หลังจากที่ปรินิพพานแล้ว ก็มีการสังคายนาพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าพระธรรมก็เป็นวินัย วินัยก็เป็นธรรม จะเอาอะไรมาเป็นธรรมที่จะละกิเลส ถ้าไม่ใช่คำสอนที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าวินัยก็ต้องเป็นธรรม เป็นความจริง ส่วนธรรมทั้งหลายที่กล่าวไว้ก็เป็นวินัย คือเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่เพศ ภายหลังต่อมาก็มีการสังคายนาพระไตรปิฎก โดยแยกเป็น ๓ พระวินัยปิฎกส่วนหนึ่ง พระสุตตันตปิฎกส่วนหนึ่ง พระอภิธรรมปิฎกส่วนหนึ่ง ชื่อว่าอภิธรรม หมายความถึงธรรมที่ลึกซึ้งละเอียดยิ่ง เพราะเมื่อสักครู่นี้ทุกอย่างเป็นธรรมแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้รู้จัก คิดเป็นธรรม ชอบเป็นธรรม ทั้งวันนี่ธรรมทั้งหมด มีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏหลากหลายมากเป็นธรรม ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ ใครเปลี่ยนความโกรธให้เป็นความเมตตาได้บ้าง เกิดแล้วโกรธแล้วดับแล้ว เปลี่ยนไม่ได้เลย ความคิดเกิดแล้วดับแล้ว เปลี่ยนเป็นเห็นไม่ได้ เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด เห็นอะไรก็คิดตามสิ่งที่เห็น หรือถึงไม่เห็นแล้ว ก็ยังคิดเพราะจำสิ่งที่เห็นได้
เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย สิ่งที่ลืมไม่ได้คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประมวลทั้งหมดแล้วธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีปัจจัยเกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า ขณะนี้ไม่ใช่ขณะก่อนแล้ว เห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เห็นเมื่อสักครู่นี้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เริ่มเข้าใจความจริงว่าสิ่งที่มีเป็นธรรม แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จึงใช้คำว่าปรมัตถธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
