ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
ตอนที่ ๘๒๘
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอาริยา ประเทศศรีลังกา
วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ผู้ฟัง ต่อมาก็ในเรื่องของอกุศล คำถามคือ อกุศลกั้นต่อการเจริญสติปัฏฐานอย่างไร
ท่านอาจารย์ อกุศลเกิดจากอะไร
ผู้ฟัง จากความไม่รู้
ท่านอาจารย์ ความไม่รู้จะทำให้รู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ จากการสังเกตในชีวิตประจำวัน ในบางวันในบางขณะที่เกิดโลภะขึ้นในชีวิตประจำวันตลอดเวลา ทำให้สิ่งที่ตามมาก็คือ สติปัฏฐานหรือความเข้าใจในธรรมไม่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ สติคืออะไร
ผู้ฟัง สติเป็นโสภณธรรม
ท่านอาจารย์ เกิดกับจิตอะไรบ้าง เกิดเมื่อไหร่
ผู้ฟัง เกิดกับกุศลจิต
ท่านอาจารย์ เกิดกับกุศลจิตทุกประเภทใช่ไหม ขณะที่ให้ทาน ทานจริงๆ ขณะนั้นมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิดร่วมด้วย
ท่านอาจารย์ แล้วรู้ลักษณะของสติในขณะที่กำลังให้ทานหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญา ถ้าไม่มีปัญญารู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเกิดขึ้นตามลำดับขั้นด้วย เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วการสนทนาอย่างกันเอง ฐานะของกัลยาณมิตร หวังดีที่สุดคือให้ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นเพื่อนแท้เพื่อนจริงจะไม่ให้สิ่งที่ผิด แต่ว่าให้สนทนาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นมงคล การสนทนาตามกาล เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่คุณหมอสงสัย ถาม หรือใครก็ได้สงสัย แม้เรื่องหนึ่งเรื่องใด เพื่อความชัดเจน เพื่อความถูกต้อง แม้แต่ดิฉันเองก็ขอถามเพื่อที่จะได้ฟังคำตอบ เพื่อจะได้ความชัดเจน ไม่อย่างนั้นไม่มีประโยชน์เลย พบกันไม่ใช่กัลยาณมิตรจะไม่มีประโยชน์เลย แต่พบกันแล้วสิ่งที่ดีที่สุดก็คือว่าเป็นเพื่อนที่ดี ให้สิ่งที่ดีด้วยความหวังดี ด้วยความจริงใจ ไม่ให้ผิด
เพราะฉะนั้นถ้าคุณหมอต้องการความเข้าใจ ไม่ใช่คิดเองเราก็สนทนากันได้ เพราะเหตุว่าสติ คนไทยก็ใช้มากเลย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจ ใช้ไปเอง เช่น เดินดีๆ เดินไม่ดีเดี๋ยวหกล้ม ไม่มีสติ ก็พูดกันไป หลายคำ วันนี้อารมณ์ดีไหม บอกว่าอารมณ์ดี แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์คืออะไร อารมณ์เป็นสิ่งที่จิตรู้ พอตื่นขึ้นก็มีเห็น มีได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ฟังเรื่องราวต่างๆ ถ้าเป็นสิ่งที่ดี วันนั้นเราก็ตอบเขาได้ว่า วันนี้อารมณ์ดี ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี จิตเห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่ดี กลิ่นก็ไม่ดี รสก็ไม่ดี เจ็บตรงนั้นตรงนี้ใช่ไหม แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าเราพูดถึงอารมณ์ ตามที่เราไม่ได้เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว หนึ่งขณะจิต จิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่ถูกรู้ รวมเรียกว่าอารมณ์ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด นิพพานก็เป็นอารมณ์ ในขณะที่จิตรู้แจ้งนิพพาน เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นต้องมีอารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้แต่ละ ๑ จิต จิตหนึ่งจะมี ๒ อารมณ์ไม่ได้ ทั้งเห็นทั้งได้ยินพร้อมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ที่จิตเห็นเป็นอารมณ์ เฉพาะเสียงที่จิตได้ยินที่ปรากฏขณะนั้นเป็นอารมณ์
เพราะฉะนั้นการพูดถึงธรรม ขอให้เข้าใจเป็นคำๆ ให้ถูกต้อง เพราะว่าต้องสอดคล้องกันเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าจะในพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก อารัมมณะคือสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดถึงสติ ก็ต้องเข้าใจว่าสติเป็นธรรมฝ่ายดี ถ้าทำอาหารเก่งมากเลย เจียวไข่ไม่ไหม้ หอมอร่อยดีจริง ขณะนั้นมีสติหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่สติเจตสิก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่เป็นสติเจตสิก
ผู้ฟัง เมื่อกุศลธรรมเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ เช่น
ผู้ฟัง ทาน
ท่านอาจารย์ ทานขณะที่ให้ ต้องให้จริงๆ เพื่อประโยชน์สุขกับเขา ไม่คำนึงว่า เขาจะตอบแทนหรือไม่ ไม่ผูกพันในฐานะผู้ให้ ไม่ใช่ให้แล้ววันหนึ่งต้องมาทำอย่างที่ฉันบอกให้ทำ อย่างนั้นไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ทาน เพราะฉะนั้นทานจริงๆ ก็มีสติเจตสิกระลึกเป็นไปในทาน เพราะว่าเรามีของที่จะให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นไม่น้อยเหมือนกัน แล้วแต่สติจะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าสติไม่เกิดก็ไม่ให้ใช่ไหม ทั้งๆ ที่เก็บไว้ทำไมก็ไม่รู้ ก็ไม่ได้ใช้เลย แต่พอสติเกิดระลึกเป็นไปในการให้ การให้จึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นจึงไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตที่ประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดี ที่ใช้คำว่า โสภณเจตสิก ขณะนั้นก็แล้วแต่ว่า จะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยหรือไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ต้องเป็นผู้ที่ตรง แต่ว่าสติต้องมีแน่ และสติจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่อีก จะได้รู้จักสติก่อนจะถึงสติปัฏฐาน เพราะว่าสติก็ต้องมีหลายขั้น สติที่เป็นไปในทานเท่านั้น ไม่ใช่สติปัฏฐานแน่นอน
ผู้ฟัง สติก็เกิดขึ้นกับกุศลจิตทุกประเภท
ท่านอาจารย์ แล้วคุณหมอถามถึงสติปัฏฐานใช่ไหม คืออะไร ก่อนอื่นธรรมจะแจ่มแจ้งต่อเมื่อรู้ว่าคืออะไร เพราะว่าถ้าจะพูดไปโดยไม่รู้ตอนต้น จะไม่มีทางเข้าใจได้เลย เหมือนกับพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะพูดให้รู้ ก็คือว่าคืออะไรก่อนอื่น จะได้เข้าใจมากขึ้นตามลำดับ
ผู้ฟัง สติปัฏฐานก็คือสติที่เกิดขึ้นที่ประกอบด้วยปัญญา เช่น ขณะที่เกิดวิปัสสนาญาณ
ท่านอาจารย์ ปัญญารู้อะไรขณะนั้น
ผู้ฟัง ปัญญารู้ รูปธรรม นามธรรม
ท่านอาจารย์ รูปอะไร ต้องชัดเจนเพราะทีละหนึ่ง จะรู้รูปทั้งหมดไม่ได้ นามทั้งหมดไม่ได้
ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่น ปัญญารู้รูปที่ปรากฏทางตา
ท่านอาจารย์ ปรากฏกับจิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง ปรากฏกับจิต
ท่านอาจารย์ ปรากฏกับจิตอะไร
ผู้ฟัง ปรากฏกับจิตเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ปัญญาเข้าใจอะไร
ผู้ฟัง ปัญญาเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา เป็นรูป และก็นามธรรมที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรูปเป็นอย่างไร ทางตา
ผู้ฟัง รูปทางตา ก็เป็นสิ่งที่ไม่รู้ เป็นสิ่งที่ปรากฏกับจิตเห็น
ท่านอาจารย์ อันนี้เป็นการจำหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นการจำ
ท่านอาจารย์ แต่ความจริงลึกซึ้งกว่านั้นมาก เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เป็นธรรมเดียวสิ่งเดียวที่มีจริงในบรรดาสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ที่ปรากฏให้เห็นได้ จิตปรากฏให้เห็นไม่ได้ เจตสิกปรากฏให้เห็นไม่ได้ เสียงปรากฏให้เห็นไม่ได้ แข็งปรากฏให้เห็นไม่ได้ มีแต่เพียงธรรมหนึ่ง สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม หรือจะใช้คำว่า ธาตุ ก็ได้ ธา-ตุ หมายความว่ามีลักษณะเฉพาะตน เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาเปลี่ยนให้เป็นอื่นไม่ได้ ต้องฟังละเอียด สิ่งที่ปรากฏทางตาเปลี่ยนให้เป็นอื่นไม่ได้ เป็นคนได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เป็นเก้าอี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในขณะนี้กำลังเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า
ผู้ฟัง กำลังเข้าใจความจริง
ท่านอาจารย์ กำลังเข้าใจ ระลึกเป็นอนัตตาหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ ใครทำให้เกิดระลึกในขณะนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการที่สติสัมปชัญญะ หรือสติปัฏฐานจะเกิดเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาตรงตามที่ได้พูด ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น เหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นคืออะไร
ผู้ฟัง คือความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เข้าใจขั้นไหน
ผู้ฟัง ขั้นฟังหรือขั้นศึกษา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นวันนี้กำลังมีสติที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีขั้นเข้าใจขั้นศึกษา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน คนละระดับขั้น ไม่ใช่จากขั้นปริยัติ จะไปสู่ขั้นปฏิปัตติโดยเร็ว เพราะว่าคำว่า ปริยัติ หมายความถึงฟังพระพุทธพจน์ แค่นี้ไม่พอ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ รอบรู้ที่นี่ไม่ได้หมายความว่ารอบรู้ทั้ง ๓ ปิฎก แต่รอบรู้ในคำที่ได้ฟังทีละคำ เช่นคำว่า อนัตตา ต้องรู้ลักษณะของสติ จึงจะรู้ว่าเป็นสติสัมปชัญญะ เป็นสติปัฏฐานหรือไม่ หรือว่าไม่ใช่ เป็นแต่เพียงจำและเข้าใจ เพราะฉะนั้นคนที่ได้ศึกษาธรรมเข้าใจ มีความรอบรู้ในแต่ละคำสอดคล้องกันหมดทั้ง ๓ ปิฎก ด้วยเหตุนี้จึงมีคำว่า สัจจญาณ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ เพราะถ้าไม่มีการฟังพระพุทธพจน์ จนกระทั่งมีความเข้าใจในความเป็นอนัตตา ด้วยการละความเป็นเรา จะไม่มีสัจจญาณ แต่ถ้ามีสัจจญาณคือไม่ใช่เราที่กำลังฟัง และขณะที่เข้าใจก็ไม่ใช่เราด้วย ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่หวังว่าสติจะเกิดเมื่อไหร่ เพราะขณะนี้อกุศลเกิดแล้ว ถ้าไม่ฟังธรรมจริงๆ ไม่รู้เลยว่าทันทีที่เห็น จักขุวิญญาณเกิดขึ้น ทำกิจเห็นดับ ต่อจากนั้นอีก ๓ ขณะจิต อกุศลเกิดเลย เร็วแค่ไหน เพราะฉะนั้นการที่จะไปดับไปละอกุศล ต้องเป็นปัญญาที่ละความเป็นตนด้วยความเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ที่เป็นปริยัติจนกระทั่งเป็นสัจจญาณ
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นสัจจญาณและมีความเข้าใจ ละคลายความเป็นตัวตน เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานหรือสติสัมปชัญญะเกิด รู้เฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น จึงจะเป็นสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้นเวลานี้ ไม่ใช่ว่าทั้งเห็นทั้งได้ยินด้วย ทั้งอ่อนทั้งแข็งด้วย แต่เป็นขณะที่สภาพธรรมเกิดขึ้นรู้เฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ขอยกตัวอย่างแข็ง ขณะนี้กำลังสัมผัสแข็งหรือเปล่า
ผู้ฟัง สัมผัสแข็ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีสภาพรู้แข็ง
ผู้ฟัง มีสภาพรู้แข็ง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แข็ง
ผู้ฟัง ไม่ใช่แข็ง
ท่านอาจารย์ และก็แข็งเป็นแข็ง ไม่ใช่สภาพที่รู้แข็ง ก่อนที่เคยสัมผัสแข็ง ทั้งวันเลย เมื่อเช้านี้กับขณะที่กำลังรู้เฉพาะแข็งต่างกันไหม
ผู้ฟัง ต่างกัน
ท่านอาจารย์ ต่างกัน เพราะฉะนั้นรู้เฉพาะแข็ง มีความเข้าใจในแข็งนั้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีความเข้าใจในแข็ง
ท่านอาจารย์ เข้าใจว่า
ผู้ฟัง ว่าไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ถ้าพูดเป็นคำ ก็ไม่ถูกต้อง แต่เป็นการรู้ธาตุที่แข็งตรงตามที่ได้ฟัง ซึ่งต่างกับขณะที่เวลานี้ทุกคนก็มีแข็งกำลังปรากฏ แต่แล้วแต่ว่าปัญญาของใครมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิด ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดไปพยายามทำ แต่เมื่อเกิดแล้วเห็นความเป็นอนัตตาว่า ก็แข็งธรรมดาเหมือนที่เคยแข็งนี่แหละ แต่ขณะนั้นแข็งปรากฏดี หมายความว่าเพราะสติรู้ในความเป็นธาตุหรือในความเป็นลักษณะของธรรมหนึ่ง เฉพาะขณะนั้น แล้วก็ดับไป แต่นี่ขณะนั้นไม่ใช่การประจักษ์ลักษณะเกิดดับ ยังไม่ถึงระดับนั้น เพียงแต่เริ่มที่จะเข้าใจความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด กับขณะที่เพียงเข้าใจเรื่องของสติสัมปชัญญะ ทั้งหมดเป็นอนัตตา และเดี๋ยวนี้สามารถที่จะรู้แข็งได้ไหม
ผู้ฟัง สามารถจะรู้แข็งได้
ท่านอาจารย์ ที่ประเทศไทยสามารถรู้แข็งได้ไหม
ผู้ฟัง สามารถรู้ได้
ท่านอาจารย์ ยังไม่ถึงประเทศไทยรู้แข็งได้ไหม
ผู้ฟัง รู้แข็งได้
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่ามีแข็งแน่นอนใช่ไหม แล้วแต่ว่าสติสัมปชัญญะจะเกิดหรือเปล่า ต้องเลือกสถานที่หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ต้องเลือกสถานที่
ท่านอาจารย์ ต้องเลือกสิ่งที่สติจะเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เลือกไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ต้องมีความมั่นคงที่เป็นสัจจญาณว่าเป็นอนัตตาทั้งหมด ถ้ามีความคิดว่าต้องไปสู่ที่หนึ่งที่ใด จึงจะรู้ได้ ถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ผิด
ท่านอาจารย์ ถ้าคิดว่าจะต้องรู้เฉพาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ เช่น ลมหายใจเท่านั้น ถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ผิด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น
ผู้ฟัง หลังจากที่ได้ฟังคำ การตอบคำถามมาทั้งหมด ก็ได้บังเอิญนึกถึงคำที่ว่าทำความดีและศึกษาพระธรรม โดยความเข้าใจส่วนตัวผม การทำความดีก็เป็นผลมาจากการศึกษาพระธรรม เมื่อเกิดปัญญาแล้ว ผลที่ตามมาก็คือการทำความดีหรือกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา การทำความดี ไม่มีตัวเราไปทำ มีแค่ศึกษาพระธรรม แล้วผลที่ตามมาก็คือการทำความดี
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่ทำดีโดยไม่ศึกษาพระธรรม และไม่ใช่ศึกษาพระธรรมโดยไม่ทำความดี
สนทนาธรรม ที่ รัฐเกรละ ประเทศอินเดีย
วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ พูดถึง อัพยากตธรรม ต้องบอกก่อนว่าคืออะไร
ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่กุศล และก็ไม่ใช่อกุศล
ท่านอาจารย์ ถูกต้องเลย หมายความว่าถ้าได้ยินคำนี้เมื่อไหร่ต้องรู้ว่า อะไรทั้งหมดที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล เป็นอัพยากตะ หมายความว่า ไม่พยากรณ์ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล พยากรณ์ที่นี่หมายความว่า ไม่ใช่ว่านึกอยากจะบอก ก็บอกใช่ไหม คนนั้นพยากรณ์ลมฟ้าอากาศหรืออะไร แต่ที่นี่หมายความว่า ความจริงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ตรัสตามความเป็นจริงอย่างนั้นว่า ธรรมใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล เป็นอัพยากตธรรม อะไรบ้าง เป็นอัพยากตะ
ผู้ฟัง รูป
ท่านอาจารย์ รูปอะไรบ้าง
ผู้ฟัง ก็ทุกอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง นี่คือความละเอียดที่ว่าบางทีเราจำคำ แล้วเราก็จำแค่นั้น แต่ว่าธรรมแค่นั้นไม่ได้ คำที่ได้ยินแต่ละคำต้องชัดเจน นี่คือประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่ว่าเรียนให้จำเผินๆ ให้เข้าใจนิดๆ หน่อยๆ แต่ต้องรอบรู้ในคำที่ได้ยินทุกคำ เราไม่สามารถที่จะรอบรู้พระไตรปิฎกได้หมด นี่แน่นอนที่สุด ไม่มีใครเลยที่จะเป็นอย่างนั้น แต่รอบรู้ทีละคำ หมายความว่าคำที่ได้ยิน รู้จริงๆ ไม่เปลี่ยน อย่างธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างว่ามี ไม่ต้องบอกว่าเป็นธรรม ไม่ต้องเรียกชื่อก็มีใช่ไหม แต่จำเป็นต้องใช้ชื่อเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมมีอะไรบ้าง เมื่อสักครู่นี้ได้กล่าวถึงอัพยากตธรรม คือธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล อะไรบ้างที่ไม่ใช่กุศลอกุศล รูปทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นกุศลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ ทีนี้ก็ถามต่อไป รูปอะไรบ้าง คำตอบเมื่อสักครู่นี้ เย็นเป็นรูปแน่ๆ เพราะว่าเย็นมีลักษณะที่เย็น ร้อนก็มี อ่อนก็มี แข็งก็มี แล้วมีรูปอะไรอีก
ผู้ฟัง ดอกไม้
ท่านอาจารย์ จะเรียกว่าดอกไม้ ไม่ใช่แล้ว
ผู้ฟัง เป็นสีใช่ไหม
ท่านอาจารย์ สีอะไร
ผู้ฟัง สี ถ้าจับไปก็เป็นแข็งหรืออ่อน
ท่านอาจารย์ นี่อย่างนี้ไม่ได้เลย เราปนกันหมด หมายความว่าธรรมที่เราไปฟังไปรวมกัน ปนกันหมดเลย แต่ถ้าเราฟังทีละอย่างทีละคำ ที่ใช้คำว่ารอบรู้ คือรู้จริงๆ ถ้าเราไม่สนทนากัน ไม่มีทางที่จะรู้จริง เพราะว่าปนกันแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก การศึกษาธรรมถ้าไม่ตรงไม่ได้สาระแน่นอน เพราะฉะนั้นที่จะได้สาระคือ รู้ว่าไม่รู้เลยในสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ชาตินี้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ต้องฟังอย่างเคารพจริงๆ ว่าลึกซึ้งแน่นอน เพราะว่าทำไมคนอื่นรู้ไม่ได้ ถึงคนที่ฟัง ใช่ไหม กว่าจะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมได้จริงๆ จะต้องรู้ว่าไม่เหมือนความคิดของใครทั้งหมด และไม่ใช่ใครจะคิดเองได้ แต่ต้องเป็นแต่ละคำที่มาจากการตรัสรู้ คิดดู ไม่ใช่มาจากการไตร่ตรอง แต่มาจากการตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้นถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นวาจาสัจจะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะว่าความจริงเปลี่ยนไม่ได้ อย่างเห็นจะเปลี่ยนเป็นอื่นได้อย่างไร กำลังเห็น เห็นจริงๆ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วาจาสัจจะทั้งหมด เป็นการที่ทรงแสดงจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่คำของคนอื่น และไม่ใช่คำที่เราเคยได้ยินมาแต่ก่อน เขาพูดกัน เขาว่ากัน เขาเรียกกัน แต่ต้องเป็นคำใหม่ทั้งหมด และไม่ใหม่เฉพาะคำ แต่ความเข้าใจเริ่มเกิด ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก คือคำในภาษาบาลีว่า ปัญญา เพราะฉะนั้นจากที่ไม่เคยรู้มาเลย ก็มีการได้ยินได้ฟังแต่ละคำ แล้วก็เข้าใจจริงๆ ถึงจะเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำไตร่ตรอง ถ้าเข้าใจว่าธรรมที่มีจริง เกิดจริงๆ ปรากฏจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร เราก็ต้องรู้ว่าอะไรบ้าง ไม่ใช่ตามคำเพียงแค่นั้นใช่ไหม พอเขาพูดเรื่องลมหายใจ เราก็ไปลมหายใจ พอเขาพูดเรื่องอะไรก็ไปเรื่องนั้น ไม่ใช่ แต่ต้องเป็นการไตร่ตรองของเราจนเป็นปัญญา แม้นิดเดียวก็ละความไม่รู้ อย่าลืมว่าความไม่รู้มีมาก
เพราะฉะนั้นฟังพระธรรมเพื่อละความไม่รู้ ถ้าใครนึกอยากจะได้อะไรจากการฟังพระธรรม นั่นก็ไม่ตรง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมจริงๆ เพื่อละความไม่รู้ เพราะไม่รู้หมดเลย ในขณะที่กำลังปรากฏอย่างนี้ใครรู้ความจริง แต่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ลองคิดดู จากการไม่รู้อะไรเลย แล้วจะรู้ได้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ต้องอาศัยกาลเวลา และความเป็นผู้ตรงจริงๆ แค่ไหน ทุกคำเผินไม่ได้เลย อีกครั้งหนึ่ง รูปมีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง หมายถึงรูป ๒๘ หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ นี่อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ได้เลย นี่คือไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่ได้ไปละความไม่รู้ พอพูดถึงคำว่า รูป มีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นกุศลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ จึงเป็นอัพยากตธรรม เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่ไปจำเฉยๆ ว่าธรรมที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล เป็นอัพยากตธรรม นี่จำแต่ไม่ได้เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจอะไรที่เป็นอัพยากตธรรมมีไหม ถ้าไม่มีจะพูดถึงทำไม ทั้งหมดทุกคำ ถ้าไม่มีแล้วพูดทำไมใช่ไหม แต่ต้องกำลังมีแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อรู้ความจริงของสิ่งซึ่งมีและไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่ารูป มีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เราจำแค่นี้ไม่พอ เข้าใจแค่นี้ไม่พอ แล้วอะไรเป็นรูป มีไหมวันนี้ เดี๋ยวนี้มีไหม อะไรบ้าง เมื่อสักครู่มีเย็น มีร้อน มีอ่อน มีแข็งจริงๆ แล้วมีอะไรอีก
ผู้ฟัง มีตึง มีไหว
ท่านอาจารย์ กำลังปรากฏหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็มีตึงน่อง
ท่านอาจารย์ ที่น่าแปลก พอได้ยินคำว่าตึงกับไหว งงแล้ว ตึงเป็นอย่างไร ไหวเป็นอย่างไร อยากรู้แล้ว แต่เวลาตึงจริงๆ ไม่รู้ว่านี่แหละที่กำลังพูดถึงว่า ตึงเป็นอย่างนี้ เวลาที่ไหว กำลังไหวก็ไม่รู้ แต่ไปหาว่าไหวตอนไหน กำลังก้าวเดินหรือกำลังทำอะไร นี่คือการศึกษาธรรมที่เราไม่ได้เข้าถึงตัวธรรมซึ่งเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็มีความเป็นเราที่ปกปิด เพราะฉะนั้นการฟังจริงๆ คือไม่รู้ แล้วก็ฟังให้รู้ แล้วก็พิจารณาในสิ่งที่ฟัง ตอนนี้ตึงปรากฏหรือเปล่า
ผู้ฟัง ตอนนี้ยังไม่ปรากฎ
ท่านอาจารย์ แต่เวลาปรากฏรู้ไหม
ผู้ฟัง พอรู้
ท่านอาจารย์ รู้ว่าอะไร
ผู้ฟัง รู้ว่าตึง
ท่านอาจารย์ รู้ว่าตึงเป็นขาเราตึง หรือบ่าเราตึงใช่ไหม ไม่มีการที่จะเข้าใจว่านั่นเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเวลานี้เป็นธรรม แต่ปัญญากว่าจะค่อยๆ ฟังเพื่อละความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทั้งหมด ไม่ได้รู้ จึงฟังเพื่อรู้ เพื่อจะได้รู้ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
