ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
ตอนที่ ๘๒๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอาริยา ประเทศศรีลังกา
วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมว่าทุกคำกำลังมี และสามารถที่จะเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เมื่อเกิดแล้วต้องดับไป สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ธรรม สิ่งที่มีจริง ภาษาบาลีไม่ใช้ ด เด็ก ก็ใช้ ต เต่า ธรรม + ตา ความเป็นไปของธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย ทุกคำที่ได้ฟังไตร่ตรอง มีใครสามารถที่จะทำให้ธรรมหนึ่งธรรมใดเกิดได้ไหม สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมนั้นได้ไหม เพราะแม้แต่บอกว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลย ถ้าถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เดี๋ยวนี้อะไรมีจริงๆ ตอบไม่ถูก เขาจะตอบว่า มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีห้องนี้ มีไฟฟ้า มีคน แต่ไม่ได้ใช้คำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้ จะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นไฟฟ้า เป็นห้อง เป็นคน ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าธรรมคือสิ่งที่มี เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ละหนึ่งดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ นี่คือพระปัญญาคุณที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีว่า เดี๋ยวนี้กำลังมีสิ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้เหมือนมายากลที่เล่นกลเก่ง แต่ก็ไม่มีใครเทียบได้ กับการที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงเก่งกว่านั้นก็คือว่า ไม่มีแม้ในมายากล และกลที่กำลังแสดงให้เราเห็นว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นภาพลวง ฉันใด สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็เป็นภาพลวงฉันนั้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องฟังทีละคำให้เข้าใจจริงๆ แล้วก็ลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจได้ แต่สัจจบารมี สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ว่า เข้าใจความจริงนี้ได้เมื่อใด เมื่อนั้นก็จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความจริงนี้
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องอดทน ขันติบารมี นอกจากความจริงใจที่มั่นคง ก็ยังต้องมีขันติความอดทนด้วยว่า ถ้าเราไม่อดทน ธรรมยากเกินไป ไปแสวงหาวิธีง่ายๆ ที่จะให้รู้ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมียิ่งด้วยปัญญาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป แล้วแต่ว่าใครจะได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ซึ่งในยุคนี้ เราก็ได้ฟังคำจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมียิ่งด้วยปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัป แล้วเราเป็นใคร แล้วเราจะไปตามคำของใครที่ไม่ทำให้เราได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงเลย แต่ว่าคิดว่ามีวิธีที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังเผิน เพราะว่าเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ สภาพธรรมมีก็ยังไม่ละเอียดพอ แต่ว่าพยายามที่จะไปประจักษ์การเกิดดับ ทุกขอริยสัจจะ ก็ได้ยินเพียงชื่อเผินๆ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมสำหรับคนที่ไม่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ไม่ได้ตั้งจิตไว้ชอบ ที่จะรู้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แล้วก็เป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ต้องไปอาศัยปัญญาของใครเลย แม้ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอนาคามีบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระโสดาบันบุคคล ซึ่งเป็นพระอริยบุคคล จากปุถุชนซึ่งหนาด้วยกิเลส สามารถที่จะถึงการรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่ด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ใช่ด้วยการเชื่อคำของคนอื่น แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ด้วยเหตุนี้คำจริงทั้งหมดไม่ว่าใครจะกล่าว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวกในครั้งนั้น หรือคำใดๆ ก็ตาม ที่สืบทอดมาเป็นคำจริง คำจริงทั้งหมดเป็นวาจาของพระองค์ ใช้คำว่า วาจาสัจจะ วาจาคำที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงเพื่อให้เข้าใจความจริง เป็นมรดกล้ำค่าที่ได้จากการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า สิ่งอื่นไม่สามารถที่จะติดตามไป ทรัพย์สมบัติ ผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง เกียรติยศ ชื่อเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีทางที่จะไปได้เลย แต่ว่าการสะสมกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็สะสมอยู่ในจิต อกุศลที่เกิด พ้นไปไม่ได้ ยกไปให้ใครไม่ได้ อุทิศให้ใครก็ไม่ได้ แต่ก็อยู่สะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นใครจะรู้ว่าแต่ละคนมาจากไหน มาจากเทวโลกก็ได้ มาจากนรกก็ได้ มาจากการเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ แต่เพราะบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดสำหรับชีวิตทุกครั้งที่มีการเข้าใจพระธรรม ด้วยความไม่ประมาท เพราะฉะนั้นเราก็พูดหลายครั้งแล้วว่า ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ภาษาไทยเราก็ใช้คำนี้ แต่ว่าจะใช้คำไหนก็ได้ ชาติไหนพูดภาษาอะไร อีกชาติหนึ่งพูดภาษาอะไรก็ตามแต่ แต่ความเข้าใจมีว่า สิ่งที่มีจริงๆ นี่แหละ มี เช่น เห็น กำลังมี ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น ใครจะคัดค้านบ้าง เริ่มเห็นความเป็นอนัตตาว่า อยากเท่าไหร่ ปรารถนาเท่าไหร่ สิ่งใดๆ ก็ตามไม่สามารถที่จะเกิดตามความปรารถนา แต่ต้องมีเหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้น แค่นี้ก็พอจะเบาใจไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รู้ว่า ไม่มีใครทำให้เลย ทำเองมาแล้วแต่ปางก่อน เพราะฉะนั้นจะเกิดเป็นใครชาติไหนอย่างไร ก็เพราะเหตุว่าตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่มีโทษใดๆ เลยทั้งสิ้น มีแต่คุณที่จะทำให้รู้ว่าสิ่งใดมีค่าที่สุดประเสริฐที่สุดในชีวิต แต่ว่าการที่จะรู้กิเลสของตัวเอง ใครจะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ทุกคนนั่งอยู่ที่นี่มีกิเลสมากน้อย ถ้าไม่เกิดขึ้นไม่รู้ เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้มหาสมุทรโผล่มาให้เห็นนิดเดียว อกุศลใดๆ ก็ตามที่ใครทำ ส่วนลึกกว่านั้นมากกว่านั้นอีก หรือว่าสิ่งที่ดีก็ตามแต่ ใครจะรู้นอกจากตนเอง แม้แต่ผู้ที่เสียสละ อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้รู้คือผู้นั้นเองที่เสียสละ คนอื่นจะรู้ไหมว่าการกระทำใดๆ ที่เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น เกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด พระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าได้อ่านเอง ไพเราะอย่างยิ่ง คำพูดที่กล่าวของบุคคลในครั้งนั้นเรื่องต่างๆ แต่ว่าพระไตรปิฎกไม่ใช่สำหรับอ่านด้วยความไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คือว่าไม่ได้เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าทุกคำต้องสอดคล้องกันไม่ว่าพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดโดยนัยหลากหลาย เช่น โดยนัยการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งต่างกับคฤหัสถ์ ก็ทรงมีพระพุทธบัญญัติแสดงไว้เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่ก็ไม่พ้นจากความจริงคือสิ่งที่มีจริงในชีวิตคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กุศล และอกุศล สำหรับพระอภิธรรมปิฎกกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมี ให้เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจพระธรรม ซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ใช้คำว่า ปรม ยิ่งใหญ่ ใครจะยิ่งใหญ่กว่าธรรม เพราะฉะนั้นธรรมที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมซึ่งยิ่งใหญ่เป็นปรมัตถธรรม และเพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมแต่ละหนึ่งเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จึงใช้คำว่า อภิธรรม ยิ่งใหญ่ลึกซึ้งที่สุด ซึ่งใครก็ตามถ้าจะอ่านพระไตรปิฎกโดยความไม่รู้ เข้าใจผิด เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็อ้างคำในพระไตรปิฎก แต่ความเข้าใจความจริงของแต่ละคำนั้นถูกต้องหรือเปล่า มีหรือเปล่า ถ้าไม่มีเลย ก็กล่าวตู่พระพุทธพจน์โดยไม่รู้ตัวเลยว่า แท้ที่จริงคำพูดที่พูดนั้นค้านกับความจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นผู้ที่ตรงต่อความลึกซึ้งของธรรม จึงศึกษาและฟังพระธรรมด้วยความเคารพยิ่ง และต้องสอดคล้องกัน เพราะเหตุว่าพระสูตรก็กล่าวถึงบุคคลต่างๆ ในครั้งนั้น แต่ถ้าไม่มีธรรมซึ่งเป็นอภิธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรมอย่างเดี๋ยวนี้เลย เห็น ได้ยินพวกนี้ เป็นธรรมเป็นปรมัตถธรรม ใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ เป็นอภิธรรม สิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่อะไร ที่เข้าใจว่าเที่ยงยั่งยืนสักอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย คิดดู ขณะนี้ ตามี หูมี เห็นมี ได้ยินมี คิดนึกมี แยกไม่ออก แต่ว่าธรรมไม่ปะปนกันเลย
เมื่อกล่าวถึงธรรมใด ก็คือธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อเข้าใจแล้วก็คือว่าไม่ใช่เราแน่นอน จะเป็นใครก็ไม่ได้สักอย่างเดียว แต่เป็นธรรมนั้นๆ เช่น แข็ง เป็นโต๊ะ หรือว่าเป็นเก้าอี้ แข็ง ไม่ได้ใช่ไหม เป็นโต๊ะไม่ได้ เป็นเก้าอี้ไม่ได้ เป็นแก้วน้ำไม่ได้ แข็งเป็นแข็ง นั่นคือหนึ่งของธรรม ซึ่งไม่ใช่อย่างอื่นเลย ด้วยเหตุนี้ธรรมก็มีมาก การฟังธรรมก็แล้วแต่โอกาส เพราะฉะนั้นก็เป็นการที่จะได้สนทนากัน เพื่อที่จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นว่า ขณะนี้มีธรรม กำลังมีธรรม ไม่ขาดจากธรรมเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมก็มีโอกาสเดียว คือได้สนทนากัน และก็มีอะไรที่จะทำให้ได้เข้าใจขึ้น อันนั้นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ก็ให้ความเข้าใจว่า การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องรู้จักความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้หรือเดี๋ยวนี้เอง คำว่า ยิ่งใหญ่ ที่เป็นอภิธรรม ยิ่งใหญ่อย่างไร
ท่านอาจารย์ ยิ่งใหญ่คือไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นได้เลย แต่มีเพราะเหตุปัจจัย และก็เมื่อมีแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ เช่น ขณะนี้ มีเห็นแน่ๆ เห็นต้องเกิด ถ้าเห็นไม่เกิด เห็นไม่มี แล้วเห็นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ดีๆ ก็มีเห็นเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีใครสามารถดลบันดาลหรือทำให้เกิดขึ้นได้เลย ทุกคนอยากมีความสุข ไม่อยากมีความทุกข์ แล้วอย่างไร เกิดแล้ว เป็นแล้วตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งไม่รู้เหตุปัจจัย ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เพราะเหตุว่าไม่รู้จักเหตุของสภาพธรรมซึ่งเป็นทุกข์
อ.กุลวิไล ที่กล่าวถึงว่า เป็นผู้อยู่คนเดียว ซึ่งพระไตรปิฎกท่านก็แสดงว่าชีวิตชั่วขณะจิตเดียว เพราะฉะนั้นหลายท่าน ถ้าไม่เคยฟังพระธรรม เขาก็ไม่รู้ว่าอยู่คนเดียว เพราะว่าดูเหมือนว่า ก็เห็นพร้อมกัน ก็คุยกันรู้เรื่องได้ แต่จะอยู่คนเดียวอย่างไร
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวใช่ไหม อยู่กันหลายคนเลย ในห้องนี้ก็หลายคน นอกห้องนี้ก็หลายคน เต็มโลกไปหมดเลย มีแต่คนทั้งนั้น แต่ธรรมเป็นธรรม แม้แต่คำว่า โลก หรือ โลกะ หมายความถึงสิ่งที่เกิดดับ เราเคยคิดอย่างนี้ไหม เกิดมาก็อยู่ในโลกแล้ว เห็นโลกแล้ว เป็นภูเขา เป็นต้นไม้ เป็นทะเลสาบ เป็นดอกไม้ต่างๆ เยอะแยะไปหมดเลย แต่หารู้ไม่ว่า ลองคิดให้ลึกซึ้ง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย มีโลกไหม ไม่มี มีดาวเกิดขึ้นมา มีดาว มีพระอาทิตย์เกิดขึ้น มีพระอาทิตย์ มีพระจันทร์เกิดขึ้นเป็นพระจันทร์ แล้วมีเราเกิดขึ้นในโลก คิดดู เพราะไม่รู้ ดวงอาทิตย์ไม่รู้อะไร ดวงจันทร์ไม่รู้อะไร ต้นไม้ไม่รู้อะไร ทะเลไม่รู้อะไร เพราะเหตุว่า ธรรมซึ่งเกิดแต่ไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้อะไร มี พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเรียกว่า รูปธรรม สิ่งที่มีจริงคือธรรม รูปะคือธรรมที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ยังไม่มีคนเลย ยังไม่มีเราเกิดเลย แต่ว่ามีธรรมที่เป็นรูปธรรมเกิด แล้วถ้าไม่มีธาตุรู้เกิด สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะปรากฏว่ามีไหม เท่านี้ เห็นไหม มีก็มีไป ใช่ไหม อะไรจะเกิดก็ตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่มีธาตุรู้แล้วอะไรจะปรากฏ แต่เวลานี้ในห้องนี้มีอะไรบ้าง ถ้าไม่มีธาตุที่เกิดขึ้นรู้คือเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏในห้องนี้ปรากฏว่ามี ไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ก่อนอื่นที่จะเข้าใจว่า เราเกิดคนเดียว เกิดมาคนเดียวจริงๆ ก็ต้องรู้ว่า ที่ว่าเป็นเรา เป็นธาตุรู้ใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ธาตุรู้ ก็เหมือนโต๊ะเก้าอี้ แต่ว่าที่ว่าเป็นเราเกิด ก็เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้น แล้วเพราะไม่รู้ ธาตุรู้เกิดแล้วดับเลย เพราะฉะนั้นดับแล้วก็มีธาตุรู้เกิดอีก และก็ดับอีก สืบต่อมา ด้วยความไม่รู้ จึงธาตุรู้ก็มีรูปร่างมีรูปเกิดขึ้นด้วยพร้อมกัน ในภูมิมนุษย์ ไม่ได้มีแต่ธาตุรู้ มีรูปธรรมด้วย พร้อมกันเลยตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นในขณะที่เกิดมีธาตุรู้ ซึ่งต่อไปนี้ขอใช้คำว่า นามธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่าสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็รู้ เป็นธาตุรู้ ต้องต่างกับสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้อะไรเลย ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะโลกไหนทั้งสิ้น ก็มีสภาพธรรมเพียง ๒ อย่าง ไม่ว่าจะโลกไหน เทวดา พรหม อะไรอะไรก็ตาม สภาพธรรมหนึ่งเกิดขึ้นไม่รู้ เปลี่ยนให้รู้ได้ไหม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม รู้หรือเปล่าว่า ไม่มีใครดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงเป็นอภิธรรม
เพราะฉะนั้นธรรมนั่นเอง สิ่งที่มีจริงนั่นแหละเป็นปรมัตถธรรม แล้วเป็นอภิธรรม พอบอกว่าเป็นอภิธรรม แล้วจะเป็นเราหรือ ธรรมต้องเป็นธรรม ปรมัตถธรรมต้องเป็นปรมัตถธรรม อภิธรรมต้องเป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้นในขณะที่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ธาตุรู้เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม เป็นเราเกิดหรือ ผิดตั้งแต่ต้น นี่คือใครสามารถที่จะรู้ความจริงว่าที่ว่าเป็นเรา ไม่ใช่เลย เป็นธรรม ซึ่งต่อไปนี้ก็ขอใช้คำว่า นามธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ ก็มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งใช้คำว่า จิตตะ หมายความถึงสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ เพราะเหตุว่าธรรมเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องเหตุผล เมื่อมีธาตุรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ถูกต้องไหม จะบอกว่ารู้ แล้วรู้อะไร ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นจะมีธาตุรู้เกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ เช่น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ไม่เป็นเหมือนข้างนอกห้อง แต่ต้องเป็นอย่างที่เป็นอย่างนี้แหละ เห็นอย่างนี้สิ่งที่ถูกเห็นไม่เป็นอื่น เป็นอย่างที่กำลังถูกเห็น ปรากฏให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นธาตุที่สามารถที่จะรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติใช้คำว่าจิตตะ เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่จิตหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นก็จะมีอีกหลายคำที่แสดงความต่างของจิต แต่ก็ต้องเริ่มฟังทีละคำสองคำจนกระทั่งมีความเข้าใจจริงๆ เห็นทะเลกับขอบฟ้ามหาสมุทร ทำไมรู้ว่านั่นเป็นฟ้า นั่นเป็นมหาสมุทร เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แม้ว่าจะหลากหลายอย่างไรก็ตาม แต่จิตก็สามารถที่จะรู้ได้ เพชรแท้กับเพชรเทียม ถ้าไม่มีจิตจะบอกได้ไหม ไม่ได้เลยถึงความหลากหลายใช่ไหม เพราะฉะนั้นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะนั้น แต่ไม่ได้รู้มากกว่านั้นเลย แค่รู้แจ้งในลักษณะที่ปรากฏ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง นั่นคือจิต แต่ว่าต้องไม่ลืม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะมีการเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นตามความปรารถนาของใครเลยทั้งสิ้น แต่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย นี่ลึกลงไปอีก ถ้าไม่มีปัจจัยธาตุรู้ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นเป็นต้น ทุกขณะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ว่าคนเกิดหรือว่าเราเกิด ก็จะมีสภาพนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมจิตเป็นปัจจัยให้จิตเกิด ถ้าไม่มีสภาพธรรมนั้นจิตก็เกิดไม่ได้ สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยเกิดพร้อมจิต พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติใช้คำว่า เจตสิกะ คนไทยก็ชอบตัดสั้นๆ เสมอ ก็เรียกว่า เจตสิก จิตตะ ก็เรียกว่า จิต เจตสิกะ ก็เรียกว่า เจตสิก
เพราะฉะนั้นขณะที่ธาตุรู้เกิดขึ้น ต้องมี ๒ อย่าง คือจิต และ เจตสิก เป็นนามธรรมซึ่งแยกจากกันไม่ได้เลย ขณะใดที่มีธาตุรู้คือจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เจตสิกก็อาศัยจิตเกิด จิตก็อาศัยเจตสิกเกิด ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน ปราศจากกันไม่ได้ และก็แยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เกิดพร้อมกับเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๗ เจตสิก นี่แหละคือทุกขณะกำลังเป็นอย่างนี้ นี่เพียงเริ่มต้น แต่การที่จะค่อยๆ ฟังจนกระทั่งเป็นสัจจบารมี ไม่ไปอื่น นอกจากการฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นบุญ เป็นลาภที่ประเสริฐสุด เงินทองซื้อไม่ได้ ทรัพย์สมบัติมหาศาลซื้อไม่ได้ แต่พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงความจริง ซึ่งตรัสรู้ด้วยปัญญาให้คนอื่นได้รู้ตาม ได้เข้าใจตาม ได้ดับกิเลสตามได้ แต่ต้องด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้อะไร หรือว่าด้วยความคิดเอง เพราะบางคนฟังธรรมแค่คำเดียว คิดเองเยอะ เขียนตำราเป็นเล่มๆ พูดหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากไหน มาจากความคิดของตนเอง
เพราะฉะนั้นก็เป็นความต่างกันอย่างยิ่ง ซึ่งผู้ฟังสามารถที่จะรู้ได้ว่า คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำใดไม่ใช่แน่นอน เป็นคำของคนอื่น เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นวาจาสัจจะที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นที่ว่าเราเกิด ถูกไหม จิต เจตสิก รูปเกิด และก็เกิดเพราะปัจจัยหลายอย่าง ด้วยเหตุนี้คัมภีร์พระอภิธรรมจึงมี ๗ คัมภีร์ คัมภีร์สุดท้ายคือปัฏฐาน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
