สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๖๙
วันจันทร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๕
อ.สุภีร์ ปล่อยวางก็ใช้เป็นภาษาไทย โดยทั่วไปก็คงจะหมายถึงว่าการคิดเรื่องบางอย่าง แล้วทำให้ไม่สบายใจเกิดโทมนัสขึ้น หรือว่าเกิดความไม่สบายใจประการต่างๆ ขึ้น ก็อย่าไปคิดเรื่องนั้นให้ปล่อยวางเรื่องนั้นเสีย อันนี้เป็นคำพูดในภาษาไทย แต่ว่าในคำสอน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ปล่อยวางภาระที่เราแบกมา ภาระที่เราแบกมาก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง สิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนให้ปล่อยวางก็คือปล่อยวางขันธ์ ๕ นั่นเอง ฉะนั้นในภาษาไทยเราที่เอามาใช้ว่าให้ปล่อยวางเสียอะไรอย่างนี้ ก็เป็นคำที่ใช้กันเท่านั้นเอง แต่ว่าในคำสอนให้ปล่อยวางภาระ เพราะเหตุว่าภาระหนักนี้คือขันธ์ ๕ ผู้ที่แบกภาระก็คือสัตว์บุคคลทั้งหลาย
ท่านอาจารย์ คงเคยได้ยินคำว่าอุปาทานความยึดมั่น ทุกคนที่ไม่รู้แจ้งสภาพธรรมว่าเป็นธรรมมีความยึดมั่น ซึ่งความยึดมั่นในภาษาบาลีที่เป็นอุปาทาน มี ๔ อย่าง กามุปาทาน ๑ ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพัตตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑ อุปาทานมี ๔ เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่สภาพธรรมที่เป็นอุปาทานก็ได้แก่ โลภะ ฟังชื่อไม่มีใครชอบโลภะ แต่ความจริงแล้วก็เป็นสภาพของเจตสิกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นความติดข้อง มีหลายชื่อมากเลย เพราะเหตุว่าความติดข้องมีตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งถึงมากมายมหาศาล เช่น "อาสา" เป็นอีกชื่อหนึ่งของโลภะ ภาษาไทยความหมายอย่างหนึ่ง แต่ความหมายในภาษาบาลีคือความหวัง แค่หวังก็เป็นความติดข้อง เป็นลักษณะของโลภเจตสิกไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นในอุปาทาน ๔ ก็จะเป็นโลภะ ความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรสในโผฏฐัพพะ เพราะเหตุว่าคำว่า "กาม" หมายความถึงสภาพที่ใคร่ หรือน่าใคร่ เราเกิดมาในโลกที่มีรูปมีจิตเจตสิกจริง แต่ในภูมินี้มีรูปด้วย เฉพาะพวกอรูปพรหมภูมิเท่านั้นที่มีแต่นามธรรม คือ จิตและเจตสิกเกิดโดยไม่มีรูป แต่ภูมิอื่นตั้งแต่เบื้องต่ำสุด อบายภูมิ ๔ นรก เปรต อสูรกาย มนุษย์ เทวดา รูปพรหมพวกนี้มีรูปทั้งหมด เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีรูป และก็มีทางที่จะเห็นรูป เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าจิตไม่เกิดไม่ปรากฏเพราะไม่มีใครเห็น และก็ไม่ใช่คนที่เห็นด้วย แต่เป็นนามธรรมที่สามารถเกิดขึ้นแล้วก็เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม ตามความเป็นจริง เมื่อมีรูปและก็มีจิตเห็น ก็มีความติดข้องในสิ่งที่เห็น นี่เป็นของที่แน่นอนที่สุด ไม่มีใครที่ไม่อยากเห็น แล้วก็เวลาที่เห็นซึ่งทุกคนรู้ว่าต้องเห็น ก็อยากเห็นแต่สิ่งที่สวยๆ งามๆ ในบ้านทุกคนกลับไปดู มีสิ่งที่พอใจทั้งนั้นเลย มีดอกไม้ มีสวนดอกไม้ ห้องนอน มีสารพัดอย่างซึ่งสีสันต่างๆ ที่ทำให้พอใจ ถ้าไม่พอใจจะไม่อยู่ที่นั่น ในบ้านก็ไม่อยู่ ก็ออกไปนอกบ้านในสิ่งที่ไม่พอใจ
เพราะฉะนั้นเราติดในสิ่งที่น่าใคร่คือรูป ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภาษาบาลีเรียกธาตุ ๓ คือธาตุดินธาตุไฟธาตุลม ซึ่งสามารถที่จะปรากฏเมื่อกระทบสัมผัสว่าโผฏฐัพพะเพราะเหตุว่ามีถึง ๓ รูป สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เป็นรูปๆ หนึ่ง เพราะไม่ใช่สภาพรู้ เสียงที่กำลังได้ยินในขณะนี้ ก็เป็นรูปๆ หนึ่ง ไม่ใช่สภาพรู้ กลิ่นก็เป็นรูปที่ไม่ใช่สภาพรู้ รสก็เป็นรูปที่ไม่ใช่สภาพรู้ ส่วนเย็นหรือร้อนเป็นธาตุไฟหนึ่ง อ่อนหรือแข็งเป็นธาตุดินหนึ่ง ตึงหรือไหวเป็นธาตุลมหนึ่ง อีก ๓ รูป ในชีวิตของเราก็ติดอยู่ในรูป ๗ รูป ไม่ได้เกินไปกว่านี้เลย เพราะว่าปรากฏทุกวันให้เห็นให้ติดให้พอใจ เสียงก็เหมือนกันก็ปรากฏทั้งวัน และก็ต้องการเสียงที่ดี
เพราะฉะนั้นความติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นกามุปาทานความยึดมั่นในรูป มีใครคิดที่จะสละรูป ละรูป ไม่ต้องการรูปบ้างหรือเปล่า เรายังอยู่ในภูมิที่มีรูป เราก็จะอยู่ในภูมิมนุษย์ และเทวดา สำหรับกุศลที่เป็นระดับขั้นของทานศีล ยังไม่ถึงขั้นระดับที่ความสงบของจิตจะถึงภูมิของจิตที่สูงกว่าระดับนี้ เพราะฉะนั้นในภูมิหรือในที่เกิดหรือในสภาพของจิต ซึ่งยังติดข้องในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัส จิตเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือนทั้งปี ทั้งชาติ วนเวียนอยู่ในรูปเหล่านี้จึงชื่อว่า "กามาวจรจิต" เป็นคำรวมของภาษาบาลี ซึ่งขอเชิญคุณสุภีร์ช่วยกล่าวถึงด้วย
อ.สุภีร์ กามาวจรจิต ก็มาจากคำว่า "กามะ" ก็คือเป็นสิ่งติดข้องทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ได้แก่รูป ๗ รูปเป็นที่ติดของโลภะที่เราติดข้องกัน กามะบวกกับอวจร "อวจร" แปลว่าท่องเที่ยวไป จิตก็คือจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์นั่นเอง ฉะนั้น กามาวจรจิตก็คือจิตที่ท่องเที่ยวไปในกาม หรือว่ารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั่นเอง ก็คือภพภูมิต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอบายภูมิ ๔ หรือว่ามนุษย์ แล้วก็สวรรค์อีก ๖ ชั้น ก็เกี่ยวเนื่องอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหมด จึงเรียกว่ากามาวจรจิต จิตที่ท่องเที่ยวไปใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ว่าจะกระทำบุญประการต่างๆ ก็ปรารภ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั่นเองกระทำ และเมื่อผลของบุญนั้นให้ผลก็ให้ไปเกิดในภพภูมิที่ได้เห็นรูป ได้ยินเสียงเหล่านี้เป็นต้น มีภพภูมิเทวดาหรือว่าภพภูมิมนุษย์ ถ้ากระทำอกุศล ก็ปรารภ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะนั่นเองกระทำ และเมื่อผลของอกุศลนี้ให้ผลก็ให้ไปเกิดในภพภูมิที่เป็นอบายภูมิ ซึ่งก็มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เช่นเดียวกัน นี้ก็เป็นความหมายของกามาวจร
ท่านอาจารย์ เรากำลังพูดถึงเรื่องอุปาทาน ๔ อุปาทานที่ ๑ คือกามุปาทานความยึดมั่นในกาม รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ซึ่งทุกคนก็พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่ามีความยึดมั่นในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะมากน้อยแค่ไหน ทราบไหมว่าใครสามารถที่จะดับได้ พระโสดาบันยังดับไม่ได้ พระสกทาคามีซึ่งเป็นพระอริยบุคคลที่สูงกว่าพระโสดาบันขั้นที่ ๒ ก็ยังดับไม่ได้ ต้องถึงพระอริยบุคคลขั้นที่ ๓ คือพระอนาคามีบุคคล จึงจะดับได้ ความยินดีติดข้องในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสิ่งที่จริงและก็พิสูจน์ได้ ในเมื่อติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ มานานแสนนาน ต้องอาศัยปัญญาระดับใด ถึงแม้ว่าใครจะเคยบำเพ็ญกุศลขั้นความสงบของจิตถึงขั้นฌาน และก็เกิดเป็นพรหมในพรหมโลก แต่ว่ายังไม่เป็นพระอนาคามีบุคคลก็ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเป็นเรื่องตรง ประการแรกไม่ใช่ให้ละความยินดีติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะไม่ใช่ฐานะของปุถุชน ไม่ใช่ฐานะของพระโสดาบัน แต่เป็นฐานะของพระสกทาคามีบุคคล ซึ่งอบรมเจริญปัญญาจนถึงพระอนาคามีบุคคลแล้วจึงจะดับได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นปุถุชนธรรมดาหรือว่าผู้ที่เพียงเริ่มที่จะศึกษาพระธรรม ไม่ใช่ว่าไปให้ทำตัวให้ลำบาก แล้วก็คิดว่าจะละความติดข้องในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะด้วยวิธีอื่น เพราะเหตุว่าวิธีอื่นไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เลย แต่เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงดับกิเลส แล้วก็แสดงหนทางที่จะดับกิเลสได้ และก็ผู้ที่ดับกิเลสเพราะได้ประพฤติอบรมปัญญาตามพระองค์ก็มีมาก
เพราะฉะนั้นเรื่องของอุปาทานมี ๒ คือกามุปาทานแล้วก็เป็นโลภเจตสิก แล้วก็อุปาทานที่เหลือ ๓ อุปาทาน คือ ทิฏฐุปาทานความยึดมั่นในความเห็นผิด สีลัพพัตตุปาทาน คือ การลูบคลำทดลองประพฤติปฏิบัติข้อปฏิบัติที่ผิด และอัตตวาทุปาทานคือ การยึดมั่นในสิ่งที่มีว่าเป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นจิตเจตสิกรูป เพราะฉะนั้นที่จะปล่อยวาง การยึดถือกับการปล่อยวาง เรายึดถือด้วยความไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าจะปล่อยวาง จะเอาอะไรปล่อยวาง เอาความไม่รู้ปล่อยวางได้ไหม ไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาปล่อยวางความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนก่อน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะปล่อยวางอะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าการที่เรามีความติดข้องในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะมาก เป็นกามุปาทาน พอถึงทิฏฐุปาทานทำให้เรามีความเห็นผิดต่างๆ ความเห็นผิดในโลกนี้มากมาย ไม่ใช่เฉพาะศาสนาอื่น ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าศาสนาไหนก็ได้ แต่ขณะใดที่ความเห็นผิดใดๆ เกิดขึ้น ขณะนั้นก็คือความเห็นผิด จะเรียกว่าศาสนาอะไรก็แล้วแต่ หรือไม่เรียกก็ได้ แต่ความเห็นผิดก็เป็นความเห็นผิด ความเห็นผิดที่ต่างคนต่างมี ก็ทำให้เกิดมีการลูบคลำประพฤติปฏิบัติข้อปฏิบัติที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ขอเชิญคุณประเชิญให้ความคิดเห็นเรื่องนี้ ซึ่งบางคนที่มีความเห็นผิดจะคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง
อ.ประเชิญ เรื่องความเห็นผิด ก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่อยู่ไกลตัวที่ไหน แม้แต่ในเรื่องของอุปาทานขั้นแรก ตรงนี้ขออนุญาตเพิ่มเติมนิดหนึ่ง เพราะว่าบางท่านที่ไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ก็คิดว่าตัวท่านไม่มีการยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่จริงๆ แล้วตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่มีอยู่ในชีวิตของเรา ถ้ามีความพอใจมีความยินดี มีความติด มีความชอบใจ ในสี ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสิ่งที่กระทบสัมผัส นั่นคืออุปาทาน นั่นคือกามุปาทาน อย่างขณะนี้ที่มีดอกไม้ที่สวยๆ ตรงนี้ ถ้ามองแล้วก็ชอบใจ สวยดี นี่คือกามุปาทานแล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่มี หรือว่าเป็นสิ่งที่ไกลตัวที่ไหน ไม่ใช่
ส่วนทิฏฐุปาทานเป็นเรื่องของความเห็นผิดที่ไม่ตรงตามเป็นจริง เห็นว่าทำบุญทำบาปแล้วไม่มีผล บุญบาปไม่มี ชาติหน้าไม่มี พระพุทธเจ้าไม่มี พระธรรมไม่มี อันนี้ก็ไม่เชื่อตามความเป็นจริง ความเห็นที่ไม่ตรงตามเป็นจริงทั้งหมด ไปเชื่อเรื่องของดวงดาว เรื่องของธรรมชาติอย่างอื่นที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง นั่นคือทิฏฐุปาทานทั้งหมด
เพราะฉะนั้นถ้าขณะใดที่ไม่เห็นถูกต้องตามเป็นจริงในชีวิตประจำวันของเรา นั่นคือความเห็นที่ไม่ตรง ความเห็นที่ไม่ตรงตามเป็นจริงเป็นความเห็นผิด เป็นอุปาทานทิฏฐุปาทาน ถ้าเป็นความเห็นที่ผิดที่เด่นชัดที่ดิ่งจริงๆ ก็จะเป็นความเห็นที่ปฏิเสธเหตุผลทั้งหมด ในเรื่องของบุญบาปก็ดี เรื่องของโลกหน้าก็ดี ในเรื่องของเหตุผลทั้งหมด ก็ปฏิเสธความเป็นจริง นั่นคือทิฏฐุปาทานทั้งหมด
ท่านอาจารย์ อุปาทานที่ ๒ ก็ผ่านไปแล้ว อุปาทานที่ ๓ เชิญคุณสุภีร์ กล่าวถึง สีลัพพัตตุปาทาน
อ.สุภีร์ สีลัพพัตตุปาทาน ก็เป็นความเห็นผิด ที่มีความเห็นว่าการถือศีลหรือว่าการบำเพ็ญวัตรประการต่างๆ แล้วจะช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ อย่างเช่นบางท่านมีความเห็นว่าไปนั่งสักหน่อย สักสองสามวันอาจจะได้เห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือว่าอาจจะช่วยให้หลุดพ้นได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ก็เป็นการสมาทานข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเรียกว่า "สีลัพพัตตุปาทาน" อาจจะมีมากมายกว่านี้ บางท่านก็คิดว่าไปเดินๆ ย่องๆ สักหน่อยแถวรอบต้นไม้อะไรอย่างนี้ สักสองสามวันก็อาจจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างนี้ ซึ่งเป็นทางที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามีความเห็นผิดอย่างนี้ แล้วก็ถือเป็นข้อประพฤติปฏิบัติก็เป็นสีลัพพัตตุปาทาน เป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องที่จะทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้ หรือว่าไม่ใช่หนทางที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ว่าด้วยความไม่รู้ก็ไปยึดแล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามความเห็นผิดนั้น ซึ่งทางที่ถูกต้องที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็มี คือมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง ที่เราคงคุ้นเคยกัน ถ้าเป็นทางอื่นนอกจากทางคือมรรคมีองค์ ๘ ก็เป็นทางที่เป็นสีลัพพัตตุปาทานนั่นเอง ถ้าไปประพฤติปฏิบัติ และก็คิดว่าจะทำให้พ้นจากทุกข์ได้
ท่านอาจารย์ ศีลคือความประพฤติทางกายทางวาจา แล้วก็มีวัตรคือการบำเพ็ญอย่างหนึ่งอย่างใดที่คิดว่าจะให้ผล ตอนเป็นนักเรียนก็คงจะมีหลายคนใช่ไหมที่อยากจะสอบไล่ได้ บางคนก็เอาปากกาไปให้ใครเจิม หรือว่าอาจจะทำอะไรก็ได้หลายๆ อย่าง ที่ฟังแล้วก็คิดว่าจะให้ผลเป็นอย่างนั้น แต่นั่นก็คือความเห็นที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย เพราะฉะนั้นอุปาทานที่ ๔ คือ "อัตตวาทุปาทาน" อัตตคือ อัตตา ความเห็นว่ามีเราหรือเป็นเรา เป็นต้นเหตุของสีลัพพตปรามาส หรือสีลัพพัตตุปาทาน ความรักตัวทำให้มีความที่ประพฤติปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยเฉพาะคือเมื่อมีกามุปาทาน ความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ต้องการแสวงหา แต่ว่าบางคนก็อาจจะแสวงหาตามเหตุตามผล คือทำงานแล้วก็มีเหตุมีผลที่จะได้สิ่งนั้นมา แต่บางคนก็กระทำในทางทุจริตนั่นก็เป็นเรื่องของทุจริต แต่ในเรื่องของความเห็นที่ทำให้ไปแสวงหาสิ่งต่างๆ เหล่านั้น โดยที่ว่าไม่สามารถจะเป็นไปได้เลย ก็คงจะมี อาจจะคิดว่าเล่นแร่แปลธาตุ ก็คงจะออกมาเป็นเงินเป็นทองอะไรอย่างนี้ ก็มีหลายๆ อย่าง ตั้งแต่สมัยโบราณมา ก็ด้วยความรักตัว ก็มีความเห็นผิดต่างๆ มีการแสวงหาต่างๆ ที่จะทำให้ได้มาซึ่งรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะมีความยึดมั่นในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั้น
เพราะฉะนั้นทั้ง ๔ อุปาทานก็จะเห็นได้ว่า ต้องละความเห็นผิดก่อน ไม่ใช่ว่าไปละกามุปาทานก่อน แต่ต้องละความเห็นผิด แต่ความเห็นผิดละยาก เพราะว่าความเป็นเรา ซึ่งมีความต้องการทุกอย่างเพื่อเราอย่างดีที่สุด ทำให้มีการประพฤติปฏิบัติซึ่งถ้าไม่พิจารณา ไม่ศึกษาในเหตุในผลให้ถูกต้อง หนทางนั้นทั้งหมด ก็จะทำให้เราติด และก็ยึด และก็ไม่สามารถที่จะสละไปได้ ทำให้เป็นสีลัพพัตตุปาทาน เพราะเหตุว่ามีอัตตวาทุปาทาน แต่ถ้าเป็นคนที่มีเหตุมีผล เมื่อฟังดูแล้วก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้นได้ ก็สามารถที่จะละได้ แต่ถ้ามีความติดมากๆ จนกระทั่งเป็นอุปาทานแล้วก็ยากที่จะละได้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม และก็การพิจารณาพระธรรม รู้ว่าสิ่งใดเป็นเหตุเป็นผล ก็จะเป็นทางที่จะทำให้ค่อยๆ ละอัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในความเป็นเราด้วยความเห็นถูกต้องขึ้น และก็ค่อยๆ ละอย่างอื่นได้ แต่ว่าต้องละความเห็นผิดก่อน
ผู้ฟัง อาจารย์ประเชิญได้กล่าวว่า มีผู้เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าไม่มี ทีนี้ในการที่จะทราบว่ามีพระพุทธเจ้า เราจะต้องฟังธรรมหรืออย่างไรถึงจะทราบว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
อ.ประเชิญ ถ้าไม่ฟังพระธรรม เราก็ไม่ทราบว่า "พุทธะ" คำว่าพุทธเจ้า ก็หมายถึงผู้ที่รู้ พุทธะคือผู้ที่รู้ แล้วก็พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้ที่รู้ธรรมดา รู้แล้วสามารถที่จะสอนคนอื่นได้ด้วย เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะทราบว่าพระองค์มีคุณอย่างไร เป็นพุทธะอย่างไร ก็ต้องรู้ธรรมของพระองค์ รู้พระธรรมที่พระองค์ได้สั่งสอนถึงจะทราบ ถ้าเพียงได้เห็นพระรูป ในครั้งพุทธกาลก็จะมีบางท่านที่คอยติดตามพระผู้มีพระภาค และก็ได้พบได้เห็น แต่ว่าไม่รู้พระคุณของพระองค์ ก็ไม่ชื่อว่าได้เห็นพระพุทธเจ้า แต่ส่วนผู้ใดถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลแสนไกล แต่ว่าได้ฟังพระธรรมของพระองค์ที่ทรงแสดงไว้ หรือว่าอยู่ในยุคนี้ ถ้าได้รู้แจ้งในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะปรินิพพานไปแล้ว แต่รู้พระธรรมของพระองค์ก็ชื่อว่า ได้เห็นพระองค์ ได้เห็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้จักพระองค์ก็ต้องรู้ธรรมนั่นเอง
ผู้ฟัง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรบ้างไหมในชีวิตประจำวันว่าเป็นความจริง
อ.สุภีร์ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้และที่กำลังเป็นไปอยู่ก็คือจิต เจตสิก รูปนั่นเอง นี่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จิต เจตสิก รูป ทุกอย่างเป็นอนัตตา พระองค์ทรงสั่งสอนไว้ว่าธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา รวมทั้งนิพพานด้วย แต่นิพพานไม่ได้ปรากฏในชีวิตประจำวันใช่ไหม มีเพียงจิตเจตสิกรูปเท่านั้น
ทุกๆ ท่านที่นั่งอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นผู้ที่เกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ใช่ไหม ฉะนั้นก็ทุกขณะจิตก็จะมีรูป และนามก็คือจิตเจตสิกรูป หรือว่าขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง เป็นปัจจัยแก่กันและกันเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่การงาน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาอะไรได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็สามารถค่อยๆ ฟัง แล้วก็ค่อยๆ พิสูจน์ได้ในชีวิตประจำวันนั่นเอง อย่างการเห็นนี้เป็นอนัตตาได้อย่างไร เราอาจจะนึกไปสักหน่อยว่าอีก ๒ นาทีอะไรจะเกิดขึ้น อีก ๒ นาทีอะไรจะเกิดขึ้นนี้ ไม่มีใครรู้เลยใช่ไหม
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 061
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 067
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 075
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 076
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 077
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 078
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 079
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 080
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 081
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 082
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 083
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 084
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 085
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 086
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 087
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 088
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 089
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 090
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 091
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 092
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 093
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 094
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 095
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 096
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 097
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 098
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 099
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 100
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 101
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 102
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 103
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 104
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 105***
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 106
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 107
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 108
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 109
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 110
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 111
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 112
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 113
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 114
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 115
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 116
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 117
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 118
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 119
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 120
