สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๗๒
วันจันทร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครมองเห็นทั้ง ๒ อย่างทั้งจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ และสภาพธรรมที่เกิดกับจิตก็คือเจตสิกเกิดพร้อมกัน และดับอย่างรวดเร็วแล้วก็มีจิตที่เกิดสืบต่อเรื่อยๆ มา แต่ว่าจิตขณะแรกมีอะไรอยู่ที่นั่นบ้าง ต้องมีเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นทำกิจการงานโดยเป็นชาติวิบากคือเป็นผลของกรรม วิบากจิตหรือว่ากุศลจิต หรือว่าอกุศลจิต หรือจิตใดๆ ก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นต้องทำหน้าที่ จะเกิดโดยไม่ทำอะไรไม่ได้เลย ที่เราคิดว่าเราทำแท้ที่จริงก็คือจิตและเจตสิกทำนั่นเอง เพราะฉะนั้นขณะแรกจิตเจตสิกซึ่งไม่มีใครมองเห็นเลย เกิดแล้วเมื่อเป็นผลของกรรมหนึ่งที่ทำให้จิตนี้เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ทันทีที่จุติจิตของชาติก่อนดับพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง ชาติก่อนจะเป็นหญิงหรือชาย จะมีครอบครัวจะมีวงษาคณาญาติอย่างไรไม่สามารถที่จะกลับไปเป็นบุคคลนั้นอีกได้เลย แต่กรรมหนึ่งที่ทำให้ปฏิสนธิจิต คือจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย ซึ่งเป็นสัตติเป็นความสามารถของจิต ซึ่งทันทีที่จิตนั้นดับไป ก็จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อก่อนทันที
เพราะฉะนั้นจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนดับก็เป็นปัจจัยให้กรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรมเป็นจิตประเภทวิบากเกิดขึ้น เพียงขณะเดียวทำกิจสืบต่อจากชาติก่อน เมื่อดับไปแล้ว จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต แต่ว่าไม่ได้ทำกิจสืบต่อจากจุติจิตเหมือนอย่างปฏิสนธิจิต เพราะเหตุว่าจิตแต่ละประเภทก็ทำหน้าที่แต่ละอย่าง
ทุกจิตที่ทำกิจปฏิสนธิต้องเป็นผลของกรรม และกรรมก็จะประมวลมาซึ่งลาภ ยศสรรเสริญ สุขทุกข์ ต่างๆ ของแต่ละคนในแต่ละชาติ ตามความสามารถหรือตามปัจจัยที่ทำให้ปฏิสนธิจิตนั้นเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นในภูมิต่ำๆ เช่น ในอบายภูมิได้แก่เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสูรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้ว่าจะได้ยินเสียงพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่การที่เกิดในสุคติภูมิคือภูมิที่ดีเป็นผลของกุศลกรรม ทำให้บุคคลใดก็ตามที่เคยได้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม แล้วก็ได้สะสมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ก็มีโอกาสที่จะสะสมความรู้ความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏสะสมสืบต่อไปในชาติต่อๆ ไปด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งหมด แต่ก็น่าอัศจรรย์ที่ปฏิสนธิจิตมองไม่เห็นมีจิตและมีเจตสิกเกิดทำกิจการงาน ถ้าเป็นกุศลวิบาก เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็จะประกอบด้วยโสภณเจตสิกซึ่งหมายความถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยนั้นเป็นเจตสิกที่ดีงาม ซึ่งเจตสิกที่ดีงามก็ได้แก่ศรัทธาเจตสิกเป็นสภาพที่ทำให้จิตผ่องใส เพราะว่าถ้าขณะใดที่เป็นอกุศลจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามขณะนั้นไม่ผ่องใสเลย แต่พอพ้นจากสภาพของอกุศลจิตจะเป็นจิตประเภทที่ดีงาม เจตสิกที่เป็นศรัทธาเจตสิกก็ทำกิจหรือมีลักษณะที่ทำให้จิตขณะนั้นผ่องใสจากอกุศล
ขณะที่กำลังฟังพระธรรมก็มีจิตหลายประเภทที่เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นวิบากคือเป็นผลของกรรมในอดีต และที่เป็นกุศลหรืออกุศล ตามที่ได้ทราบแล้วว่าจิตมี ๔ ชาติ คือ กุศล ๑ อกุศล ๑ เป็นเหตุให้เกิดจิตที่เป็นผลคือวิบากจิต ส่วนจิตอีกชาติหนึ่งนั้นก็คือกิริยาจิต ไม่ใช่ทั้งกุศล อกุศล และวิบาก ซึ่งผู้ที่สนใจก็จะศึกษาในพระอภิธรรมได้ ในหนังสือ หรือตามสถานที่ หรือที่ๆ มีการบรรยายพระอภิธรรม แต่ว่าโดยนัยของพระสูตรไม่ได้กล่าวถึงการเกิดดับสืบต่อของจิตอย่างละเอียดทุกขณะจิต โดยกิจ โดยประการต่างๆ แต่ก็ทรงแสดงการสืบต่อของจิต
เพราะฉะนั้นเวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นมีจิตและเจตสิกเกิดร่วมกันทำกิจการงานเป็นจิตที่ดี แต่เมื่อจิตใดทำกิจเกิดขึ้นหมายความว่าจิตนั้นยังมีกิเลสอย่างละเอียดที่ยังไม่ได้ดับ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมด เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย จะไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตเลย
เพราะฉะนั้นก็มีความต่างกันระหว่างผู้ที่ยังมีกิเลสกับผู้ที่ดับกิเลสหมดแล้ว ผู้ที่ดับกิเลสหมดถึงความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ซึ่งเมื่อจุติจิตเกิดและดับใช้คำว่า "ปรินิพพาน" คือ ดับโดยรอบไม่มีสภาพธรรมใดจะเกิดสืบต่อที่จะเป็นสัตว์บุคคลใดๆ อีกได้เลย
แต่บุคคลใดๆ ก็ตามที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อจุติจิตเกิดแล้วดับต้องเกิด เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสอยู่จึงทำให้ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบากเกิดสืบต่อดำรงภพชาติสืบต่อไป เพราะฉะนั้นกิเลสที่ทำให้เกิด แล้วก็ยังมีอยู่ในขณะที่เกิด ก็คือกิเลสประเภทที่ละเอียดมาก นอนเนื่องอยู่ในจิต ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่อกุศลเจตสิกที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน แม้ว่าจิตที่ปฏิสนธิเป็นผลของกุศลกรรม ทุกคนที่เกิดมาที่อยู่ในห้องนี้เป็นผลของกุศลกรรม ปฏิสนธิจิตเป็นกุศลวิบากจิต แต่มีกิเลสอย่างละเอียดนอนเนื่องอยู่ในจิต เป็นพืชเชื้อที่จะทำให้กิเลสใดๆ เกิดเป็นอกุศลจิตได้ เพราะฉะนั้นเราจะมองไม่เห็นนามธรรมซึ่งเป็นจิตและเจตสิก ซึ่งเกิดทำกิจการงานแต่ก็ยังมีกิเลสอย่างละเอียดที่แฝงอยู่ หรือว่าอยู่กับจิตทุกขณะ จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะว่ากิเลสอย่างละเอียดซึ่งเป็นพืชเชื้อที่จะทำให้อกุศลธรรมหรืออกุศลจิตเกิด ซึ่งชื่อว่าอนุสัยกิเลส จะดับได้โดยโลกุตตรจิต หมายความว่า ถ้าไม่มีการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่สามารถจะดับกิเลสได้เลย
ขณะนี้อาจจะมีคนที่เห็นโทษของอกุศลหรือกิเลส เห็นโทษของโลภะ เห็นโทษของโทสะ ไม่ทราบว่าเห็นของโมหะความไม่รู้หรือเปล่า แต่ว่าถ้าไม่มีโมหะความไม่รู้ โลภะโทสะก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็จะต้องค่อยๆ พิจารณาในเหตุในผลแล้วก็ปัญญาที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ถึงการดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่าการที่จะดับกิเลสได้นั้นต้องด้วยปัญญาเท่านั้น อย่างอื่นเพียงศีลก็ดับกิเลสไม่ได้ หรือว่าเพียงความสงบของจิตก็ดับกิเลสไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม คือรู้อย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้บุคคลอื่นสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรมตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ จึงจะดับกิเลสได้ เมื่อโลกุตตรจิตเกิด มีนิพพานเป็นอารมณ์
เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็กำลังเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การที่สามารถที่จะคลาย แล้วก็ดับกิเลสได้ในที่สุด แต่ว่าไม่ใช่เรื่องเร็ว ไม่ใช่ว่าวันสองวันก็สามารถที่จะดับกิเลสที่สะสมมานานแสนนานได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรง และก็รู้ว่าปัญญารู้อะไร เมื่อไหร่ และอริยสัจ ๔ นั้นคืออะไร แล้วถึงจะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งรู้แจ้งได้ แต่ก่อนอื่นถ้าไม่รู้จักกิเลส มีใครจะดับกิเลสได้ไหม ถ้าจะดับกิเลสก็คือต้องรู้จักกิเลสว่ากิเลสมีอะไรบ้าง
กิเลสมี ๓ ระดับๆ ที่ละเอียดที่สุดซึ่งแม้กุศลจิตจะเกิด หรือจิตประเภทใดๆ จะเกิดก็ตามแต่ที่ไม่ใช่โลกุตตรจิต จิตนั้นยังมีอนุสัยกิเลสเป็นพืชเชื้อที่จะทำให้อกุศลจิตเกิด
ส่วนกิเลสอีกระดับหนึ่งคือเมื่อได้เหตุปัจจัยแล้วอนุสัยกิเลสคือพืชเชื้อของกิเลสก็ทำให้อกุศลเจตสิกเกิดทำกิจการงานหน้าที่ของอกุศลเจตสิก เป็นกิเลสที่กลุ้มรุมทำให้ขณะนั้นสามารถที่จะรู้ถึงความไม่ผ่องใส ความอยาก ความดิ้นรน ความโกรธ หรือว่าความขุ่นเคืองใจ ความกังวลใจทุกอย่าง ขณะนั้นก็เป็นกิเลสอีกระดับหนึ่งคือเป็น"ปริยุฏฐานกิเลส" คือ กิเลสที่มีเชื้อปัจจัยได้เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
ซึ่งในวันหนึ่งๆ อาจจะไม่ทราบเลยว่ากิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานก็มีหลายระดับ เมื่อตื่นขึ้นมาเป็นกุศลหรืออกุศล ต้องทราบ ถ้าไม่ทราบไม่รู้จักกิเลสที่บางมาก "อาสวะ" อีกชื่อหนึ่งของพระอรหันต์คือ "ขีณาสวะ" แม้กิเลสอย่างบางที่สุดก็ไม่มี เพราะถ้ายังมีอยู่ก็ยังไม่หมดกิเลส โดยมากเราไม่ค่อยคิดว่าทันทีที่เห็นวาระของจิตที่เห็น หรือวาระของจิตที่ได้ยินวาระหนึ่งๆ ดับไปแล้วอกุศลจิตเกิดแล้ว เร็วมาก เพราะว่าจิตเกิดดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ทำกิจหน้าที่นั้นๆ แล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นจะไม่รู้จักอาสวะกิเลสคือกิเลสอย่างบางที่เมื่อเห็นแล้วก็กิเลสเกิดแล้วก็ไม่รู้
ก็จะขอค่อยๆ กล่าวถึงเรื่องของกิเลสตามลำดับ เพื่อที่จะให้รู้ว่า วันหนึ่งๆ มีกิเลสอะไรบ้าง และกิเลสเหล่านั้นจะค่อยๆ คลายลงไปได้ด้วยจิตอะไร ซึ่งก็ต้องเป็นโลกุตตรจิตเท่านั้นที่จะดับได้ แต่ก่อนนั้นขณะที่กำลังอบรมเจริญปัญญากุศลทั้งหลายก็ค่อยๆ เจริญขึ้น สำหรับวันนี้ก็ขอให้คิดถึงอนุสัยกิเลสซึ่งมีอยู่ในจิต ติดอยู่ในจิต ไม่ว่าจิตใดแม้ว่าขณะนั้นจะเป็นกุศลจิตหรือเป็นวิบากจิตก็ตามแต่ ขอเชิญคุณสุภีร์กล่าวถึงชื่อของอนุสัยกิเลสด้วย
อ. สุภีร์ คำว่า"อนุสัยกิเลส" คำว่า อนุสัย คำเดียวส่วนใหญ่แล้วท่านก็แปลกันว่า นอนเนื่อง "อนุสัย" ก็มาจากคำว่า "อนุ" ที่ท่านแปลว่า เนื่อง ในที่นี้แล้วก็ สี แปลว่านอนก็เอา อี เป็น ยะ เป็น สยะ อนุ ก็แปลว่า เนื่อง ก็ได้ แปลว่า ตาม ก็ได้ แต่ว่า"อนุ" ในคำว่า อนุสัย มาจากภาษาบาลีที่ยาวกว่านี้ มาจากคำว่า "อนุปจฺฉินฺน" หมายถึงว่ายังตัดไม่ขาด หรือว่ายังตัดไม่ได้ด้วยมรรคจิต ก็คือเป็นกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ตลอดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีมรรคจิตเกิดขึ้นตัดกิเลสชนิดนี้ นี้เป็นกิเลสที่เรียกว่า อนุสัยกิเลส ส่วนใหญ่ที่ท่านแปลไว้ก็แปลว่า กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ยังละไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็คงจะค่อยๆ เข้าใจเรื่องของอนุสัย ขณะนี้ที่กำลังนั่งและฟังธรรม ทั้งๆ ที่กำลังฟังธรรมมีอนุสัยไหม มี เห็นที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม จิตเห็นมีอนุสัยไหม มี ไม่มีไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ถ้าจิตขณะนี้ไม่มีพืชเชื้อหรือว่าการสะสมทั้งทางฝ่ายกุศล และอกุศล เมื่อจิตนี้ดับไปแล้วอะไรจะเป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง เพราะฉะนั้นในจิตแต่ละขณะจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สะสมมา ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ถ้าได้อ่านชาดกคือพระชาติต่างๆ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวก ก็จะทราบว่านานแสนนานมาแล้ว ชีวิตก็คือเหมือนอย่างนี้ การกระทำทั้งหลายๆ ในชาตินี้ก็คล้ายๆ กับการที่ได้เคยกระทำมาแล้ว เพราะว่ามีการสะสมของแต่ละบุคคลมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเราสามารถที่จะรู้ได้ว่าไม่ว่าเราจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะคิด จะทำ ก็คือสิ่งที่เราได้เคยกระทำหรือว่าสะสมมาจนกระทั่งทำให้แต่ละคนก็มีลักษณะที่ต่างกันไป
แต่ข้อสำคัญก็คือต้องทราบว่าจิตทุกขณะไม่ว่าจะเป็นกุศลระดับใด เช่น ฌานจิตเป็นกุศลอีกระดับหนึ่งไม่ใช่กามาวจรกุศล เพราะว่าจิต ภูมิ หรือระดับที่ต่ำที่สุดก็คือภูมิธรรมดาๆ อย่างนี้ที่เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โผฏฐัพพะหมายความถึงสิ่งที่สามารถกระทบกับกายประสาท ซึ่งมีลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึง หรือไหว เพราะฉะนั้นก็เรียกรวมเป็นโผฏฐัพพะ หรือโผฏฐัพพารมณ์เมื่อปรากฏเมื่อกระทบกับทางกาย เวลาที่มีสภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นปรากฏขณะใดก็ตามขณะนั้นเป็นกามาวจรจิต เพราะเหตุว่าคำว่า "กาม" หมายความถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อาหารที่รับประทานเป็นกามหรือเปล่า เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่พ้นกามเลย ถ้าจะทำกุศลๆ ของเราก็เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในวัตถุซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่งต่างๆ เหล่านั้นยังไม่ขึ้นถึงอีกระดับหนึ่งซึ่งเป็นการที่สามารถจะระงับกิเลสได้มั่นคง ด้วยความสงบเพิ่มขึ้นจนถึงระดับของสมาธิที่เป็นขั้นฌานจิต แต่ขณะนั้นก็ยังมีอนุสัยกิเลส แต่อนุสัยกิเลสถ้าดับด้วยมรรคจิตใดจะไม่เกิดอีกเลยเป็นสมุจเฉทจริงๆ นี่ก็เป็นการที่แสดงให้เห็นว่าถ้าเราไม่มีการได้ฟังพระธรรมจะมีโอกาสที่จะดับกิเลสได้ไหม ไม่มีทางเลย เราเกิดมาแล้วนานแสนนานเราก็จะเกิดต่อไปไปอีกนานแสนนาน ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งก็ได้แก่จิตเจตสิก และรูปเท่านั้นเองจริงๆ
ถ้าเป็นการศึกษาเรื่องของธรรมก็จะรู้ว่าธรรมทุกอย่างเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เป็นอธิธรรมเพราะว่าละเอียดยิ่งในจิต ๑ ขณะ นอกจากทรงแสดงว่าประกอบด้วยเจตสิกอะไร มีอนุสัยอะไร และการที่สะสมมาแต่ละคนก็จะต่างกันไปอย่างไรก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว สำหรับรูปาวจรจิตคือณานจิตที่มีรูปเป็นอารมณ์ซึ่งเป็นจิตอีกระดับหนึ่ง และสูงกว่านั้นอีกระดับหนึ่งคือณานจิตที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ทั้งหมดนี้มีอนุสัยกิเลส ขอเชิญคุณอรรณพกล่าวถึงอนุสัย ๗
อ.อรรณพ อนุสัยกิเลสตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าว แม้ว่าจะเป็นกิเลสที่ไม่ได้เกิดขึ้นแต่เราพิจารณาตามเหตุตามผลเราก็ทราบว่าอนุสัยซึ่งเป็นกิเลสที่ตามนอนหรือที่มีอยู่ในจิตทุกขณะ แม้ว่าในขณะนั้นจะเป็นกุศลจิตหรือว่าเป็นวิบากจิต อย่างเช่นจิตเห็น เพราะว่าถ้าไม่มีอนุสัยกิเลสๆ ที่เป็นปริยุฏฐานหรือกิเลสที่กลุ้มรุมจิตใจ ก็จะไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะอนุมานหรือประเมินได้แม้ว่าเราจะไม่รู้อนุสัยเพราะเป็นสภาพที่ละเอียดไม่ใช่ปัญญาของพระสาวกที่จะรู้ได้ อัธยาศัยการสะสมสิ่งที่ดีและไม่ดีเป็นวิสัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงรู้ แต่เมื่ออกุศลเกิดกับเราครั้งใด นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราน้อมพิจารณาได้ว่าแม้ในขณะที่เราหลับสนิท อนุสัยมีแม้จะไม่เกิดขึ้นทำกิจการงาน แต่พอตื่นขึ้นโลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นแล้ว อกุศลต่างๆ เกิดขึ้นเพราะมีพืชเชื้อ เรามีอกุศลที่เป็นความยินดีพอใจในรูปเสียงกลิ่นรส ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหม รูปสวยๆ เสียงเพราะๆ รสดีๆ ขณะนั้นโลภะเกิดขึ้นติดข้องแล้ว โลภะเกิดขึ้นได้จากอะไร จากการที่มีพืชเชื้อของโลภะคือกามราคานุสัย อนุสัยคือความยินดีติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส ชนิดที่ ๑ ของอนุสัยคือ กามราคานุสัย แล้วที่เรายังต้องเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ แม้ว่าบางครั้งจะลำบากแสนสาหัส แต่ทุกชีวิตก็อยากจะมีชีวิตอยู่มีความพอใจในอัตภาพนี้ มีความพอใจในความเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครที่ไม่อยากจะเกิดอีกแม้ว่าจะพูดกันไปลอยๆ ว่าไม่อยากเกิดแล้ว แต่จริงๆ เหตุไม่สมควรกับผล ยังมีความยินดีพอใจในภพซึ่งเกิด แม้ในรูปพรหม อรูปพรหมก็ยังมีความยินดีพอใจในภพ ซึ่งความยินดีพอใจในภพก็เป็นความติดข้องซึ่งเกิดขึ้นก็เพราะว่ามีภวราคานุสัย อนุสัยคือความยินดีพอใจในภพ ภวะ หรือภพ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดความติดข้องในความเป็นอัตภาพนี้ ความเป็นอย่างนี้
โทสะทุกคนเกิดขึ้นแน่นอนใช่ไหม การที่โทสะจะเกิดได้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพืชเชื้อของโทสะอยู่เลย เพราะฉะนั้นพืชเชื้อที่ตามนอนอยู่ในจิตทุกขณะ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอนาคามีซึ่งดับอนุสัยที่เป็นโทสะได้คือพระอนาคามีท่านจะดับปฏิฆานุสัยได้ อันนี้ก็เป็นอนุสัยชนิดที่ ๓ ปฏิฆะก็คือโทสะความโกรธความไม่พอใจ แม้ในขณะที่หลับสนิทปฏิฆานุสัยตามนอนอยู่แล้ว เมื่อตื่นขึ้นมีเหตุปัจจัยก็ทำให้โทสะเกิดขึ้น เช่นในขณะนี้ฟังธรรมเป็นกุศล เดินทางออกไปหลังจากเลิกนี้แล้ว หรือกลับไปบ้านโทสะอาจจะเกิดเมื่อไปพบกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ แต่โทสะจะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้เพราะมีปฏิฆานุสัยเป็นพืชเชื้อ ซึ่งถ้าไม่ใช่พระอนาคามีก็ยังดับไม่ได้
ทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าตราบใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ก็ยังมีโอกาสที่จะมีความเห็นผิดต่างๆ ซึ่งเราก็พอจะเห็นกันว่าบางคนก็เชื่อเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลย มีความเห็นผิดต่างๆ ไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งความเห็นผิดมี ความเห็นนั้นหลากหลาย เราคงมีเพื่อนที่สนใจธรรมแต่ก็มีความเห็นที่หลากหลายแตกต่างกันไป ความเห็นผิดที่เกิดขึ้นเป็นสภาพธรรมที่มีจริงเป็นเจตสิกอย่าง หนึ่ง คือ "ทิฏฐิเจตสิก" เจตสิกคือสภาพที่เกิดขึ้นประกอบกับจิต ทิฏฐิเจตสิกก็เป็นเจตสิกที่เป็นฝ่ายอกุศล ซึ่งเมื่อเกิดประกอบกับจิตดวงใดก็กระทำให้จิตดวงนั้นเป็นไปด้วยความเห็นผิด และทิฏฐิก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นมาได้ลอยๆ ก็ต้องมีพืชเชื้อคือทิฏฐานุสัย ก็เป็นประการที่ ๔
ต่อไปคือความลังเลสงสัย บางคนคิดว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหมพระธรรม พระสงฆ์ มีจริงไหม คำสอนที่พระองค์ทรงแสดงเป็นเครื่องนำออกมีประโยชน์จริงอย่างนั้นไหมภพชาติมีจริงไหม หรือว่าความสงสัยในสภาพธรรมต่างๆ เกิดขึ้น อันนี้มีแน่เป็นสภาพธรรมแล้วก็เป็นเจตสิกธรรม เพราะฉะนั้นความลังเลสงสัยหรือวิจิกิจฉาเจตสิกก็เป็นเจตสิกอีกอย่างหนึ่ง ความลังเลนั้นจะเกิดขึ้นก็ต้องมีอนุสัยกิเลสคือวิจิกิจฉานุสัย ซึ่งจะเป็นพืชเชื้อให้เกิดความลังเลสงสัยเกิดขึ้น
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 061
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 067
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 075
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 076
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 077
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 078
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 079
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 080
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 081
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 082
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 083
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 084
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 085
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 086
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 087
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 088
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 089
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 090
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 091
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 092
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 093
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 094
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 095
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 096
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 097
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 098
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 099
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 100
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 101
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 102
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 103
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 104
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 105***
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 106
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 107
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 108
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 109
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 110
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 111
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 112
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 113
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 114
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 115
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 116
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 117
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 118
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 119
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 120
