สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๖๓

    วันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ วันนี้ก็จะเป็นการทบทวนเรื่องที่ได้ฟังแล้วคือธรรมเป็นเรื่องที่มีอยู่ทุกขณะแม้ในขณะนี้ แต่การฟังแม้ในพระไตรปิฏกเองพระผู้มีพระภาคก็ตรัสถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ทุกสูตรทุกแห่งเพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ในขณะที่ได้ฟัง

    สำหรับในวันนี้ ก็จะเป็นการทบทวนเรื่องจิต เพราะว่าจิตเป็นธรรมที่สำคัญที่สุดเวลาที่พูดถึงธรรมไม่อยู่ไกลตัวเลย ที่ตัวมีธรรมทั้งหมดซึ่งเราไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลย แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏ และทำกิจการงานทั้งวันทั้งคืนตั้งแต่เกิดจนตายก็คือจิตและเจตสิกซึ่งต้องเกิดร่วมกัน และรูปธรรมก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งมี ในขณะไหนก็ตามที่จะปราศจากจิตเจตสิกและรูปไม่มีเลย เพราะฉะนั้นในขณะนี้เองขอให้ทุกคนลืมเรื่องอื่น แล้วก็คิดถึงจิตซึ่งได้ฟังมาแล้วว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้กำลังเห็น เป็นจิตไม่ใช่รูป เพราะว่ารูปไม่สามารถที่จะเห็นไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย และถ้าไม่มีการเห็นเกิดขึ้นลักษณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ก็ไม่สามารถจะมีใครที่จะรู้ความจริงของสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้ได้ แต่เพราะเหตุว่าเห็นในขณะนี้มี และเราก็ลืมที่จะคิดถึงสภาพธรรมที่มีจริงทีละอย่างไม่ใช่พร้อมกันหลายๆ อย่าง เช่นในขณะนี้กำลังเห็น ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเสียง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นเลย แต่ขณะที่กำลังเห็นค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังเห็น ถ้าใช้ชื่อก็คือจิตและเจตสิก เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจิตโลกไม่ปรากฏ อะไรๆ จะปรากฏไม่ได้เลยทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่ามีจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้จึงปรากฏได้

    เพราะฉะนั้นจิตจะทำงานอยู่ ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจคิดนึก แต่ต้องทีละขณะจะพร้อมกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังเห็นขอถามว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น หรือว่ามีอย่างอื่นด้วย กำลังเป็นของจริง กำลังมีจริงๆ และขณะที่กำลังเห็นขณะนี้เห็นมี และก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ว่ามีเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นหรือว่ามีอย่างอื่นด้วยในขณะที่กำลังเห็น ธรรมเป็นเรื่องที่ถ้าคิดแล้วก็จะเกิดความเข้าใจของตัวเองแล้วก็จะเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ ชัดขึ้นตรงขึ้น และก็ไม่ลืมด้วย แต่ถ้าเราจะตามตัวหนังสือหรือตามตำราเราอาจจะท่องได้ แต่ว่าไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้เช่นเห็น พูดว่าเห็นดูเหมือนกับว่าสำคัญหรือไม่สำคัญ เห็น ถ้าเกิดไม่เห็นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะรู้ว่าการเห็นสำคัญเพียงใด แต่ว่าพอเห็นจนชินก็เลยไม่คิดถึงว่าขณะที่เห็น เพียงเห็น จะมีอะไรในโลกนี้ปรากฏด้วยในขณะที่กำลังเห็นหรือเปล่า หรือว่ามีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น นี่คือการที่จะค่อยๆ รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงจนกระทั่งเป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรเหลือที่จะยึดถือว่าเป็นเราได้เพราะเหตุว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ จิตจะเกิดซ้อนกันสองขณะไม่ได้เลย จิตของใครแต่ละคนก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่การดับไปของจิตจะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น

    การฟังธรรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ว่า ขณะนี้ที่ตรัสว่าสังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องในขณะนี้สภาพธรรมเกิดขึ้นเห็น ขณะนี้ผู้ที่รู้ความจริงรู้ว่าสภาพธรรมนั้นดับ และจิตอื่นก็เกิดสืบต่อแล้วก็ดับ และจิตอื่นก็เกิดสืบต่อ ที่เราได้เรียนไปแล้วเรื่องกิจของจิต ๑๔ กิจ แต่ว่าโดยนัยของพระสูตรไม่ได้แสดงเรื่องของกิจ ๑๔ กิจเลย แสดงเพียงเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเกิดวนเวียน ทางตากำลังเห็นดับ ทางหูได้ยินดับ ถ้าขณะนี้มีกลิ่นปรากฏ จิตนั่นเองเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้กลิ่นที่ปรากฏ กลิ่นนั้นจึงปรากฏได้ ถ้าไม่มีจิตอะไรๆ ในโลกก็ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะเห็นความสำคัญของจิตซึ่งไม่เคยขาดเลยตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจให้เห็นความเป็นอนัตตาของจิต ในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทำกิจเห็นแล้วก็ดับไป ถ้ากล่าวโดยปัจจัย จิตกับเจตสิกเกิดร่วมกันจะแยกกันไม่ได้เลย ที่ใดที่มีจิต ที่นั่นต้องมีเจตสิก ที่ใดที่มีเจตสิกที่นั่นต้องมีจิตอาศัยกันและกันเกิดขึ้น บางท่านที่เคยได้ยินคำว่าปฏิจจสมุปบาทก็จะทราบความหมายได้ว่าเป็นธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าธรรมใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้เลย จะต้องมีสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นจิตอาศัยเจตสิกเกิดขึ้น เจตสิกอาศัยจิตเกิดขึ้น เพียง ๒ อย่างใช้คำว่าโดยการเป็น สหชาตปัจจัย หมายความว่าต้องเกิดพร้อมกัน บางท่านสนใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาก และก็พยายามที่จะเรียงหัวข้อของปฏิจสมุปบาท แต่ว่าถึงจะเรียงหัวข้อของปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่เป็นปฏิจจสมุปบาทจริงๆ ในขณะนี้ แต่ถ้าสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้แล้วก็เห็นความที่สภาพธรรมแต่ละอย่างที่จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยกันเกิดขึ้นก็จะสามารถเข้าใจธรรมก่อน แล้วเวลาที่ได้ยินชื่อต่างๆ ในพระไตรปิฎกก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เช่น สหชาตปัจจัย จิตเป็นสหชาตปัจจัยแก่เจตสิก และเจตสิกก็เป็นสหชาตปัจจัยแก่จิต ไม่ยากใช่ไหมปัจจัย คนที่เรียนธรรมแบบอภิธัมมัตถสังคหะจะมีปริเฉทที่ ๑ เรื่องจิต และปริเฉทที่ ๒ เรื่องเจตสิก แล้วก็ต่อไปก็จะเป็นเรื่องของปัจจัยในปฏิเฉทหลังๆ และบางคนก็คิดว่าคงจะยุ่งยากมากทีเดียวในเรื่องของปัจจัย แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้าได้เข้าใจตั้งแต่ต้นจะไม่ยุ่งยากเลย ถ้ามีความเข้าใจในความเป็นปัจจัยคือจิตเจตสิกรูปที่จะเกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง ปัจจัยก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป นั่นเอง

    รูปเป็นปัจจัยให้เกิดจิตได้ไหม ได้แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจักขุปสาทจิตเห็นจะเกิดได้อย่างไร เพียงแค่นี้ เพียงแค่คิดนิดเดียวเราก็สามารถที่จะเห็นความเป็นปัจจัยได้ว่า แม้แต่ในขณะเห็นขณะนี้ ที่เห็นจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยจักขุปสาท เพราะฉะนั้นรูปซึ่งเป็นจักขุปสาทก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นเห็น ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ตั้งแต่เกิด นามธรรมคือจิต และเจตสิก ต้องอาศัยรูป ต้องเกิดที่รูป แม้ว่าการเกิดของแต่ละคนเป็นผลของกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตคือจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนเกิดขึ้น โดยกรรมซึ่งจะเป็นปัจจัย ทำให้แล้วแต่ๆ ละคนจะมีปฏิสนธิจิตที่เป็นกุศลวิบากคือผลของกุศล หรือว่าเป็นผลของอกุศลคืออกุศลวิบาก กรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นกัมมปัจจัย เพราะฉะนั้นเพียงแต่เริ่มฟังเราก็จะได้ยินคำว่าปัจจัยหลายปัจจัย เช่น กัมมปัจจัย สหชาตปัจจัย และการที่จิตขณะหนึ่งเกิดและดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นเป็น อนันตรปัจจัย หมายความว่าจิตทุกดวงเว้นจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีอนันตรปัจจัย หรือไม่เป็นอนันตรปัจจัย แสดงว่าใครก็ตามที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์เมื่อจุติจิตดับปฏิสนธิจิตต้องเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย

    เพราะฉะนั้นเราจากโลกก่อนมาโดยปฏิสนธิจิตในชาตินี้เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน และจุติจิตของชาตินี้ดับไปก็จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจุติจิตของชาตินี้ไม่มีระหว่างคั่นเลย เป็นเรื่องของสภาพธรรมซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แล้วแต่ว่าสภาพธรรมนั้นเป็นนามธรรม รูปธรรม เป็นจิตเจตสิตก็จะเกิดดับสืบต่อนานแสนนานจนถึงขณะนี้ และก็ต่อไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ นี่ก็เป็นการทบทวนเรื่องที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ ไม่ทราบมีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมที่จะสนทนากันขอเชิญถ้ามี อาจารย์อรรณพมีอะไรจะเพิ่มเติมไหม

    อ.อรรณพ จิตกับเจตสิกเป็นนามธรรมซึ่งเกิดประกอบกัน และมีสภาพที่ละเอียดยิ่งกว่ารูป การที่จะทำความเข้าใจในความเป็นนามธรรมที่เป็นจิตกับเจตสิก ขอท่านอาจารย์ได้ช่วยอธิบายหรือช่วยให้คำแนะนำที่จะมีความเข้าใจถูกในลักษณะของจิตเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมซึ่งมีความละเอียดยิ่งกว่ารูปธรรม

    ท่านอาจารย์ นามธรรมเป็นสิ่งที่มีแต่เพราะเหตุว่าไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ก็เป็นสิ่งซึ่งยากที่จะรู้ได้ เช่นในขณะนี้มีสีสันวรรณะกำลังปรากฏ สีสันวรรณะที่ปรากฏไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นความต่างกันของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมกับนามธรรมก็คือรูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้ ไม่สามารถจะเห็น ไม่สามารถจะคิด ไม่สามารถจะเป็นสุขเป็นทุกข์ได้เลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมใดก็ตามไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นแต่ว่าถ้าสภาพธรรมนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้สภาพธรรมนั้นเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้รูปธรรมเสียก่อน เช่นขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏเป็นรูปธรรม เสียงปรากฏมองไม่เห็นเสียงก็จริงแม้ว่าเสียงมีแต่เสียงไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นเสียงก็เป็นรูปธรรม กลิ่นปรากฎกลิ่นไม่สามารถจะรู้อะไรได้ กลิ่นเป็นรูปธรรม เวลาที่รับประทานอาหาร รสปรากฏแน่นอนทุกรสแม้ว่าไม่เรียกชื่อเลย เราอาจจะบอกว่าหวานไป เค็มไป นั่นก็เป็นลักษณะของรส มองเห็นรสไหม แม้มองไม่เห็นแต่รสก็เป็นรูปธรรม และสำหรับทางกายขณะนี้ก็มีลักษณะที่แข็งปรากฏ มองเห็นแข็งหรือเปล่า มีใครมองเห็นแข็งบ้าง ไม่มีใครเห็นเลย แต่แข็งมีจริง แม้กระนั้นแข็งก็ไม่ใช่นามธรรม เพราะเหตุว่าเป็นเพียงลักษณะแข็งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นทุกวันขอให้พิจารณาดูว่ารูปที่ปรากฏมีแต่เพียง ๗ รูป ถ้าจะนับ ทางตาสีสันวรรณะต่างๆ ๑ รูป ทางหูคือเสียง ๑ รูป ทางจมูก คือกลิ่น ๑ รูป ทางลิ้น รส ๑ รูป ทางกาย ๓ รูป คือเย็นหรือร้อนเป็นลักษณะของธาตุไฟ อ่อนหรือแข็งเป็นลักษณของธาตุดิน ตึงหรือไหวเป็นลักษณะของธาตุลม ๗ รูปเท่านั้นตลอดชีวิต มีใครมีรูปอื่นไหมที่จะปรากฏได้ ไม่มีเลย

    ถ้าเอา ๗ รูปนี้ออกหมดยังมีสภาพรู้นั่นคือนามธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่กล่าวถึงนามธรรมจะรู้ได้โดยขณะที่เมื่อใดที่รูปใดปรากฏทางหนึ่งทางใดก็หยั่งไปถึงสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้าทางตาในขณะนี้ก็คือกำลังเห็น เห็นมีจริงๆ มิฉะนั้นแล้วก็มีแต่เพียงสีสันวรรณะ แต่ไม่มีการเห็นสีสันวรรณะเลย แต่ขณะนี้สีสันวรรณะปรากฏกับจิตและเจตสิก ซึ่งต้องเกิดร่วมกันเพราะเหตุว่าไม่มีสภาพธรรมใดเลยที่จะเกิดโดยที่ไม่อาศัยกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจิตและเจตสิกเกิดพร้อมกันในขณะนี้ที่กำลังเห็น แล้วถ้าศึกษาโดยละเอียดต่อไปก็จะน่าอัศจรรย์ที่ว่าจิตเห็นเกิดที่จักขุปสาทแล้วก็ดับที่นั่นด้วยพร้อมทั้งเจตสิก ทั้งจิต และเจตสิกในขณะที่เห็นเกิดที่จักขุปสาทและก็ดับที่จักขุปสาท

    เรามีชีวิตอยู่โดยเราไม่รู้เรื่องตัวของเราเองเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ซึ่งก็เป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเช่น นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะที่คิดนึกไม่ต้องอาศัยรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่คิดมี ลักษณะที่คิดเป็นนามธรรมเป็นสภาพที่กำลังรู้คำ รู้เรื่อง พร้อมกับความรู้สึกต่างๆ ในขณะที่คิด ซึ่งความรู้สึกนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นก็แยกจิตออกจากเจตสิกได้โดยลักษณะจิตเป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่นกำลังเห็น ไม่ว่าสิ่งที่เห็นจะละเอียดสักเท่าไร จิตก็สามารถที่จะเห็นได้ เห็นความต่างของสิ่งที่ปรากฏได้ นั่นคือจิต แต่เจตสิกจะเกิดร่วมกันแล้วก็มีความรู้สึกต่างๆ ในสิ่งที่เห็น ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจขณะนั้นความรู้สึกก็เป็นสุขโสมนัส และก็เกิดความติดข้องต้องการในสิ่งที่น่าพอใจ ความติดข้องมี ความสนุกมี ทั้งหมดนี่ก็เป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เพราะฉะนั้นก็แยกออกได้ว่า เว้นจากรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย วันหนึ่งๆ ที่เหลือนั้นก็เป็นนามธรรมคือจิตและเจตสิก ความคิดเป็นนามธรรม ความทุกข์เป็นนามธรรม ความสุขเป็นนามธรรม ความกังวลเป็นอะไร นามธรรม ก็แยกได้

    อ.อรรณพ ในคราวก่อนๆ ท่านอาจารย์ก็ได้อธิบายถึงลักษณะของจิตซึ่งมีคำอยู่คำหนึ่ง แต่เราก็คงได้สนทนากันไปแล้วก็คือ จิตเป็นปัณฑระ

    ผู้ฟัง ขอถามว่าที่บอกว่าจิตเป็นปัณฑระ ถามว่าในกรณีที่เป็นอกุศลจิตยังนับว่าเป็นปัณฑระด้วยหรือ

    อ.อรรณพ ในขณะที่อกุศลจิตเกิดเพราะว่ามีอกุศลเจตสิกเกิดประกอบกับจิตนั้นจึงปรุงแต่งให้จิตและเจตสิกนั้นเป็นอกุศล แต่โดยสภาพของจิตจริงๆ เป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ เขาไม่ใช่เป็นลักษณะของเจตสิก เจตสิก ๖ ชนิดที่เราเคยศึกษากันไปเป็นสภาพที่เป็นเหตุ เมื่อเกิดปรุงแต่งกับจิตใดก็เป็นเหตุที่จะทำให้จิตนั้นประกอบด้วยเหตุ เพราะฉะนั้นจิตจะเป็นกุศล จะเป็นอกุศล คือเป็นจิตที่ดีงาม หรือไม่ดีงามก็ขึ้นกับเจตสิกที่ประกอบ สิ่งนี้ท่านทรงแสดงให้เห็นถึงความต่างกันของนามธรรมทั้ง ๒ อย่าง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นอกุศลจิต โสภณเจตสิกไม่สามารถประกอบได้ด้วย แล้วถ้าเป็นกุศลจิต อกุศลเจตสิกไม่สามารถก็ประกอบใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ขอถามว่าขณะที่นอนหลับจิตเป็นปัณฑระหรือเปล่า ขณะนอนหลับจิตเป็นปัณฑระหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็น ขณะตื่นกำลังเห็นจิตเป็นปัณฑระหรือเปล่า เป็น เฉพาะตัวจิตล้วนๆ อย่างเดียวไม่พูดถึงเจตสิกใดๆ เลย จิตเป็นปัณฑระ เวลาที่มีเจตสิกอื่นเกิดร่วมด้วยจิตก็ยังคงเป็นปัณฑระถ้ากล่าวถึงจิต เพราะฉะนั้นเพื่อแยกให้เห็นความต่างของจิตและเจตสิกใช้คำว่าปัณฑระสำหรับจิตเท่านั้น กำลังโกรธจิตเป็นปัณฑระหรือเปล่า เป็น กำลังดีใจ เป็น หมายความว่าทุกขณะที่จิตเกิดจิตเป็นปันฑระ ขอเชิญอาจารย์สุภีร์เพิ่มเติม

    อ.สุภีร์ ถ้ากล่าวถึงจิตก็คือจิตเป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น ฉะนั้นจิตจึงเป็นปัณฑระก็คือเป็นสภาพที่บริสุทธิ์ แต่ว่าเมื่อกล่าวถึงว่ามีเจตสิกที่เป็นฝ่ายอกุศลประกอบร่วมด้วยก็เป็นจิตที่ไม่บริสุทธิ์ประการต่างๆ หรือว่ามีเจตสิกที่เป็นฝ่ายโสภณก็เป็นจิตที่เป็นโสภณไปด้วย นั้นก็คือกล่าวรวมทั้งจิตและเจตสิกก็คือแยกจิตเป็นประเภทต่างๆ ด้วยอำนาจของสัมปยุตตธรรมนั่นเอง แต่เมื่อกล่าวถึงลักษณะของจิตแล้วก็เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น ฉะนั้นจึงเป็นปัณฑระ

    ท่านอาจารย์ บางท่านอาจจะสะกดไม่ถูก อาจารย์สุภีร์ คำว่าปัณฑระเขียนอย่างไร

    อ.สุภีร์ ปัณฑระสะกดในภาษาไทย เป็น ป.ปลา ไม้หันอากาศ ณ.เณร ฑ.นางมณโฑ และ ร.เรือ ปัณฑระ ฑ.นางมณโฑภาษาไทยเราจะออกเสียงเป็น"ทอ" ธรรมดาแต่ว่าภาษาบาลีก็จะออกเสียงเหมือนกับ ด.เด็ก ในภาษาเรา อย่างเช่นคำว่าปัณฑระเป็นต้น หรือว่ามันฑระ หรือว่าบัณฑิต บัณฑิตตะก็เป็นฑ.นางมณโฑในภาษาไทยที่ใช้ แต่เวลาออกเสียงให้ถูกก็คือออกเสียงเป็นเหมือนด.เด็ก

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บรรยายเรื่องจุติจิตกับปฏิสนธิจิตนี้จะเกิดสืบต่อกันทันทีทันใดเลย คือตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปเกิดในภพภูมิใหม่ ในชีวิตประจำวันของกระผมถ้ามาเปรียบเทียบแล้วในขณะนี้ก็เห็นแล้วก็ได้ยินซึ่งเหมือนกับว่าจิต ๒ ดวงนี้สืบต่อกัน ความตายจากโลกนี้ไปแล้วไปเกิดในภพภูมิใหม่ และในปัจจุบันนี้ที่กระผมเห็นแล้วก็ได้ยินด้วย ก็เหมือนกับว่ากระผมตายจากการเห็นครั้งหนึ่งแล้วก็มาได้ยินครั้งหนึ่ง เป็นประจำอย่างนี้หรือในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีความตาย ๓ อย่างคือ ขณิกมรณะความตายทุกๆ ขณะ และความตายที่เป็นสมมติที่เราเรียกว่าสมมติมรณะคือที่เราบอกว่าคนนั้นเกิดแล้วก็ตาย ความตายอีกอย่างหนึ่งคือสมุทเฉทมรณะ ความตายซึ่งไม่มีการเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นก็มีความตาย ๓ อย่างคือ ขณิกมรณะ ๑ สมมติมรณะ ๑ และสมุทเฉทมรณะ ๑

    ผู้ฟัง ถ้ากล่าวอย่างนี้แล้วในชีวิตประจำวันของกระผม เมื่อเห็นแล้วกระผมก็ไม่กลัวเลยว่าจะต้องตายจากการเห็นแล้วมาได้ยิน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 7
    23 เม.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ