สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๗๑

    วันจันทร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๕


    อ.สุภีร์ สัญญาเจตสิกนี้เกิดกับจิตทุกประเภท ครั้งแรกนี่ยังจำเหมือนกับจำไม่ได้ใช่ไหม แต่สัญญาเจตสิกก็กระทำหน้าที่จำแล้วเมื่อเห็นสิ่งนั้นบ่อยๆ ความจำต่างๆ ก็มั่นคงขึ้นแล้วก็สามารถนึกคิดเรื่องนั้นได้

    ผู้ฟัง ขออนุญาตถามต่อ ลักษณะที่เห็นอีกครั้งหนึ่งก็รู้ว่าสิ่งนั้นคือ สิ่งที่รู้ว่าเห็น อาจจะเป็นแม้กระทั่งถึงจำได้แม้กระทั่งถึงสภาพธรรมที่เกิดปรากฏขึ้น หรือแม้กระทั่งจำได้ของสภาพธรรมที่เกิดให้ปรากฏกับจิตเห็น จิตได้ยิน อะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นตรงนี้อยากจะทราบว่าเวลาเห็นหลายๆ ครั้งแล้วนึกขึ้นได้ตรงนี้ว่านี่คือสิ่งนี้ คืออย่างนี้หรือคุณคนนี้ ตรงนั้นสัญญาไม่ได้ทำหน้าที่ ใครทำหน้าที่หรือเปล่า หรือว่าสัญญาทำหน้าที่แต่นึกถึงได้ หรือบางครั้งจะนึกถึงอะไร นึกไม่ออก

    อ.สุภีร์ เวลาลืมก็ยังจำเหมือนเดิม เพราะเหตุว่าสัญญาเจตสิกจำอารมณ์หรือว่าจำสิ่งที่ปรากฏอย่างเดียวใช่ไหม หน้าที่ของสัญญาเจตสิกคือมีลักษณะที่จำสิ่งที่จิตรู้นั่นเอง แต่ว่าการจะนึกได้ ไม่ได้ อะไรอย่างนั้นก็เป็นลักษณะของเจตสิกประการอื่นๆ มีวิตักกเจตสิก วิจารเจตสิก และเจตสิกประการอื่นๆ ที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น ซึ่งหน้าที่ใหญ่ก็เป็นหน้าที่ของวิตักกเจตสิกเพราะว่าเป็นเท้าของโลก ก็คือเป็นการตรึกหรือว่าคิดนึกเรื่องต่างๆ ได้ แต่สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท ฉะนั้นแม้ขณะที่ลืมก็จำนั่นเอง ก็คือเป็นลักษณะของสัญญาเจตสิกที่เกิดขึ้นจำสิ่งที่จิตรู้

    เมื่อเรากล่าวถึงเรื่องจิต ก็เป็นอันรวมเจตสิกเข้าไปด้วย อย่างคุณวีระได้ถามว่าสัญญาเจตสิกมีการสั่งสมไหมใช่ไหม ก็คือเราทราบมาว่าในขณะที่เป็นชวนะ จิตสั่งสมสันดานของตนด้วยอำนาจชวนวิถี ฉะนั้นเจตสิกต่างๆ ที่เกิดร่วมกับจิตก็สั่งสมกำลังด้วย อย่างเช่นโลภะหรือว่าความต้องการประการต่างๆ ถ้าสั่งสมในชวนะบ่อยๆ ชอบในเรื่องนั้นบ่อยๆ ก็มีกำลังมากขึ้นได้ ฉะนั้นก็เป็นการสั่งสมในชวนวิถีนั่นเอง สัญญาเจตสิกที่เกิดในชวนะก็เช่นเดียวกัน โทสะเจตสิกที่เกิดในชวนะก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีกำลัง มีการสั่งสมมากยิ่งขึ้นไป ถ้าจะเป็นการสั่งสมก็เฉพาะในขณะที่เป็นชวนวิถี

    ผู้ฟัง ผมขอความชัดเจนของคำว่า "ลืมก็คือจำนั่นเอง" หมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ลืมเป็นอย่างไร ตอบได้คือจำได้

    ผู้ฟัง ลืมก็คือจำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละตอบได้ก็คือจำได้ว่าลืม คือลักษณะอย่างนั้น แล้วก็อย่างที่คุณวีระกล่าวถึงเมื่อครู่นี้คือเรื่องของสัญญาขณะที่เกิดกับจิตเห็น แล้วก็เกิดจำในสิ่งที่เห็น จิตเกิดดับเร็วมากขณะที่เหมือนกับว่ากำลังทั้งเห็น และได้ยินด้วย ก็มีเห็น และก็มีคิดถึงสิ่งที่เห็น แล้วก็มีได้ยินแล้วคิดถึงสิ่งที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นแล้วเพราะจำสิ่งนั้นจึงได้คิดถึงสิ่งนั้นได้ทั้งๆ ที่ในขณะนี้เกือบไม่เห็นขณะคิดเลย จะเห็นเพียงเห็นกับได้ยิน ๒ อย่าง และที่คิดไหนอยู่ตรงไหน คิดก็คืออยู่ระหว่างเห็นกับได้ยินเพราะว่าทุกครั้งที่เห็นแล้วจะต้องเกิดมโนทวารวิถีจิตคิดถึงสิ่งที่เห็น นั่นก็แสดงถึงว่ามีความจำในสิ่งที่เห็นจึงได้คิดถึงสิ่งที่เห็นได้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาเจตสิกที่เกิดกับจิตที่จำจะคิดอะไรก็คิดไม่ได้ ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นความรวดเร็วของจิตซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมากจากตามาใจ จากหูมาใจจากจมูกมาใจ ใจเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าจะคิดถึงลักษณะของจิตก็คงไม่ลืมว่าจิตไม่มีสีสันอะไรเลย ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐาน เป็นนามธาตุล้วนๆ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เอารูปออกให้หมดทุกชนิดก็เหลือสภาพซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งมืดสนิท แต่ว่ามืดสนิทเมื่อไหร่ ตอนเกิดปฏิสนธิขณะ โลกนี้ไม่ปรากฏ กลิ่นอะไรก็ไม่มี ทวารใดๆ ที่จะให้จิตใดๆ เกิดในขณะปฏิสนธิก็มีไม่ได้ เพราะว่าปฏิสนธิจิตเป็นจิตที่เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดสืบต่อจากจุติจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน แล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดขณะนั้นมืดสนิท แต่เพราะเหตุว่ามีจักขุปสาทนี่เอง โลกจึงไม่มืดสนิท มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ แต่เมื่อเห็นสั้นมาก จริงๆ แล้วก็คือว่าแสนสั้นเพราะว่าเห็นกับได้ยินคนละขณะ แล้วก็มีจิตเกิดดับอยู่ระหว่างนั้นมากหลายขณะ เพราะฉะนั้นความสั้นของสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วดับทางใจรับรู้ต่อ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นความมืดสนิทซึ่งคิดถึงสิ่งที่ปรากฏนิดเดียวทางตา คิดถึงเสียงที่ปรากฏนิดเดียวทางหู คิดถึงกลิ่นนิดเดียวที่ปรากฏทางจมูก คิดถึงรสที่ปรากฏนิดเดียวขณะที่ลิ้ม คิดถึงสิ่งที่กระทบกายนิดเดียว เพราะทุกอย่างต้องมารวมที่ใจที่คิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เพราะฉะนั้นโลกมืดสนิท แต่สว่างนิดเดียวขณะที่กำลังเห็น แล้วก็มีความคิดนึกเรื่องทุกสิ่งที่ผ่านทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เวลาไม่เห็น เวลาไม่ได้ยิน เวลาไม่ได้กลิ่น เวลาไม่ลิ้มรส เวลาไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกได้ไหม คิดนึกได้ขณะนั้นไม่มีสีสันวรรณะใดๆ ปรากฏทางตา ไม่มีเสียงปรากฏทางหูแต่จิตคิด คิดถึงอะไร คิดถึงสิ่งที่เห็น คิดถึงเสียงที่ได้ยิน คิดถึงกลิ่นก็ได้ คิดถึงรสก็ได้ คิดถึงสิ่งที่กระทบสัมผัสกายก็ได้ เพราะฉะนั้นความคิดก็จะรับจากทางตาหูจมูกลิ้นกายซึ่งสัญญาจะจำทุกอย่าง มิฉะนั้นจิตจะคิดถึงสิ่งนั้นไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง เวลาเราคิดถึงรสของมะดัน ขณะนี้ผมพูดถึงรสของมะดันก็รู้สึกว่าเรามีความรู้สึกความเปรี้ยวของมะดันขึ้นมาทันที ขณะนี้คิดอย่างไร คือไปนึกถึงความเปรี้ยวอย่างนั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วถ้าทุกคนลองคิดถึงมะดันคิดว่าไม่ได้เปรี้ยวทุกคน ใช่ไหมเพียงแต่คิดถึงชื่อใช่ไหม ความทรงจำเรื่องรสจะไม่ได้ชัดเจนถึงขนาดจะเป็นอย่างนั้นนอกจากว่าเวลาที่กระทบลิ้นแล้วก็นึกถึง สืบต่ออย่างใกล้ชิดอย่างนั้นลักษณะของรสก็จะผ่านจากลิ้นไปสู่ทางใจ แต่ถ้าจะให้นึกถึงเดี๋ยวนี้ว่ามะดันรสอย่างนี้แล้วก็นึกถึงรสมะยมหรือว่านึกถึงรสมะขามก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากจำชื่อกับจำเรื่องและจำความเปรี้ยวแต่ไม่ใช่รสเปรี้ยว ก็เป็นเรื่องซึ่งแต่ละคนเมื่อศึกษาธรรมแล้วก็มีธรรมทุกขณะ ไม่มีใครพ้นจากธรรมเลยสักขณะเดียว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่างไรก็เป็นธรรมที่พร้อมจะให้เข้าใจถูกยิ่งขึ้น เมื่อได้ศึกษาเข้าใจและก็มีความเห็นถูกต้องว่าเป็นธรรมแต่ละทาง ขณะนี้รสเปรี้ยวเป็นอย่างไร หายไปหรือว่ายังอยู่ หรือว่ายังเปรี้ยวอยู่

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นมะดันแช่อิ่มก็คงไม่เปรี้ยว

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความจำ เห็นไหมว่าความจำละเอียดมากจนกระทั่งมะดันสด มะดันแช่อิ่ม ก็ยังจำได้ สำหรับจะคิดนึกถึง

    ผู้ฟัง สำหรับบางบุคคลที่นึกถึงมะดันแล้วน้ำลายไหลนี่เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ น้ำลายไหลเพราะมะดันหรือ ลองสิ ถ้าผ่าน ไม่ห่างไกลคงจะได้ ลองคิดถึงจริงๆ

    ผู้ฟัง คือเป็นเรื่องที่สงสัยตัวธรรมหรือสภาพธรรมของสัญญานั้นมากทีเดียวเลยเพราะว่าบางครั้งที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวถึงพระสูตร ว่าท่านผู้ที่ได้ล่วงพ้นไปจากชาตินั้นแล้วกลับมาแล้วก็ยังละลึกถึงชาติอีกชาติหนึ่งได้ คือไปเก็บไว้ที่ไหนสัญญาจำได้มากมาย ท่านอาจารย์บอกว่าขณะทุกขณะที่เกิดอยู่นี่ จิตเกิดอยู่นี่ดับอยู่นี่ ก็มีสัญญาอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากจริงๆ แต่อาจารย์สุภีร์กล่าวถึงเรื่องตรึกๆ ถึงสัญญาใช่ไหม หรือตรึกถึงเรื่องอื่นเวลาตรึก หรือตรึกถึงอารมณ์

    ผู้ฟัง ถ้าใครจะคิดถึงอะไรถ้าไม่มีสัญญาความจำจะคิดอย่างนั้นได้ไหม

    ผู้ฟัง แสดงว่าการระลึกถึง ตรึกถึงนี่ ตรึกถึงสัญญาหรือ

    ท่านอาจารย์ เพราะสัญญามีในขณะนั้นก็ตรึกได้ถึงสิ่งที่เคยจำไว้ และขณะที่ตรึกก็เป็นสัญญาด้วย

    ผู้ฟัง เราจะทราบปัญญาคือปัญญาก็เป็นสังขารขันธ์อีกสภาพหนึ่ง ปัญญารู้ไหมว่าขณะนั้นตรึกหรือขณะนั้นสัญญา

    ท่านอาจารย์ ปัญญาที่เราใช้ในภาษาไทยไม่ใช่ปัญญาเจตสิต เพราะว่าปัญญาในภาษาไทยเป็นความเฉลียวฉลาดเป็นความสามารถในวิชาการต่างๆ ในความรู้ต่างๆ แต่ปัญญาเจตสิกต้องเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงจะเป็นปัญญาเจตสิก ขณะนี้ที่กำลังฟังธรรม ขณะใดที่เข้าใจไม่ใช่รูป ต้องเป็นจิตที่เกิดพร้อมกับปัญญาเจตสิกเพราะว่าปัญญาเป็นสภาพที่เข้าใจ เป็นหน้าที่ของปัญญาเจตสิกที่เริ่มเข้าใจเรื่องราวจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนกระทั่งปัญญานั้นถึงระดับโลกกุตระสามารถประจักษ์อริยสัจธรรมมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ ก็เป็นการอบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้นฟังเรื่องสภาพธรรม เข้าใจถูกว่าเป็นธรรม ขณะนั้นจึงจะเป็นปัญญาเจตสิก

    ผู้ฟัง คนที่มีเหตุมีผลที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ ก็สามารถจะพิจารณาได้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด ตรงนี้ก็เป็นปัญญาเหมือนกันใช่หรือไม่ ผมอยากจะเปรียบเทียบกับเรื่องที่เราพูดถึงอนัตตาหรือว่าสุญญตา หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ในตรงนั้นว่าคนที่สามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้คือมีปัญญาถึงระดับสูง แต่ในขณะที่คนที่มีเหตุมีผล และก็พูดว่าปล่อยวาง ปล่อยวางได้อะไรต่างๆ ซึ่งเราก็สนทนากันไปบ้างแล้ว จริงๆ แล้วเป็นแค่การคิดนึกเท่านั้นเอง ถ้าเขามีเหตุผลดีอย่างในเรื่องของปรัชญาหรือว่าทางตรรกะวิทยา สามารถจะละตัวตนได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องอาศัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพียงแค่นั้นก็สามารถที่จะละได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยเพราะว่าความเป็นเราเป็นตัวตนลึกมาก แม้แต่กำลังพูดอย่างนั้นก็เป็นเราที่พูดเป็นเราที่คิด ปรัชญาทั้งหลายก็คือเป็นเราทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ขออนุญาตกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ๒ คำถาม เกี่ยวกับเรื่องปัญญา คือ ในขณะที่เรากำลังเรียนเรื่องปรมัตถธรรมหรือเรียนเรื่องอภิธรรม เราได้ทราบเรื่องขันธ์เรื่องอะไรต่างๆ มากมาย ซึ่งบางครั้งก็จำไม่ค่อยได้ ขณะที่ปัญญาเกิดขึ้นพร้อมกับกุศลจิตและรู้สภาพธรรมใดสภาพหนึ่งที่ปรากฏขณะนั้น จำเป็นหรือไม่ที่ปัญญาจะต้องรู้ว่าสภาพรู้คือจิต ปัญญาจำเป็นหรือไม่ว่าต้องรู้ว่านั่นเป็นวิบากจิต นั่นเป็นกุศลจิต หรือนั่นจะเป็นอะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น ไปพร้อมๆ กัน

    ท่านอาจารย์ ปัญญามี ๓ ขั้น ปัญญาขั้นฟังเป็นปริยัติปัญญา ขั้นที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะเป็นปฏิบัติ และปฏิเวธคือขณะที่กำลังประจักษ์แจ้งลักษณะที่เป็นจริงของสภาพธรรมนั้นโดยไม่มีชื่อ กำลังเห็นมีใครเรียกชื่ออะไรหรือเปล่า เรียกจักขุวิญญาณ หรือเรียกเห็น หรือเรียกอะไร หรือไม่ต้องเรียกก็เห็นเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นอยู่แล้ว

    ผู้ฟัง ขณะที่เราเห็นในเมื่อมาเรียนมาศึกษา เราคิดว่าขณะนี้เห็น ขณะนี้เห็น ขณะนี้ได้ยิน ทำอย่างนี้เป็นสีลัพพตปรามาสหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ทำอะไรกับเห็น

    ผู้ฟัง ก็ฝึก ฝึกว่าเห็น หรือเย็น ร้อนอะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือแข็ง

    ท่านอาจารย์ ใครกำลังพูดว่าร้อน

    ผู้ฟัง ตัวเราพูด เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์ถ้ามีลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นกับเรา เพราะเราอีกแล้ว ฉะนั้นเป็นลักษณะที่การประพฤติผิด มีวัตรที่ผิด เพราะว่าในการที่จะทำอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของการทำที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เพราะไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแต่เป็นเรานั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ทำเพื่ออะไร ที่เราเห็น

    ผู้ฟัง เพื่อปัญญาจะได้ขึ้นไปขั้นที่ ๒

    ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นการร้องเรียก หรือเรียกชื่อ เหมือนเตือนตัวเอง แต่ไม่ได้เข้าใจลักษณะของเห็น ไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงว่าเป็นนามธรรม และรูปธรรมไม่ใช่เรา ที่จะไม่ใช่เราได้ก็เพราะเหตุว่าเป็นรูปหรือเป็นนามถ้าไม่มีความรู้จริงๆ ในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมก็ยังคงเป็นเราอยู่ต่อไป จะเรียกอย่างไรก็คือเราเรียก

    ผู้ฟัง สัญญาเจตสิกเป็นการจำได้หมายรู้ เหตุใดสัญญาเจตสิกนี้เกิดกับจิตทุกดวง แต่เรื่องที่บางเรื่องจะจำได้ตลอดแต่การเรียนอภิธรรมนี่จะจำไม่ค่อยได้ เป็นเพราะสัญญาเสื่อม หรือเป็นเพราะอะไร

    อ.ประเชิญ สัญญาเป็นสภาพธรรมที่ทำหน้าที่คือมีกิจในการที่จะจำ ไม่ว่าจะเห็นก็คือจำสี ได้ยินก็จำเสียง ได้กลิ่นก็จำกลิ่น ลิ้มรสก็จำรส และทางใจที่รู้ธรรมารมณ์ก็จำธรรมารมณ์ เขาจะไม่ทำหน้าที่อย่างอื่น อันนี้คือธรรมชาติ หน้าที่ของสัญญาเจตสิกจะทำหน้าที่อย่างนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับจิตประเภทใดก็ตามก็จะจำ ทำหน้าที่จำๆ อย่างเดียวไม่ได้ทำอย่างอื่น แต่ที่จำไม่ได้ไม่ใช่ว่าสัญญาไม่จำ สัญญาจำแต่ว่าไม่สามารถที่จะคิดไม่สามารถที่จะตรึกถึงอารมณ์นั้นได้เพราะว่ามีสิ่งที่จำมากมาย ใช่ไหม วันๆ หนึ่งก็มีสิ่งที่เราต้องจำมาก ตั้งแต่เด็กมาก็มีเรื่องที่จะต้องจำมากมาย เพราะฉะนั้นเมื่อมีอายุมากขึ้นก็เห็นว่าพระธรรมมีประโยชน์ แล้วก็จะเริ่มที่จะมาเรียนรู้พระอภิธรรม แต่ว่าไม่จำเพราะว่าไปจำเรื่องเก่าๆ มาก

    และสังเกตได้ว่าถ้าเรื่องใดที่ถึงแม้เป็นเรื่องใหม่ แต่ว่าเป็นเรื่องที่ประทับใจคือเป็นเรื่องที่สนุกและก็ชอบใจมากๆ ก็จะจำได้ใช่ไหม เพราะว่าเป็นสิ่งที่เด่นเป็นสิ่งที่ประทับใจ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นได้ว่าเมื่อเรามาศึกษาธรรมแล้วไม่จำนี่ก็แสดงว่าพระธรรมไม่ได้ประทับใจของเราเลย ใช่ไหม ไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจจริงๆ เพราะว่าเราไม่ได้ซาบซึ้งเหมือนกับท่านพระอริยบุคคล ท่านได้ฟังไม่ว่าจะเป็นปรมัตถธรรมก็ดี หรือแม้แต่ได้ยินคำว่าพุทโธ ท่านซาบซึ้งใช้คำว่าปีติๆ เกิดจนตัวลอย บางท่านตัวลอยจนไม่รู้สึกว่าตัวท่านนี่นั่งอยู่หรือว่ายืนอยู่ไม่รู้สึกตัวเลย ท่านได้ยินแค่นี้ท่านประทับใจซาบซึ้งมากปีติ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยู่ในระดับท่านคือได้ฟังพระธรรมส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วก็มีความประทับใจ ซาบซึ้งในธรรมนั้นก็จะจำได้ คือเมื่อเข้าใจ และก็รู้ตัวธรรมจริงๆ ตรงนั้นก็จะจำได้เหมือนกับท่านที่ได้ทรงจำในเรื่องของพระธรรม อย่างเช่นท่านพระอานนท์ท่านได้เข้าใจพระธรรมทั้งหมด ท่านก็ซาบซึ้งและประทับใจในพระธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อท่านได้ยินได้ฟังอะไรก็ตามท่านก็จะจำได้ทั้งหมด ไม่มีการหล่นในระหว่างทางเลย ของเราได้ฟังตรงนี้ไม่ต้องกล่าวถึงออกจากห้องนี้ใช่ไหมยังไม่ทันลุกเลย พอเลยไปนิดเดียวก็ไม่ทราบเมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์พูดอะไรก็ไม่ทราบแล้วหล่นไปเสียแล้ว ส่วนท่านพระอริยบุคคล เช่นท่านพระอานนท์ ท่านจะไม่มีการหล่นหายเลย ข้อความที่ฟังมาจากพระผู้มีพระภาคทั้งหมดเมื่อมีการสังคายนาพระธรรมวินัย ท่านก็สามารถที่จะกล่าวได้ทั้งหมดไม่มีการตกหล่นเลย นี่คือผู้ที่ท่านได้เข้าใจในพระธรรมจริงๆ

    ผู้ฟัง อย่างกรณีที่คนแก่อายุมากแล้วหลง เกิดอะไรกับสัญญาเจตสิก

    อ.ประเชิญ คนแก่เมื่อเห็นก็ยังจำ เพราะว่าสัญญาเจตสิกทำหน้าที่จำ แต่ทีนี้ไปจำเรื่องอื่นมากอย่างที่ได้เรียนให้ทราบ ซึ่งมีบางท่านเปรียบเหมือนกับเครื่องใช้ในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์เวลาเซฟข้อความข้อมูลอื่นๆ มากๆ พอข้อมูลใหม่เข้ามาเซฟไม่เข้าแล้วเพราะข้อมูลเก่ามากมายใช่ไหม เต็ม อันนี้ก็พอจะเปรียบเทียบได้เช่นเดียวกันเพราะว่าของเก่าเราจำไว้มาก แล้วก็ได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ นี้มากจนเรื่องใหม่ๆ เราไม่ค่อยรับเพราะว่าเราเห็นว่าเรื่องเก่านั้นสำคัญ

    วันจันทร์ที่ ๑๔/๑๐/๒๕๔๕

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟังที่เคารพวันนี้ก็เป็นการทบทวนเรื่องจิต เพราะว่าโลกดำเนินไปได้เพราะมีจิต ถ้ามีแต่เพียงรูปธรรมคือสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยก็จะไม่มีการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าลองคิดถึงตั้งแต่เช้าเฉพาะวันนี้ จิตทำอะไรบ้างนอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ก็ยังมีการกระทำเรื่องราวต่างๆ มากมาย ซึ่งถ้าไม่สังเกตจะไม่ทราบเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเพราะมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เพราะขณะใดที่จิตไม่เกิด โลกก็ไม่ปรากฏเลย ทุกอย่างก็สิ้นสุด แต่เพราะเหตุว่าจิตเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดดับสืบต่อตลอดเวลา เพราะฉะนั้นโลกจึงปรากฏเหมือนไม่ดับ เหมือนเที่ยง เพราะฉะนั้นเรื่องของจิตเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ถ้าลองคิดดูว่าวันนี้แต่ละคนพูดอะไรบ้าง แล้วก็คิดอะไรบ้าง แล้วก็ทำอะไรบ้าง ทั้งหมดมาจากจิต การกระทำก็มีทั้งที่เป็นกุศลคือที่ดีงาม ทางกาย ทางวาจา แล้วก็ที่เป็นอกุศลคือไม่ดีงาม ทำให้คนอื่นเดือดร้อน และใจของเราเองก็เดือดร้อนด้วย ขณะนั้นก็เป็นจิตประเภทที่ไม่ดีงาม ทั้งดีและชั่วมาจากไหน เป็นสิ่งที่น่าคิดมาก ถ้าถอยกลับไปถึงขณะแรกคือขณะที่เกิดขึ้นต้องมีจิต และจิตที่เกิดขณะนั้นสะสมทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งไม่มีใครมองเห็นเลย เพราะว่าจิตเป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ แต่มีสิ่งซึ่งสะสมอยู่ในจิตมากมายที่จะทำให้ชีวิตของแต่ละคนเมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็มีวิถีชีวิตหรือวิถีจิตต่างๆ กันไปตามการสะสม

    ขอกล่าวถึงลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ขณะแรกที่เกิดขึ้น ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส แล้วภายหลังจึงจะมีการเห็น การได้ยิน แล้วก็มีสภาพของจิตต่างๆ กันไปซึ่งทำให้แต่ละคนก็มีลักษณะซึ่งเป็นคนที่มีกายวาจาต่างๆ กันมีความคิดต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นถ้าพิจารณาถึงจิตขณะแรกที่ทำปฏิสนธิกิจ ไม่มีรูปร่างสัณฐานเลยมองไม่เห็น แต่ก็มีนามธรรมอีกชนิดหนึ่งซึ่งขณะนั้นเกิดกับจิต ไม่มีใครมองเห็น ทั้ง ๒ อย่างทั้งจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ และสภาพธรรมที่เกิดกับจิตก็คือเจตสิก เกิดพร้อมกันแล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีจิตที่เกิดสืบต่อเรื่อยๆ มา แต่ว่าจิตขณะแรกมีอะไรอยู่ที่นั่นบ้าง ต้องมีเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นทำกิจการงานโดยเป็นชาติวิบากคือเป็นผลของกรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 7
    24 มิ.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ