สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๗๔

    วันจันทร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๕


    อ.สุภีร์ เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คิดนึกเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตานั่นเอง เวลาได้ยินเสียงทางหูก็คิดนึกเรื่องเสียงที่ได้ยินทางหูนั่นเอง ฉะนั้นก็เป็นปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันที่บอกว่าจิตมีลักษณะรู้อารมณ์แต่ว่าเหมือนกับว่าคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เพราะเหตุว่าอารมณ์อื่นๆ ไม่ได้ปรากฏในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นอารมณ์ของภวังคจิตอย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้ปรากฏในชีวิตประจำวัน แต่ว่าอารมณ์ที่ปรากฏในชีวิตประจำวันก็คือ รูป ๗ รูปที่เรียกว่าโคจรรูปหรือว่าวิสยรูป ฉะนั้นเมื่อมโนทวารเกิดก็คิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ก็มีคำเพิ่มเติมซึ่งเป็นคำเก่า สำหรับผู้ที่อาจจะเพิ่งมาฟังวันนี้ก็ควรที่จะได้ทราบความหมายของคำว่า "อารมณ์" หรือ "อารัมมณะ" ว่าหมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เพราะว่าจิตเป็นสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามทั้งหมดที่จิตกำลังรู้สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต และสำหรับปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถ้าขณะนั้นจิตรู้จิตๆ นั้นเป็นอารมณ์ของจิตอื่นที่กำลังรู้จิตนั้นหรือว่าจิตรู้เจตสิกก็ได้ จิตรู้ได้ทุกอย่าง จิตรู้รูปก็ได้ จิตรู้นิพพานก็ได้เมื่อถึงกาละที่ปัญญาสมบูรณ์ แต่ขณะนี้จิตจะรู้นิพพานได้ไหม ไม่ได้ ก็เป็นจิตธรรมดา เพราะฉะนั้นจะมีคำอีกคำหนึ่งคือคำว่า "บัญญัติ" มาจากไหน และก็เป็นอะไร

    เมื่อปรมัตถ์ธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน และสำหรับปรมัตถธรรม ๔ สามปรมัตถ์ คือ จิต เจตสิก รูปเกิดดับ มีปัจจัยปรุงแต่ง ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและก็ดับ สำหรับ ๓ ปรมัตถธรรม เป็นสังขารธรรมมีปัจจัยปรุงแต่งขณะใดที่ปรุงแต่งแล้วเกิดเช่นขณะนี้ แสดงให้เห็นว่าเกิดแล้วขณะนี้เป็นสังขตธรรม เน้นลงไปอีกว่าปรุงแต่งแล้วเกิดเดี๋ยวนี้ ปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นสังขตธรรมแล้วก็ดับ สำหรับนิพพานไม่เกิดดับ แต่นิพพานเป็นอารมณ์ของจิตได้ เพราะฉะนั้นปรมัตถธรรมมี ๔ เป็นอารมณ์ได้ทั้ง ๔ แต่นอกจากปรมัตถธรรม ๔ แล้ว ก็ยังมีความคิดนึกเรื่องราวซึ่งไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะเหตุว่าถ้าจิตไม่คิดเรื่องนั้นก็จะไม่มีในความคิดเลย แต่สำหรับเห็นถึงแม้ไม่คิด เห็นไหม ไม่ต้องคิดเลยก็เห็น

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงบังคับให้เป็นอย่างอื่นได้ เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ไม่ใช่นามธรรมแต่ปรากฏมีลักษณะที่สามารถกระทบ และปรากฏลักษณะของรูปนี้คือสีสันวรรณะต่างๆ หรือว่าแสงสว่างก็ได้ หรืออะไรก็ได้ จะเรียกอะไรหรือไม่เรียกอะไรก็ตาม จะใช้คำหลายๆ คำในภาษาบาลีก็ได้แต่หมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏมีจริงๆ ไม่ใช่บัญญัติ สิ่งใดก็ตามที่เป็นปรมัตถธรรมหมายความว่าสิ่งนั้นมีจริง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างไม่ใช่บัญญัติ แต่นอกจาก ๔ อย่างนี้แล้วเป็นบัญญัติ เช่น ขณะนี้ลองพิจารณาจริงๆ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้กระทบจักขุปสาทจึงปรากฏ หลับตามีอะไรในห้องนี้บ้าง มีกี่สี อาจจะมีสีบางสีสลัวๆ แต่ทำไมไม่ว่าเป็นคน ไม่ว่าเป็นสัตว์ ไม่ว่าเป็นโต๊ะ ไม่ว่าเป็นอะไรในสีสลัวๆ ที่เพียงหลับตา พอลืมตาก็ยังคงเป็นสี แต่ว่ามากกว่าสีที่หลับตา เต็มไปหมดเลย สีอะไรมากมาย แล้วก็ยังคิดตามสีที่ปรากฏ แล้วแต่ว่าจะปรากฏเป็นสีดอกกุหลาบก็คิดถึงเรื่องราวของดอกกุหลาบชื่ออะไร คิดถึงป้าย คิดถึงโต๊ะ คิดถึงคน คิดถึงสุนัข คิดถึงนก คิดถึงได้ทุกอย่างตามสีสันที่ปรากฏให้คิดและจำ

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรมแต่จิตคิด จะเป็นเรื่องก็ได้ จะเป็นคำก็ได้ จะเป็นสัณฐานก็ได้ จะเป็นกลิ่น จะเป็นรสก็ได้ ทั้งหมดซึ่งไม่ใช่ปรมัตถ์ธรรมเป็นบัญญัติหมายความว่าไม่ใช่สิ่งที่มีจริง แต่ว่าอาศัยสิ่งที่มีจริงทำให้มีการจดจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยความไม่รู้อวิชานุสัย เราจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ได้อย่างไรถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นปรากฏแต่ละทางไม่เหมือนกันเลย ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน เหมือนกันไหม เห็นกับได้ยินก็ไม่เหมือนกัน และพร้อมกันก็ไม่ได้ แต่ความไม่รู้ก็ทำให้จำไว้หมดทุกอย่างแล้วก็รวมกันยึดมั่นว่าเที่ยง เพราะฉะนั้นความเห็นผิดก็คือเห็นว่าเที่ยง เห็นว่าเป็นตัวตน เห็นว่าเป็นสัตว์บุคคล ซึ่งถ้าจะแยกธรรมออกโดยละเอียดแล้วก็จะปรากฏเป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก อย่างสั้นมาก เล็กน้อยมากเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้นก็เข้าใจความหมายของบัญญัติด้วย บัญญัติ คือไม่ใช่ปรมัตถธรรมขณะใดที่เห็นๆ มีจริง ปรมัตถธรรมคือจิตเจตสิกที่เกิดรวมกัน สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงเป็นรูปชนิดหนึ่งซึ่งสามารถปรากฏทางตาได้ แต่เรื่องราวทั้งหมดที่คิดนึกตามสิ่งที่เห็นเพราะจิตคิด ถ้าจิตไม่คิดจะไม่มีเรื่องใดๆ เลย ถ้าทุกคนนั่งอยู่ที่นี่เห็นแต่ไม่คิดก็ไม่มีเรื่องอะไร แต่ว่าใครยับยั้งไม่ให้จำได้ว่าสิ่งที่เห็นมีสัณฐานอย่างไร และเราเคยรู้ว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นจึงมีอัตตสัญญาไม่ใช่อนัตตสัญญา เป็นอัตตสัญญาจำไว้ว่าเป็นคนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ ละคลายอัตตสัญญา และก็รู้ความจริงว่าเป็นอนัตตสัญญา จำถูกต้องว่าไม่มีตัวตนไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล เรื่องของปรมัตถธรรมกับบัญญัติมีตลอดวันหลังเห็นแล้วก็คิดเป็นบัญญัติเรื่องราวต่างๆ หลังได้ยินก็คิดนึก

    ผู้ฟัง จากที่ฟังท่านอาจารย์มาหลายครั้งแล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่าทางตาก็คือเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่หลังจากนั้นจะเห็นเป็นอะไรนั่นเป็นทางมโนทวาร สิ่งที่ได้ประสบกับความจริงว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คือขณะที่เดินอยู่ข้างหน้าก็คิดว่ามีคนอยู่ข้างหน้า ข้างทาง แต่เดินโดนใกล้เข้าไปๆ กลายเป็นต้นกล้วย ก็เลยเข้าใจเลยว่าเห็นๆ เป็นคนนั้นไม่ใช่ ตรงนี้จะพอที่จะเข้าใจความแยกกันได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็จะเห็นได้ว่าคิดนึกอะไรก็ได้ จำไว้คิดอย่างไร ก็ได้ปรุงแต่งอย่างไร ก็ได้ แต่ไม่ใช่ความจริง ก็มีท่านผู้ฟังที่เป็นชาวต่างประเทศท่านหนึ่งก็เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์เรื่องของบัญญัติ ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องขำขันแต่ก็เป็นเรื่องจริง ถ้าจำคลาดเคลื่อนก็ต้องขออภัยท่านผู้นั้นเพราะว่ามีรายละเอียดอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด ท่านนั่งในรถไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่น ท่านก็เห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งก็รู้สึกเขาสวยมาก และเขาก็อยู่ข้างหลังด้วย และรู้สึกว่าแขนของเขาจะมากระทบสัมผัสแขนของท่านผู้นั้น ท่านก็รู้สึกมีความสุขใจจากการกระทบสัมผัสนั้นตลอด พอเวลาลงหันไปไม่ใช่ผู้หญิงสวย คิดได้ทุกอย่าง แต่ความจริงเป็นอย่างไร หลงเป็นสุขใช่ไหม เพราะว่าจริงๆ แล้วเวลากระทบสัมผัสทางกายกับสิ่งซึ่งน่าสบายความรู้สึกสบายจะเกิดขึ้น แต่ใจปรุงแต่งเป็นอะไร และความจริงก็ไม่ใช่อย่างที่คิด ก็คงจะแยกได้ใช่ไหมเรื่องของความคิดกับเรื่องของสิ่งที่เป็นจริง

    ผู้ฟัง ในกรณีที่จิตเจตสิกรูปเป็นปรมัตธรรม แล้วที่ชาวโลกเรียกกันว่าจิตใต้สำนึกไม่อยู่ใน ๔ ชาติใช่ไหม แล้วมีหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เวลาที่ได้ยินคำไหนจากศาสตร์ไหนวิชาไหนก็ควรที่จะได้ทราบความหมายของคำนั้นให้ชัดเจนว่าหมายความถึงอะไร สำหรับพระพุทธศาสนาไม่เป็น ๒ คือจะใช้คำอะไรในศาสตร์ไหนก็ได้แต่ว่าตามความจริงแล้วทางที่สิ่งต่างๆ จะปรากฏ ซึ่งไม่ใช่หลับสนิท เพราะว่าตอนที่หลับสนิทอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏทั้งนั้นเลย ชื่ออะไรจำไม่ได้ไม่มี บ้านช่องที่ไหน ครอบครัวเป็นยังไงก็ไม่รู้หมดเลย ไม่มีอะไรปรากฏ โลกทั้งโลกไม่ปรากฏขณะที่หลับสนิท แต่โลกนี้ปรากฏเมื่อมีทางที่จะให้เห็นเพราะเหตุว่ามีจักขุปสาท มีทางที่จะให้ได้ยินเสียง มีทางที่จะให้ได้กลิ่น มีทางที่จะให้ลิ้มรสต่างๆ มีทางที่จะให้กระทบสัมผัสสิ่งต่างๆ แล้วก็มีใจที่คิดนึกถึงทุกสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นใครจะใช้คำว่าจิตใต้สำนึก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ให้ทราบว่าขณะใดก็ตามที่ไม่ได้รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นเป็นภวังคจิตไม่ใช่วิถีจิต เพราะว่าถ้าจะแบ่งจิตออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต เพราะว่าจิตไม่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ต้องเป็นสภาพรู้ แต่เมื่อไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นทางที่วิถีจิตจะเกิดสืบต่อรู้สิ่งที่ปรากฏ เพราะใช้คำว่าวิถีจิตหมายความว่าต้องอาศัยทวารจึงจะรู้อารมณ์ได้ เช่น จักขุทวารวิถีคือจิตทุกชนิดทุกประเภทที่อาศัยจักขุปสาทเกิด ทั้งหมดเป็นจักขุทวารวิถีจิต ถ้าเป็นทางหูที่ได้ยินเสียงจิตที่เกิดไม่ว่าจะเป็นปัญจทวาราวัชชนะจิต โสตวิญญาณ หรือจิตอื่นๆ ซึ่งอาศัยโสตทวารคือโสตประสาทนั้นเกิด เป็นวิถีจิตทั้งหมด เป็นโสตทวารวิถี เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่ใช่วิถีก็คือปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต แต่จะไปเรียกเป็นจิตใต้สำนึกหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ความเป็นจริงก็คืออย่างนี้

    ผู้ฟัง ปรมัตถธรรมและสัจธรรมเป็นไวพจน์กันไหม ใช้แทนกันได้ไหม

    อ.สุภีร์ ก็ใช้แทนกันได้ในบางกรณีแล้วแต่ว่าเราจะกล่าวถึงอย่างไร เพราะเหตุว่าปรมัตถธรรมก็มี ๔ ก็คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน และสัจธรรมก็คือธรรมที่เป็นจริงมีจริงก็มี ๔ เหมือนกัน ก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเองก็คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน ถ้าโดยหมายถึงตัวสภาพธรรมหมายถึงสิ่งที่เป็นปรมัตถธรรม หรือว่าสิ่งที่เป็นสัจธรรมก็เป็นอันเดียวกัน แต่ว่าถ้าเป็นโดยความหมายอรรถของศัพท์แล้วก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันเล็กน้อยถ้าเป็นปรมัตธรรมก็มาจากคำว่า "ปรมะ" แปลว่าอย่างยิ่งหมายถึงเป็นสภาพธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น "อรรถ" ก็คือลักษณะ "ธรรม" ก็คือสิ่งที่มีจริง ปรมัตถธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงที่มีลักษณะเป็นของตนๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ก็คือจิตเจตสิก รูป นิพพาน นั่นเอง

    ถ้าใช้คำว่าสัจจธรรม "สัจจะ" แปลว่าสิ่งที่เป็นจริง "ธรรม" ก็คือสิ่งที่มีอยู่ สัจธรรมก็คือสิ่งที่มีอยู่จริงเป็นจริงก็ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าว่าโดยปรมัตถธรรมมีอะไรบ้าง สัจธรรมมีอะไรบ้าง ก็เป็นอันเดียวกันนั่นเอง แต่โดยความหมายของศัพท์ก็แตกต่างกันเล็กน้อย

    ผู้ฟัง ความหมายของคำว่าอนุพยัญชนะ คืออย่างไร

    อ.อรรณพ สิ่งที่ไม่มีจริงคือบัญญัติใช่ไหม บัญญัติมีทั้งที่เป็นส่วนหยาบและส่วนละเอียด ก็มีอยู่ ๒ คำ นิมิตกับอนุพยัญชนะ เช่น ในขณะที่สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ เป็นเพียงแค่รูป แต่ถ้าตรึกนึกถึงสัณฐานว่าเป็นคนเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ถ้ารู้ถึงส่วนหยาบคือนิมิตก็เป็นบัญญัตินึกถึงรูปร่างรูปทรงโดยหยาบๆ หรือส่วนใหญ่ๆ ก็เป็นนิมิต แต่ถ้าพิจารณาถึงบัญญัติในส่วนละเอียดก็เป็นอนุพยัญชนะ เช่น เมื่อมองบุคคลหนึ่งก็รู้ว่าเป็นคนก็มีส่วนละเอียดมีคิ้วปากจมูก ส่วนละเอียดเป็นอย่างไร ใส่เสื้อผ้ามีลวดลายละเอียดมากน้อยเพียงใด อันนั้นก็เป็นอนุพยัญชนะก็คือส่วนละเอียด เพราะฉะนั้นทั้งนิมิตและอนุพยัญชนะโดยนัยตรงนี้หมายถึงบัญญัติ คือสิ่งที่ไม่ใช่ปรมัตถ์ไม่ได้มีจริงแต่เป็นการตรึกนึกถึงรูปทรงสัณฐาน

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเกิดทางมโนทวารใช่ไหม

    อ.อรรณพ ใช่ เพราะว่าจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จะรู้รูปหนึ่งรูปใด คือทางตาก็รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาคือสี ทางหูก็จะรู้เพียงรูปเดียวคือเสียง ทางจมูกก็จะรู้เพียงรูปเดียวคือกลิ่น ทางลิ้นรู้รูปเดียวก็คือรส และทางกายก็จะรู้ ๓ รูปคือเย็นร้อนคือธาตุไฟ อ่อนแข็งธาตุดิน ตึงไหวคือธาตุลมรู้ ๓ รูปคือธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม

    เพราะฉะนั้นการจะรู้เรื่องราวเช่นในขณะนี้ถ้ามองไปสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏแล้วทางวิถีจิตทางตาหรือทางจักขุทวารวิถีดับไป แต่ความคิดนึกทางมโนทวารวิถีหลังๆ ก็คิดนึกประมวลไปว่าเป็นรูปทรงรูปร่าง เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะฉะนั้นในขณะที่พิจารณาถึงรูปร่างส่วนหยาบ ลักษณะสัณฐานส่วนหยาบก็เป็นนิมิต นิมิตว่าเป็นคนส่วนละเอียดก็ประกอบด้วยส่วนประกอบใดบ้าง ก็เป็นละเอียดไปเป็นชั้นๆ ไป แต่ทั้งหมดก็คือความคิดเป็นทางมโนทวาร ก็เป็นความลึกซึ้งของธรรมสัจจะ ประการแรกคือทุกขสัจจ์ สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรม แต่ว่าเราสำคัญเอาความคิดนึกเรื่องราวว่าเป็นจริง แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงแค่สีสันวรรณะ ความคิดนึกถึงรูปทรงว่าเป็นโต๊ะเก้าอี้สัตว์บุคคลอันนั้นเป็นความคิดนึก และประกอบกับความจำที่จำในความเป็นรูปร่างสัณฐานในบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ์

    ผู้ฟัง ขออนุญาตเรียนถามต่อในเรื่องของอนุพยัญชนะ จากที่อาจารย์อรรณพได้กรุณาพูดถึงเรื่องของอนุพยัญชนะโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปที่ปรากฏทางตา ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขอสนทนาถึงเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางหู หรือทางกาย หรือว่าจมูก หรือทางลิ้นด้วย เพื่อจะได้ง่ายต่อการที่จะเข้าใจว่าอนุพยัญชนะในส่วนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง เช่น ในเรื่องของเสียง ขณะที่ได้ยินเสียงๆ นั้นมีทั้งสูงทั้งต่ำ บางครั้งก็เสียงนี้เป็นเสียงนักร้องท่านนั้น หรือว่าเสียงนี้เป็นเสียงนักแสดงท่านนี้อะไรก็แล้วแต่ หรือว่าเสียงของเราเองอะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น หรือเสียงที่เป็นเสียงที่จะทำให้เราโกรธ อนุพยัญชนะตรงนั้นแยกออกอย่างไร แตกต่างอย่างไรกับรูป เพราะว่ารูปเรายังเห็นสัณฐาน เห็นเส้นนี่ เห็นความต่างของสี แต่ว่าในเสียงตรงนี้ผสมผสานกันอย่างไรถึงได้ออกมาเป็นว่าอันนี้เป็นเสียงที่เขาว่าเรา

    ท่านอาจารย์ มีการซ้อมดนตรีไหม ทำไมถึงจะได้เสียงที่พอใจถูกใจสักทีหนึ่ง ทั้งๆ ที่เสียงนั้นก็คือเสียงระดับเดียวกัน หรือว่าเครื่องดนตรีบางเครื่องจะใช้คำว่าไวโอลินจะเข้ หรืออะไรก็แล้วแต่ เหมือนกันหรือต่างกัน ขนาดเท่ากันไม้ชนิดเดียวกัน แต่ว่าความพิเศษที่สามารถจะเป็นอนุพยัญชนะให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นทางตาหรือทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย กลิ่นดอกกุหลาบเหมือนกันหมดลองเอามาดมเหมือนไหม สามารถที่จะบอกความละเอียดส่วนละเอียดได้ นั่นคืออนุพยัญชนะ ลิ้น รสหวานมีตั้งหลายรสใช่ไหม รสเปรี้ยวก็มีตั้งหลายรส หรือรสคล้ายๆ กันแต่ว่าความละเอียดส่วนละเอียดก็ยังมีสำหรับผู้ที่สนใจ แต่ว่าการที่จะละความติดข้องก็คือว่าไม่ใส่ใจในนิมิตอนุพยัญชนะ ซึ่งปกติเราใส่ใจมาก เป็นเครื่องวัดกิเลส อนุพยัญชนะทั้งหลายยิ่งละเอียดก็ยิ่งเห็นว่าเราติดในความละเอียดนั้นมากมายแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นก็จะเป็นสภาพธรรมในชีวิตประจำวันนั่นเอง สำหรับทางกายคนที่ทำอาหารคงทราบก็มีการนวดแป้ง ได้ที่หรือยัง หรือต้องนิ่มอีกนิดหนึ่ง ทั้งๆ ที่คนอื่นก็คิดว่าก็เหมือนๆ กัน ๒ คนอาจจะมีการแข่งขันหรือมีการประกวดกัน แต่ว่าผู้ที่ชำนาญก็สามารถที่จะแยกแยะได้ว่าความละเอียดนั้นยังมี ก็เป็นเรื่องที่ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เวลาที่ใครผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ก็อาจจะคิดง่ายๆ คิดสั้นๆ คิดไม่ละเอียด แต่บางคนดูโทรทัศน์ด้วยกันคนหนึ่งก็เฉยๆ อีก ๒ คนก็นั่งน้ำตาไหลเพราะว่าความซาบซึ้งในเรื่อง ความประทับใจในส่วนละเอียดปลีกย่อย ซึ่งความรู้สึกก็ละเอียดอ่อนตามการสะสม ทำให้พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบอัธยาสัยจริงๆ ของแต่ละบุคคลที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เพราะว่าบางคนอาจจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเหลือเกินในชีวิตประจำวัน

    แต่ในพระไตรปิฏกธรรมบท ก็มีเรื่องของพระภิกษุที่ไม่เก็บเสนาสนะคือที่นอนที่ท่านเอาไปกลางแจ้ง แล้วก็เวลาที่พระภิกษุรูปอื่นเตือน ท่านก็บอกก็ไม่มีจิตใจไม่ลำบาก เสื่อก็เสื่อ ก็ไม่เห็นความสำคัญของการที่จะต้องถนอมบริขารหรือว่าสิ่งที่จะต้องดูแลเพราะว่าเป็นปัจจัยในการเป็นอยู่ เมื่อภิกษุอื่นตักเตือนไม่ได้ ภิกษุก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ทรงแสดงว่าบาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อยขึ้นชื่อว่าบาปกรรม แม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรประมาท นั่นยังไม่ถึงกรรมเพียงแต่ว่าเป็นอกุศลจิต แต่ถ้าเป็นของสงฆ์ก็จะต้องเป็นเรื่องของพระวินัยบัญญัติที่ต้องอาบัติถ้าไม่เก็บรักษาให้ถูกต้อง แต่ลองคิดดูการที่เราไม่เห็นประโยชน์หรือสิ่งที่ควรทำ แม้ในสิ่งที่ละเอียดเล็กน้อยแล้วก็เป็นนิสัยประจำตัวเราต่อไป เราสามารถที่จะเห็นประโยชน์ในสิ่งใหญ่ได้ไหม ในเมื่อแม้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เห็นประโยชน์กับการที่จะเก็บงำข้าวของหรือว่าถนอมเครื่องใช้ซึ่งก็เป็นนิสัยหรือว่าอุปนิสัยที่ดี ถ้าใครมีความละเอียด และรักษาสิ่งของ และเป็นผู้ที่ไม่ให้เสียประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อยประโยชน์ใหญ่ก็ย่อมรักษา แต่ถ้าประโยชน์นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เห็น ประโยชน์ใหญ่จะเห็นได้อย่างไร ในเมื่อสะสมการที่จะไม่เห็นประโยชน์แม้แต่เพียงเล็กน้อย

    เพราะฉะนั้นการสะสมของจิตให้เห็นความละเอียดของจิตที่เกิดและประพฤติเป็นไปทางกายทางวาจา การที่จะอบรมตัวเองหรือว่าอบรมผู้อื่นที่ยังเป็นเด็ก หรือว่าเพื่อนฝูงมิตรสหายก็ตาม ถ้าเป็นผู้ที่สามารถที่จะให้เขาเข้าใจ ให้เห็นประโยชน์ของสิ่งที่ละเอียด เขาก็จะสะสมความละเอียดจนกระทั่งเห็นความละเอียดของพระธรรม ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาโดยละเอียด แต่ว่าถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดก็จะไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าธรรมละเอียดมาก ขอกล่าวถึงคำว่าพยัญชนะอีกครั้งหนึ่ง คุณสุภีร์ ในพระวินัยก็มีคำว่าพยัญชนะใช่ไหม แม้ในพระสูตรก็มีใช่ไหม

    อ.สุภีร์ ถ้าคำว่าพยัญชนะอย่างเดียวแปลว่าทำให้ปรากฏแล้วแต่ว่าจะเอาไปใช้ที่ไหน ถ้าเป็นพยัญชนะที่นำไปใช้อธิบายความของพระพุทธพจน์ก็เรียกว่า สิ่งที่ทำให้เนื้อความหรือว่าคำอธิบายของพระพุทธพจน์นั้นปรากฏ แต่ในตอนนี้กำลังกล่าวถึงเรื่องของนิมิตอนุพยัญชนะใช่ไหม ก็ทำให้สิ่งหนึ่งปรากฏก็คือกิเลสนั่นเอง คำว่าพยัญชนะก็คือสิ่งที่ทำให้กิเลสปรากฏ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 7
    1 ก.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ