สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๖๘

    วันจันทร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ ในชีวิตประจำวัน มีจิต ๖ ทางคือ จิตทางตาเกิดขึ้นเห็น จิตทางหูเกิดขึ้นได้ยิน จิตทางจมูกก็สามารถที่จะรู้กลิ่นที่กระทบจมูก แล้วก็จิตที่ลิ้มรสในขณะที่รับประทานอาหาร ก็สามารถที่จะลิ้มรสต่างๆ ซึ่งถ้าไม่ลิ้มรส อาหารอยู่ในจานไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย จะเค็มมากเค็มน้อยอย่างไร จะรู้ต่อเมื่อ เข้าไปกระทบลิ้น แล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น สามารถจะลิ้มรสนั้นได้ก็เป็นจิตประเภทหนึ่ง ก็มีทางตาหนึ่ง ทางหูหนึ่ง ทางจมูกหนึ่ง ทางลิ้นหนึ่ง ทางกายหนึ่ง

    ขณะนี้กำลังรู้สิ่งที่แข็งหรืออ่อนที่กระทบกาย สิ่งที่ร้อนหรือเย็นที่กระทบกาย สิ่งที่ตึงหรือไหวที่กระทบกาย เป็นจิตประเภทที่เป็นผลของกรรม ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นเพราะมีปสาทรูปต่างๆ ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น จิตได้ยินเกิดขึ้น จิตได้กลิ่นเกิดขึ้น จิตลิ้มรสเกิดขึ้น จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเกิดขึ้น สั่งอะไรหรือเปล่า คือธรรมต้องเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง ที่ได้ไตร่ตรองแล้วว่าจิตเห็นเพียงเห็น จิตได้ยินเพียงได้ยิน เพราะฉะนั้นจิตประเภทนี้ไม่ได้สั่งอะไรเลย ซึ่งจริงๆ แล้ว จิตเห็นเป็นผลของกรรม จึงมี ๒ อย่างคือเป็นกุศลวิบาก วิบากหมายความถึงผล กุศลวิบากเป็นผลของกุศลเห็นสิ่งที่ดีๆ และอกุศลวิบากเป็นผลของอกุศลกรรมเห็นสิ่งที่ไม่ดี

    เพราะฉะนั้นเรามีตาสำหรับเห็นจริง แต่ว่าสิ่งที่เห็นแล้วแต่ว่ากรรมจะทำให้วิบากจิตประเภทใดเกิดขึ้น กระทบกับสิ่งที่ปรากฏก็เป็นผลของกรรมที่ต้องเห็นอย่างนั้น ต้องได้ยินอย่างนั้น ต้องได้กลิ่นอย่างนั้น ต้องลิ้มรสอย่างนั้น ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอย่างนั้น วันนี้มีใครป่วยไข้ไหม เจ็บนิดๆ หน่อยๆ ที่เท้า ที่มือ ที่แขน ที่ไหนก็ได้ ขณะนั้นจะเห็นความเป็นอนัตตาว่า ถ้านอนหลับจะไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่เวลาที่มีการรู้สิ่งที่กระทบกาย และรู้สึกเจ็บ ขณะนั้นต้องเป็นผลของกรรมทางกาย ไม่ได้สั่ง ๕ ทวารหรือ ๕ ทาง ไม่ได้สั่งเลย เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ทำให้ต้องเห็น ต้องได้ยินพวกนี้ แต่เมื่อเห็นแล้ว ทุกคนคิดนึก มีใครเห็นแล้วไม่คิดบ้างไหม ไม่มีเลย เห็นแล้วก็สามารถที่จะจำรูปร่างสัณฐาน แล้วก็คิดนึกถึงเรื่องราวของสิ่งที่เห็น ถ้าเป็นคนที่เราไม่ค่อยรู้จัก เราก็จะคิดเรื่องนั้นน้อยใช่ไหม แต่ถ้าเป็นญาติสนิทมิตรสหายเรื่องที่จะคิดถึงก็มีมากมาย มาจากเห็นนิดเดียว แต่ว่าเรื่องที่คิดมาก ทางหูก็เช่นเดียวกัน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

    เพราะฉะนั้นจิตที่คิดก็สามารถที่จะคิดเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่เมื่อจิตเกิดขึ้นคิดแล้วก็ดับไป ไม่มีจิตสักขณะเดียวซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ จิตเห็นเกิดขึ้นและดับ ไม่ใช่จิตได้ยิน จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ ไม่ใช่จิตเห็น เพราะฉะนั้นจิตคิดนึกก็เกิดขึ้นคิดแล้วก็ดับ สั่งหรือเปล่า ไม่สั่ง แต่ถ้าไม่รู้เรื่องของปัจจัย ก็จะคิดว่าจิตเป็นนายและก็กายเป็นบ่าว เพราะว่าเวลาที่มีความรู้สึกต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จะเคลื่อนไหวอาจจะยื่นมือออกไป เช่น จะหยิบถ้วยแก้วน้ำ ขณะนั้นถ้าไม่มีจิตต้องการที่จะหยิบถ้วยแก้ว มือจะเคลื่อนไหวไปไหม ก็ไม่เคลื่อนไหวไป หรือว่าขณะที่นั่งอยู่ แล้วก็ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ไกล ก็จะทำให้มีการลุกขึ้นยืนแล้วก็เดิน แต่จิตไม่ได้สั่ง จิตรู้ จิตมีหน้าที่รู้อย่างเดียว เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย จิตเกิดขึ้นจะรู้ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ตามต้องรู้ ไม่ได้สั่ง แต่ว่าจิตเกิดเมื่อใด เป็นปัจจัยให้รูปเกิดพร้อมจิตได้ เพราะเหตุว่ารูปที่เราคิดว่าเป็นรูปเท่านั้น ความจริงมีสมุฎฐาน เหตุที่ทำให้รูปเกิดขึ้น ๔ อย่าง คือรูปบางรูปเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฎฐาน รูปบางรูปเกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน รูปบางรูปเกิดเพราะอุตุความเย็นความร้อนเป็นสมุฏฐาน รูปบางรูปเกิดเพราะอาหารที่สัตว์โลกบริโภคเข้าไปแล้วก็เจริญเติบโตขึ้นเป็นอาหาร

    เพราะฉะนั้นรูปไม่รู้อะไรเลย รูปจะเคลื่อนไหวเองก็ไม่ได้ แต่ว่าขณะใดก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวสำหรับรูปที่เกิดเพราะจิต ก็จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นเพราะจิตเกิด และมีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่จิตต้องเป็นสภาพรู้ ถ้าไม่มีจิต รูปนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้เลย และเมื่อจิตเป็นสภาพรู้และมีความต้องการเกิดขึ้น ก็ทำให้รูปซึ่งเกิดเพราะจิต เป็นธาตุลมซึ่งสามารถที่จะทำให้รูปที่ตัวเคลื่อนไหวไปได้ แต่ว่าไม่ใช่สั่ง เพราะว่าจิตรู้เท่านั้น ขอคุณประเชิญเพิ่มเติมเรื่องเมื่อสักครู่นี้

    อ.ประเชิญ ขออนุญาตเพิ่มในเรื่องของจิตสั่ง คำว่าจิตสั่ง ไม่มีในพระบาลี และในอรรถกถา ถ้าผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฏกอรรถกถาที่เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ก็จะไม่พบว่ามีคำที่กล่าวนี้ คือจิตสั่งก็ดี จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวก็ดี ไม่มี ซึ่งก็จะเป็นคำกล่าวของคนรุ่นหลังที่ไม่เข้าใจพระพุทธพจน์ ซึ่งพระพุทธพจน์ที่มีอยู่ ท่านใช้คำว่า "มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา" มีที่มาในพระธรรมบท ก็จะเป็น พระพุทธพจน์ที่จะทำให้เข้าใจผิดได้ ซึ่งความหมายตรงนี้หมายถึงว่า จิตนั้นเป็นใหญ่เป็นประธาน จิตนั้นถึงก่อน จิตนั้นประเสริฐสุด เพราะว่าเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวแล้ว ไม่ใช่ว่าจะมีอำนาจในการสั่ง

    แต่ที่ว่าสั่ง จะต้องไปอีกนัยหนึ่ง คือสั่งสมสันดานของตนที่เราได้เคยสนทนากันไปแล้ว ไม่ใช่สั่งแบบมีอำนาจในการที่จะสั่งให้รูปทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าถ้ามีผู้สั่งก็ต้องมีผู้ที่รับคำสั่งใช่ไหม ซึ่งรูปนั้นไม่ใช่สภาพรู้อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าสั่งก็ต้องมีผู้ที่รับคำสั่ง รูปรับคำสั่งไม่ได้ แต่จิตนั้นมีอำนาจที่จะสั่งสมสันดานของตนด้วยอำนาจของชวนวิถี อย่างที่เราเคยสนทนาไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ สั่งก็คือคิดใช่ไหม ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นจิตคิด แต่จิตไม่ได้สั่งเพราะว่าสภาพธรรมทั้งหลายต้องอาศัยกันเกิดขึ้น จะกล่าวว่าจิตเจตสิกรูปอาศัยกัน และกันเกิดก็ได้ หรือจะกล่าวว่านามธรรม และรูปธรรมต้องอาศัยกัน และกัน ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือในภูมิที่มีทั้งรูปขันธ์ซึ่งเป็นรูป เวทนาขันธ์เป็นเจตสิก สัญญาขันธ์เป็นเจตสิก สังขารขันธ์เป็นเจตสิก วิญญาณขันธ์เป็นจิต ทั้งนาม และรูปอาศัยกันได้ แต่ไม่ใช่สั่ง

    ผู้ฟัง คือเท่าที่ศึกษามาก็ทราบว่าจิตจะเกิดได้ทีละดวงหรือทีละประเภท แต่เจตสิกสามารถจะเกิดได้อย่างน้อยต้อง ๗ ดวงแน่นอน ก็เรียนถามว่าแล้วในลักษณะของรูป จะเกิดอย่างไร จะเกิดรูปเดียวหรือหลายๆ รูป

    อ.สุภีร์ การเกิดของรูป เวลารูปเกิดขึ้นเกิดเป็นกลุ่ม เรียกว่ากลาปะ หรือว่าภาษาไทยเราอ่านว่ากลาป "กลาป" แปลว่ากลุ่มก้อน ก็คือกลุ่มของรูปนั่นเอง กลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดที่แยกจากกันไม่ได้ เรียกว่า "อวินิพโภครูป" ก็คือรูปที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ จะมีอยู่ ๘ รูป ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี คือสิ่งที่ปรากฏทางตา กลิ่น รสและโอชารูป ซึ่งโอชารูปก็คือรูปที่จะทำให้เกิดรูปอื่นต่อไป เป็นอวินิพโภครูปมี ๘ รูป เมื่อเวลารูปเกิดขึ้นอย่างน้อยๆ แล้วต้องมี ๘ รูปนี้ ก็คือดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่นรส และก็โอชา อันนี้กล่าวโดยทั่วไป แต่ว่าถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม ก็เพิ่มเข้ามาอย่างน้อยก็ต้องเป็น ๙ รูป มีชีวิตินทริยรูปเพิ่มอีก ๑ รูปเป็น ๙ รูป ซึ่งการเกิดของรูปนี้ ก็จะมี ๙ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง ๑๑ รูปบ้าง จนกระทั่งถึง ๑๓ รูปก็มี แต่ว่ากลุ่มรูปที่เล็กที่สุด ที่แยกจากกันไม่ได้เลยก็คือ อวินิพโภครูป ๘ รูป

    ท่านอาจารย์ พอจะเห็นความไม่ใช่เราหรือยัง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีกลาปะเล็กมาก ถ้าเพียงหนึ่งกลาปะจะมองไม่เห็นเลย แล้วก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทั่วตัว ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่มีชีวิต ที่ใดที่มีรูป ที่นั่นก็มีอวินิพโภครูป ๘ แล้วก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ ถ้าแตกย่อยจนถึงรูปที่ละเอียดเล็กที่สุดที่ย่อยไปอีกไม่ได้ จึงจะเรียกว่า ๑ กลาปะ และทั้งตัวของเราก็คือกองฝุ่น ซึ่งบางรูปก็เป็นรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของจิต เช่น จักขุปสาทเป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณที่กำลังเห็นในขณะนี้ แล้วก็ดับ เพราะว่าจักขุวิญญาณก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ว่ามีใครเห็นตลอดเวลา

    เราอาจจะเข้าใจว่าเราเห็นตลอดเวลา แต่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงประเภทของจิตโดยละเอียดมากว่าในขณะที่เราคิดว่าเห็นตลอดเวลา จิตเกิดดับเท่าใด แล้วก็แต่ละทวารไม่ปะปนกัน เช่น ทางตาจะมีจิตเกิดดับเท่าใด แล้วก็ทางหูจิตเกิดดับเท่าใด ซึ่งเหมือนกับว่าขณะนี้ทั้งเห็นและทั้งได้ยินด้วย นี่คือผู้ที่ยังไม่ตรัสรู้คือไม่ใช่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ต่อเมื่อใดที่สามารถที่จะฟังพระธรรม แล้วก็เริ่มเข้าใจถูกต้องในเรื่องของสภาพธรรมซึ่งขณะนี้เคยคิดว่าเป็นเรา แต่ก็เป็นธรรมทั้งหมดทุกอย่าง คือจะต้องเป็นจิตเป็นเจตสิกเป็นรูปนั่นเอง และก็ถ้าฟังโดยละเอียดต่อไป ก็จะเห็นการเกิดดับสืบต่อของจิตตั้งแต่เกิด คือขณะปฏิสนธิจนกระทั่งจุติแล้วก็ไม่จบ ก็จะต้องมีการเกิดสืบต่อในชาติต่อไป แล้วก็ไม่ใช่เพียงชาตินี้ ถอยไปนานแสนนานก็เป็นอย่างนี้ แต่ละชาติเกิดมาก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ละชีวิตก็ต่างกัน ไม่ใช่ว่าเราจะเห็นเหมือนกัน แต่ถึงแม้ว่าเห็นเหมือนกันความคิดก็ยังต่างกัน บางคนก็เป็นกุศล บางคนก็เป็นอกุศล และกุศลก็หลากหลาย ไม่ใช่มีแต่เพียงทานหรือศีล ยังมีการที่จะอบรมจิตให้ถึงระดับขั้นสูงขึ้น ซึ่งพ้นจากที่กำลังเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน

    ผู้ฟัง มีคำถามว่า ธรรมชาติของสัตว์โลก ถ้าหากว่าสมมติว่าตาเห็น ก็จะมีเห็นดี ก็จิตดวงหนึ่ง เห็นไม่ดีก็จิตอีกดวงหนึ่ง อย่างนี้ความแตกต่างระหว่างบุคคลคือสมมติว่าเราเห็นกองอุจจาระ ก็ไม่ดี แต่พอสุนัขมาเห็น เขาก็ชอบ กรณีอันนี้จะตัดสินได้อย่างไรว่าสิ่งที่ถูกเห็นเป็นเห็นดีหรือไม่ดีได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นเป็นสุนัข หรือเป็นคน หรือเป็นเทวดา หรือเป็นปลา เป็นนก จิตไม่ใช่รูป แต่เรายึดถือรูป เวลาที่มีการเห็น ช้างเห็น คนเห็น ตามรูป แต่ถ้าเราเอารูปออกไม่คิดถึงรูปเลย คิดถึงแต่ธรรมชาติ หรือธรรม หรือธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็รู้คือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏคือในขณะนี้เอง ขณะนั้นเป็นคนหรือเป็นอะไร หรือเป็นจิตเป็นเจตสิก เป็นรูป

    ผู้ฟัง เป็นจิตเห็น

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องสุนัขเรื่องคนเรื่องนกเรื่องอะไร ไม่ต้องคิดถึงเชื้อชาติ จิตเห็นก็ไม่ใช่ชาติไทย ชาติฝรั่ง ไม่ใช่สุนัข ไม่ใช่เพศ ไม่ใช่อะไร เป็นจิตเห็น

    ผู้ฟัง จะมองว่าเป็นของดีสำหรับสัตว์ที่เกิดในภูมินั้น อันนี้พอจะฟังได้ไหม

    ท่านอาจารย์ นั่นต้องเกิดหลังจากเห็น เห็นต้องเป็นเห็น จะเห็นอะไรก็เสมอเหมือนกันหมดไม่ว่าใคร จิตเห็นเป็นจิตเห็น จิตได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว จิตได้กลิ่นแล้วแต่กลิ่นอะไร ไม่มีชื่อ กลิ่นไม่มีชื่อเลย รสก็เหมือนกัน หรือสิ่งที่กระทบสัมผัส ก็แล้วแต่ว่าสุนัขก็กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งได้ คนก็ได้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกายปสาท ถ้าไม่มีกายปสาทซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วตัว จะไม่มีการรู้เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว จะไม่เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ทางกาย ก็ต้องแยกออก เพราะว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา แต่เป็นธรรม และก็เป็นอนัตตา

    ถ้าจะเข้าใจคำว่าอนัตตา ไม่ใช่เผินๆ ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ต้องรู้ว่าแล้วสิ่งที่มี อะไรเป็นอนัตตา เช่น กำลังเห็นเป็นอนัตตา ต้องบอกได้ ไม่ใช่อะไรๆ ก็เป็นอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอนัตตา แล้วถามว่าเห็นเป็นอนัตตาหรือเปล่า จะตอบว่าอย่างไร ในเมื่อกล่าวแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าเว้นไม่ได้เลย ความรู้สึกเป็นอนัตตาหรือเปล่า ความโกรธ ความรัก ความชังเป็นอนัตตาหรือเปล่า บังคับได้ไหม

    นี่คือการศึกษาธรรมที่รู้จักธรรมว่าเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เอาชื่อออกหมด เพราะกำลังกล่าวถึงสภาพธรรม เช่น เห็นอย่างนี้ไม่ต้องใช้ชื่ออะไรเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเพียงชื่อยังไม่ต้องใช้ เพราะฉะนั้นจะบัญญัติว่าเป็นสุนัขเป็นคนเป็นชาติจีนชาติไทยก็ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ากำลังกล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริง แต่ต้องอาศัยชื่อเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไรในขณะไหน เช่น ถ้าพูดถึงเห็น เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะนี้กำลังพูดถึงสภาพธรรมที่สามารถรู้ว่ามีอะไรกำลังปรากฏทางตา หรือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นอย่างไร สว่างหรือว่ามีสีสันวรรณะต่างๆ รูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะว่าขณะนี้มีจริงๆ แต่ต้องใช้คำเพื่อที่จะกล่าวถึง ไม่ให้ปะปนกับขณะที่กำลังได้ยินเสียง ซึ่งเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง จิตต้องอาศัยรูปจริง แต่จิตไม่ใช่รูป เพราะฉะนั้นการศึกษาต้องศึกษาแต่ละอย่าง ถ้าศึกษาเรื่องจิตก็ต้องรู้ว่าขณะนี้กำลังพูดถึงเรื่องนามธรรม ไม่ใช่พูดถึงเรื่องรูปธรรม ต้องแยก

    ผู้ฟัง แต่รูปธรรมกับนามธรรมต้องอาศัยซึ่งกันและกันเกิด ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ซึ่งต่อไปก็จะได้รู้ว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรมกับรูปธรรมต้องอาศัยกันทุกขณะ

    ผู้ฟัง เรียนถามว่า การที่บางท่านกล่าวว่าให้ปล่อยวางเสียบ้าง อย่าไปยึดติด พอทำใจให้ปล่อยวางคือทำเฉยๆ ก็รู้สึกสบายบ้าง แล้วการปล่อยวางจริงๆ คือจิตกำลังทำอะไรหรือเปล่า เป็นการปลอบใจตัวเอง หรือหลอกตัวเองหรือเปล่า อยากให้ช่วยอธิบาย

    อ.ประเชิญ ถ้าปล่อยวางได้ทั้งหมดก็ดีใช่ไหม เพราะจริงๆ แล้วการที่จะปล่อยวางได้จริงๆ ต้องอาศัยปัญญา ผู้ที่มีปัญญามากจนสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุฏเฉททั้งหมดไม่เหลือ คือพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านมีอีกชื่อหนึ่งว่าเป็นผู้ที่ปลงภาระได้แล้ว ภาระทั้งหมดท่านปลงได้แล้ว คือท่านไม่มีการยึดถือในนามธรรมรูปธรรมทั้งหมดแล้ว นี่คือผู้ที่ดับกิเลส ที่จะเป็นต้นเหตุที่จะทำให้ยึดถือในนามธรรมรูปธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ จะมีมากมีน้อยตามลำดับตามอำนาจของกิเลสก็จะยึดถือไปตามอำนาจของกิเลสนั่นเอง

    บางครั้งเราจะให้เขาปล่อยเสียวางเสีย หรือว่าบอกว่าไม่ต้องไปยึดถือเพราะว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา แต่จริงๆ แล้ว ตัวที่จะทำให้ยึดถือยังมีอยู่ คืออนุสัยกิเลส ยังมีเต็มที่อยู่ก็ต้องยึดถืออยู่ดี ถึงจะให้เขาปล่อยให้เขาวาง ก็อาจจะเหมือนกับหลอกตัวเอง บางครั้งคิดว่าปล่อยและวางแล้ว ไม่สนใจแล้ว แต่จริงๆ แล้ว สภาพจิตมีอยู่ และเจตสิกที่เกิดร่วม เป็นเจตสิกที่เป็นอกุศลทั้งหลายเกิดร่วม ก็ต้องยึดถืออยู่ดี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะบอกว่าปล่อยวาง แต่สภาพธรรมตามเป็นจริงแล้วก็คือยังยึดถืออยู่ เพราะว่ายังมีอุปทานขันธ์อยู่ก็ยังยึดถืออยู่

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างควรที่จะได้เข้าใจให้ชัดเจน ถ้ามีผู้ที่บอกว่าให้ปล่อยวาง ก็น่าจะถามว่าให้ปล่อยอะไร วางอะไร ไม่ใช่พอเขาบอกว่าให้ปล่อยวาง เราก็ตามเขาไปเลย ใช่ไหม พากันปล่อยวาง แต่ความจริงต้องถามว่าให้ปล่อยอะไร ให้วางอะไร หรือว่าจะให้ปล่อยวางอะไร จะมีคำตอบสำหรับผู้ที่บอกว่าให้ปล่อยวางไหม ยังไม่รู้เลยว่าจะให้ปล่อยอะไร วางอะไร แต่ปล่อยวางที่นี่หมายความถึง "ปล่อยวางความเป็นเรา" ด้วยความเห็นถูกเข้าใจถูก เพราะเหตุว่าทุกข์ทั้งหลายที่มีเพราะมีเรา ถ้าไม่มีเราเป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้น จะเดือดร้อนไหม แล้วธรรมนั้นๆ ก็เกิดต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ใครจะเลือก ใครจะบังคับให้ธรรมชนิดนี้ไม่เกิดกับตน ให้ไปเกิดกับคนอื่น ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรม เมื่อธรรมแต่ละอย่างเกิดแสดงว่ามีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้เกิดเป็นอย่างนั้น จะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เกิดเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะเป็นอย่างนี้ ขณะนี้มีใครง่วงนอนไหม ถ้ามีเกิดแล้ว เป็นอย่างอื่นไม่ได้ต้องง่วง ขณะนี้มีใครรู้สึกเจ็บตรงไหน ไม่ให้เจ็บไม่ได้ เพราะว่ามีเหตุปัจจัยเกิดแล้วปรากฏแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักธรรม ก็คือรู้จักเมื่อธรรมเกิด เกิดเป็นอย่างไร ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งนั้นคืออะไร และก็เกิดมาจากเหตุอะไร นั่นจึงจะสามารถที่จะปล่อยวางความเห็นผิด และการยึดถือธรรมว่าเป็นเรา เพราะเหตุว่าที่เราเดือดร้อนกันเพราะไม่รู้ว่าธรรมเป็นธรรม ธรรมที่เกิดทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายถือว่าเป็นเราเกิด และก็เราตาย แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่าเป็นธรรมทั้งหมดไม่มีเราเลย ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีเพราะความไม่รู้ ถ้ามีความรู้เพิ่มขึ้น ก็จะมีความเข้าใจ ซึ่งจะทำให้ค่อยๆ ละ ค่อยๆ วางความเป็นตัวตนจากสภาพธรรมนั้นๆ ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าปล่อยวางก็ปล่อยวาง แต่ไม่รู้ว่าปล่อยวางอะไร ต้องมีความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย

    ผู้ฟัง การปล่อยวางจริงๆ คือจิตกำลังทำอะไรหรือเปล่า

    อ.สุภีร์ ปล่อยวางนี้ก็เป็นคำที่ใช้ในภาษาไทย โดยทั่วไปก็คงจะหมายถึงว่าการคิดเรื่องบางอย่างแล้วทำให้ไม่สบายใจเกิดโทมนัสขึ้น หรือว่าเกิดความไม่สบายใจประการต่างๆ ขึ้น ก็อย่าไปคิดเรื่องนั้นให้ปล่อยวางเรื่องนั้นเสีย นี้เป็นคำพูดในภาษาไทย แต่ว่าในคำสอนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ปล่อยวางภาระที่เราแบกมา ภาระที่เราแบกมาก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง สิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนให้ปล่อยวางก็คือปล่อยวางขันธ์ ๕ นั่นเอง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 7
    20 มิ.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ