สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๖๔
วันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๕
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็มีความตาย ๓ อย่างคือ ขณิกมรณะ ๑ สมมติมรณะ ๑ และสมุจเฉทมรณะ ๑
ผู้ฟัง ถ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว ในชีวิตประจำวันของกระผมนี้เมื่อเห็นแล้วกระผมก็ไม่กลัวเลยว่าจะต้องตายจากการเห็นแล้วมาได้ยิน แต่ถ้ามากล่าวถึงจุติจิตกับปฏิสนธิจิตแล้วก็ชักกลัวๆ ว่าเราจะจุติตรงไหน และเมื่อไปปฏิสนธิแล้วจะเกิดในภพภูมิอะไร อาจจะเป็นเปรต อสุรกาย หรือเดรัจฉาน หรืออาจจะอยู่ในสุคติภูมิก็ได้ ในชีวิตประจำวันก็คงไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยที่ว่าจิตตายไปทีละขณะๆ แต่ฟังอย่างนี้แล้วก็เกิดความกังวลว่าจุติจิตกับปฏิสนธิจิตจะไปทางไหนอย่างไรกันแน่
ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้กับวันนี้ก็ไม่เหมือนกันใช่ไหม บางคนเมื่อวานนี้อาจจะเป็นสุข และวันนี้เป็นทุกข์ แต่บางคนเมื่อวานนี้เป็นทุกข์แต่วันนี้เป็นสุข ฉันใดจากโลกนี้ที่เป็นสุขก็ไปสู่ทุกข์ หรือว่าจากสุขไปสู่สุขอีกก็ได้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดแล้วเหมือนไม่น่ากลัว ย์ แต่ความจริงน่ากลัว
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่าตายแล้วต้องเกิดแน่นอนจะกลัวอะไร มีทุกอย่างเหมือนโลกนี้ตายแล้วก็เห็นอีก ได้ยินอีก มีเรื่องมีราวของโลกใหม่เหมือนกับชาตินี้ก็ไม่ใช่ชาติก่อน เพราะฉะนั้นเรื่องราวของชาติก่อนก็ไม่ใช่ชาตินี้ เราจากโลกก่อนมามีความสุขในชาตินี้ทำไมเรามีความสุขในชาตินี้ ชาติก่อนเรากลัวหรือเปล่า
ผู้ฟัง คือที่ผมกลัวนี้เพราะว่าตั้งแต่เล็กมาจนโต ชีวิตส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำความดีเลย เพิ่งมาศึกษาธรรมก็ได้ประมาณสัก ๑๐ กว่าปี ๒๐ ปีรู้สึกมันไม่คุ้มกับชีวิตในช่วงต้นๆ ที่ได้ทำอะไรไว้มากมายโดยไม่รู้ว่าบาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมด้วยแล้วก็มีโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรมต่อไปอีก ถ้าไม่ยุติการฟังก็จะเข้าใจไปเรื่อยๆ กุศลใดทำให้มาเกิดเป็นคนนี้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แต่ขณะนี้เองเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่กุศลที่เป็นไปในขั้นทานการให้วัตถุเพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่นเท่านั้น และไม่ใช่เป็นกุศลขณะวิรัติทุจริตแต่ว่าเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญามีศรัทธาในพระรัตนตรัยในคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทำให้เกิดปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วก็คือเป็นสภาพธรรม
เราเคยยึดถือว่าเป็นเราหรือเป็นใครก็ตามแต่ ก็เป็นธรรมนั่นเอง คือเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เราเองก็เป็นจิต เจตสิก รูป คนอื่นก็เป็นจิต เจตสิก รูป สิ่งที่เกิดเพราะกรรมทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็มีจิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดถึงว่าเราจากโลกก่อนมาสู่ความสุขของโลกนี้ และกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาวันนี้ และวันก่อนๆ และต่อไป ถ้าให้ผลก็จะทำให้จากโลกนี้ไปสู่โลกของความสุขเกิดในสุคติแล้วก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมต่อไป เพราะว่าในสุคติภูมิมีศาลาสุธรรมา สวรรค์ทุกภูมิแม้แต่ในรูปพรหมภูมิก็มีศาลาฟังธรรม ในมนุษย์เราก็มีสถานที่ฟังธรรมมากมายหลายแห่งฉันใด บนสวรรค์ก็มีผู้ที่เกิดด้วยกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา และสนใจมีศรัทธาในการฟัง เพราะฉะนั้นก็มีการอบรมเจริญปัญญาในสุคติภูมิทุกภูมิได้ ยังกลัวอยู่ไหม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ค่อยใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง กระผมจะพยายามจำใส่ใจไว้ และเป็นกำลังใจให้ได้ศึกษาพระธรรมมากขึ้น แต่ก็ยังสงสัยอยู่นิดหนึ่งว่าท่านอาจารย์กล่าวถึงกุศลที่ประกอบด้วยปัญญากับกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามีความต่างกันอย่างไรบ้างในการที่จะเกิดใหม่หรือปฏิสนธิใหม่ ถ้ากุศลที่ประกอบด้วยปัญญาให้คุณในลักษณะอย่างใดบ้าง และกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาจะมีความต่างกันมากน้อยอย่างไร ขอท่านอาจารย์อธิบายคร่าวๆ
ท่านอาจารย์ ทุกคนเกิดมาตอนเป็นเด็กก็คงไม่คิดว่าจะมานั่งอยู่ที่นี่ใช่ไหม แล้วก็จะฟังพระธรรมด้วย แต่ว่าชีวิตแต่ละวันก็ผ่านมาจนกระทั่งเมื่อไหร่ที่เกิดฟังพระธรรมเมื่อนั้นก็แสดงถึงการสะสมของจิตสันดาน สันตานะแล้วว่าการเกิดดับสืบต่อของจิตซึ่งทำให้แต่ละคนมีอุปนิสัยต่างกัน บางคนก็มีอุปนิสัยในการให้ทานเขาก็จะเป็นคนที่ให้ทานง่ายๆ พร้อมที่จะให้ได้เร็ว บางคนก็มีอุปนิสัยในศีลเป็นผู้ที่มีกายวาจาดี ในขณะที่บางคนแม้ว่าจะให้ทานได้ง่ายแต่ว่าวาจาก็ทำให้คนอื่นไม่สบายใจก็เป็นไปได้ และบางคนก็เป็นผู้ที่มีจิตใจที่เมตตามีความสงบไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นคิดถึงคนอื่นในทางที่จะเกื้อกูล และบางคนก็สนใจในธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งแต่ละคนได้สะสมมา จะปรากฏเมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งธรรมดา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ฟังพระธรรมอีก ถ้ามีการสะสมและก็เป็นกุศลซึ่งแต่ละคนก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าขณะที่ให้ทานรู้หรือเปล่าว่าไม่ใช่เรา ต้องประกอบด้วยโสภณสาธารณะเจตสิกถึง ๑๙ ประเภทที่ต้องเกิดร่วมกันในขณะนั้นที่จะทำให้กุศลแต่ละขณะเกิดขึ้น
ถ้าศึกษาธรรมแล้วจะรู้ความลึกซึ้งของจิตแต่ละขณะได้ละเอียดขึ้นว่าต้องอาศัยปัจจัยอะไรบ้างจึงเกิดขึ้นเป็นไปในทางกุศล สามารถที่จะอบรมกุศลจนถึงการรู้แจ้งประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังพูดถึงคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ นี่เป็นขั้นฟังเรื่องของสภาพธรรม แต่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้นจนถึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นกุศลที่ต่างกับขณะที่เพียงให้ทาน หรือรักษาศีล หรือว่าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ได้ฟังเรื่องราวของธรรม ก็เป็นความต่างของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา และไม่ประกอบด้วยปัญญา
ผู้ฟัง ผมฟังแล้วรู้สึกว่ากุศลที่ประกอบด้วยปัญญานี้ก็จะมีอานิสงส์มาก ความอยากได้กุศลที่ประกอบด้วยปัญญารู้สึกขึ้นมาทันที เราจะมีหนทางที่จะทำกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาได้อย่างไรท่านอาจารย์
อ.อรรณพ โลภะความติดข้องเป็นไปได้ในทุกเรื่อง แม้เราได้ยินเรื่องกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาและไม่ประกอบด้วยปัญญา ได้ยินว่ากุศลที่ประกอบด้วยปัญญาให้อานิสงส์ที่ไพบูลย์กว้างขวางยิ่งใหญ่กว่ากุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ในขณะนั้นก็อาจจะเป็นปัจจัยความอยากโลภะ อยากที่จะได้กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา อันนั้นก็อาจจะเป็นโลภะก็ได้ หรือถ้าเป็นความเข้าใจถูกใคร่ที่จะรู้ความต่างกันของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา และเหตุที่จะอบรมเจริญกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาให้มากขึ้นไพบูลย์ขึ้นด้วยความเข้าใจถูก ถ้าเป็นในลักษณะหลังก็ขอให้เข้าใจว่าขณะนี้เองไม่ใช่ขณะอื่น ขณะนี้เองที่จะเป็นโอกาสหรือเป็นปัจจัยของการที่จะอบรมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ในขณะที่ฟังพระธรรม พิจารณาธรรม ในขณะนี้ก็เป็นการสะสมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาแล้ว ในขณะนี้มีจิต เจตสิก เกิด ขณะที่เข้าใจธรรมเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา
ถ้าจะใช้ศัพท์ท่านใช้คำว่า "กุศลญาณสัมประยุตต์" คือ กุศลที่สัปยุตต์ หมายถึงประกอบด้วยญาณคือปัญญา ซึ่งปัญญาตรงนี้ก็มีหลายระดับแตกต่างกันตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากขั้นการฟัง ในขณะนี้ฟังแล้วเข้าใจแล้วปัญญาที่พิจารณาถึงธรรมที่ได้ฟังมาด้วยความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ปัญญานั้นก็อบรมเจริญขึ้นจากการที่มีการพิจารณาใคร่ครวญถึงข้อธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ก็จะเป็นโอกาสที่จะทำให้ปัญญาในระดับต่อไปมีโอกาสที่จะเจริญเพิ่มเติมขึ้น ซึ่งขณะนั้นก็ต้องประกอบด้วยโสภณธรรมอื่นอีกหลายอย่าง เช่น ความเพียรซึ่งไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเลย ขณะที่กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นขณะนั้นมีสภาพของเจตสิกธรรมอีกอย่างหนึ่งคือวิริยะเจตสิก ซึ่งเป็นความเพียรพร้อมปัญญาในการที่จะเข้าใจเรื่องพระธรรมที่ทรงแสดง และความเพียรนั้นก็ค่อยๆ ที่จะสะสมเพิ่มขึ้นพร้อมกับความศรัทธาความเลื่อมใส ฉันทะความพอใจในทางที่เป็นกุศลในการที่จะได้ยินได้ฟังอีก ได้มีโอกาสพิจารณาใคร่ครวญถึงพระธรรมอีกเรื่อยๆ อันนั้นคือกุศลฉันทะ และยังมีสภาพธรรมอีกหลายอย่างซึ่งก็เป็นการทบทวนเรื่องเจตสิกไปด้วย เพราะฉะนั้นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาจะเพิ่มเจริญก็ด้วยการที่เราฟังธรรมในขณะนี้ แล้วก็พิจารณาถึงธรรมต่างๆ ตามสมควร
ผู้ฟัง สำหรับกรณีที่อาจารย์อรรณพกล่าวอย่างนี้ ก็แสดงว่าคนที่ฝึกสมาธิ ทำสมาธิ ก็ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญาอย่างนั้นหรือเปล่า
อ.อรรณพ ขณะที่คิดที่จะไปนั่งสมาธิ หรือขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่เข้าใจอย่างไรเข้าใจอะไร แล้วทำไมถึงต้องไปนั่ง ก็คงต้องพิจารณาตั้งแต่ต้นก่อน เพราะการที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องเริ่มจากความเข้าใจก่อนว่าสิ่งนั้นคืออะไร สมาธิคืออะไรสมาธิที่เป็นกุศลสมาธิมีไหม อกุศลสมาธิมีไหม สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิเป็นอย่างไร ความเข้าใจเรื่องสมาธิต้องเข้าใจก่อนแล้วจึงจะรู้ว่ากระการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม เป็นการเจริญธรรมหรือเปล่า ต้องเริ่มจากความเข้าใจขั้นต้นก่อนว่าสมาธิคืออะไร
ท่านอาจารย์ ขอเชิญอาจารย์สุภีร์ช่วยพูดถึงสมาธิด้วย ว่าสมาธิคืออะไร
อ.สุภีร์ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วดับไปก็มีอยู่ ๓ ประการก็คือ จิต เจตสิก และรูปนั่นเอง ฉะนั้นเวลาจะพูดถึงเรื่องอะไรก็ต้องเข้าใจแจ่มแจ้งว่าสิ่งนั้นคืออะไร อย่างเช่นสมาธิ ก็เป็น ๑ ในจิต เจตสิก รูป นั่นเอง สมาธิเป็นสภาพธรรมประเภทเจตสิกก็คือเป็นเจตสิกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า เอกัคคตาเจตสิก
เอกัคคตาเจตสิก เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภทเลย ว่าโดยชื่อก็คือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก เป็นเจตสิกที่เกิดประกอบกับจิตทุกๆ ประเภท เป็นเจตสิกที่ชื่อว่าเอกัคคตาเจตสิก ลักษณะของเจตสิกนี้ก็คือรู้อารมณ์โดยการตั้งมั่นในอารมณ์นั้นอารมณ์เดียว ก็คือเมื่อใดก็ตามที่มีสมาธิในเรื่องใด ก็จดจ่อหรือว่าตั้งใจที่จะทำในเรื่องนั้นจดจ่ออยู่ในเรื่องนั้นเรื่องเดียว อาการของสมาธิก็จะปรากฏออกมาให้เห็น อันนี้เป็นลักษณะของเอกัคคตาเจตสิก แม้ขณะนี้ทุกขณะจิตก็มีเอกกัคคตาเจตสิกเกิดประกอบรวมด้วย เอกัคคตาเจตสิกนี้เรียกว่าสมาธิ ถ้าเกิดกับจิตประเภทที่เป็นอกุศลเรียกว่ามิจฉาสมาธิ ถ้าเกิดกับจิตประเภทที่เป็นกุศล เรียกว่าสัมมาสมาธิ
ฉะนั้น ขณะที่ทุกท่านนั่งฟังพระธรรมอยู่ที่นี่เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ก็เป็นสัมมาสมาธิที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดฟังพระธรรมแล้วมีความจดจ่อหรือว่ามีการตั้งใจที่จะฟังมีความเข้าใจดีอันนี้ก็เป็นลักษณะของสมาธิที่ตั้งมั่นในเรื่องนั้นเป็นสัมมาสมาธินั่นเอง แต่ถ้าไปทำอะไรหรือว่าไปจดจ้องอยู่ในสิ่งอื่นที่ที่ไม่เกี่ยวกับความรู้หรือว่าไม่ได้เป็นกุศลก็เป็นมิจฉาสมาธินั่นเอง เหมือนคนที่เขาเล่นพวกมายากลอะไรต่างๆ ไต่ลวด ไต่ราว หรืออะไรต่างๆ ก็ดี เหล่านี้ต้องอาศัยความตั้งมั่นของจิตมากจึงจะสามารถกระทำได้อันนี้ก็เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะว่าขณะนั้นก็ทำด้วยอกุศลประการต่างๆ มีโลภะเป็นต้น ก็เป็นเอกัคคตาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับอกุศลจึงได้ชื่อว่ามิจฉาสมาธิ ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีการไปจดจ้องในสิ่งใดก็ตามด้วยความไม่เข้าใจก็จะเป็นมิจฉาสมาธิทั้งนั้น เพราะเหตุว่าปกติแล้วในชีวิตประจำวันก็เป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ ฉะนั้น เมื่อไปกระทำอะไรก็ตามด้วยความไม่เข้าใจ ไปจดจ้องในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็เป็นมิจฉาสมาธินั่นเอง
ท่านอาจารย์ ธรรมก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาโดยละเอียดไม่สับสน แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นอย่างคำว่า มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ หรือจะกล่าวว่ากุศลสมาธิ หรืออกุศลสมาธิก็ได้ ขณะใดที่กุศลจิตเกิดเจตสิกทั้งหมดต้องเป็นกุศล เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นโสภณเจตสิกคือเจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้นทำหน้าที่ของเจตสิกฝ่ายดี จิตจึงจะเป็นกุศล แต่ถ้าเป็นโลภะเป็นความติดข้องต้องการขณะนั้นไม่ใช่กุศลแน่นอน แม้สมาธิก็เป็นอกุศลสมาธิเพราะเหตุว่าเอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะทราบว่าแม้ในขณะนี้เอง เอกัคคตาเจตสิกก็กำลังเกิดกับจิต ดับพร้อมจิต เป็นสัมปยุตตปัจจัย
สำหรับคำว่าสัมปยุตตปัจจัยคงไม่ลืม สภาพธรรมคือจิตและเจตสิก เกิดพร้อมกัน ๑ ดับพร้อมกัน ๑ รู้อารมณ์เดียวกัน ๑ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็เกิดที่เดียวกันจึงจะเป็นสัมปยุตตธรรม เป็นสัมปยุตตปัจจัย เพราะฉะนั้นในขณะนี้เอกัคคตาเจตสิกกำลังเกิดกับกุศลจิตทุกขณะที่กำลังฟังเข้าใจ และถ้าขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศลขณะนั้นเอกัคคตาเจตสิกก็เกิดกับอกุศล ในจิตจะเป็นโสภณจะเป็นสัมมาสมาธิได้ไหม ถ้าเอกัคคตาเจตสิกเกิดกับอกุศลจิต ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมเวลาที่อกุศลจิตเกิด เจตสิกทั้งหมดเป็นอกุศลไม่ว่าขณะใดทั้งสิ้น แต่เวลาที่โสภณเจตสิกเกิด เอกัคคตาเจตสิกก็เกิดด้วย แต่ว่าเป็นฝ่ายกุศล ในขณะที่ให้ทานมีเอกัคคตาเจตสิกไหม ถ้าไม่มีจะหยิบวัตถุยื่นให้ได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตทุกขณะต้องมีอารมณ์ ๑ และก็ต้องรู้อารมณ์เดียว และหน้าที่ของเจตสิกแต่ละเจตสิกก็ต่างกัน เช่น สภาพของเอกัคคตาเจตสิกจะตั้งมั่นในอารมณ์
จิตไม่ใช่เป็นสภาพที่ตั้งมั่น จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง เป็นธรรมหรือนามธาตุที่สามารถรู้เช่น ขณะเห็นสามารถเห็นทุกอย่างที่กำลังปรากฏ เวลาที่เสียงปรากฏจิตก็สามารถได้ยินทุกเสียงที่กำลังปรากฏให้ได้ยิน แต่ว่าเจตสิกแต่ละเจตสิกก็ทำหน้าที่ตามกิจการงานของเจตสิกนั้น คือเอกัคคตาเจตสิกก็ตั้งมั่นในอารมณ์ทุกอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ นั่นก็คือลักษณะของสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาให้ทานก็ต้องมีเอกัคคตาเจตสิกเวลาเดินข้ามถนนไม่ให้รถชนเป็นเอกัคคตาเจตสิกหรือเปล่า เป็น เป็นสมาธิได้ใช่ไหม เพราะว่าขณะนั้นลักษณะของสมาธิปรากฏ แต่ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลสมาธิ ถ้าข้ามด้วยอกุศลจิตก็เป็นอกุศล และปกติก็รู้ตัวเอง คือธรรมประโยชน์สูงสุดคือให้เกิดปัญญาของตนเองที่จะรู้จักตนเองตามความเป็นจริง เราจะรู้จักจิตของคนอื่นเป็นไปไม่ได้เลย เราอาจจะคิดอาจจะเดา แต่จิตของใครเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ปัญญาของคนนั้นจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ทุกคนที่ก้าวเท้าข้ามถนนข้ามด้วยจิตอะไร ลองคิดดู
ผู้ฟัง ข้ามด้วยสติ
ท่านอาจารย์ ข้ามด้วยสติหรือ สติต้องเกิดกับโสภณธรรมคือโสภณจิต จิตที่เป็นกุศลก็คือขณะที่ให้ทาน รักษาศีล วิรัติทุจริต และขณะนั้นจิตสงบมีสติสัมปชัญญะที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมจึงจะเป็นกุศล หรือว่าเราจะแจกโดยละเอียดก็คือขณะใดที่เป็นบุณยกิริยาวัตถุ ๑๐ เพราะว่าบุญไม่ใช่เพียงแต่ให้ทานอย่างเดียว บุญคือสภาพของจิตที่ดีงามเป็นไปใน ๑๐ ประการ คือ ในการให้ทาน รักษาศีล และอบรมเจริญปัญญา แต่ว่าถ้าแจกไปโดยละเอียดก็มี ตรงต่อตัวเองตามความเป็นจริง คือขณะที่กำลังข้ามถนนเป็นกุศลสมาธิหรืออกุศลสมาธิ ขณะที่กำลังข้ามถนนเป็นกุศลอะไร แต่มีความต้องการที่จะข้าม ความต้องการขณะนั้นเป็นโลภะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่กุศล
ผู้ฟัง ถ้าการข้ามถนนมีเอกัคคตา ในการจะข้ามถนนอย่างมีปัญญาได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ จะให้มีคงไม่ได้ แต่ว่าอบรมจนกว่าปัญญาจะเกิดได้เพราะว่าปัญญาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ถ้าไม่มีเสียงกระทบหูจะให้ได้ยินได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจะให้ปัญญาเกิดในขณะที่ข้ามถนนได้ไหม ต้องเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นจิตเป็นอะไร ก่อนอื่นเป็นผู้ตรงต่อธรรมจึงจะได้สาระจากพระธรรม การฟังพระธรรมต้องเป็นผู้ตรงต่อธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอกุศลขณะนั้น เอกัคคตาต้องเป็นอกุศลสมาธิด้วย จะเป็นกุศลไม่ได้ ยังสงสัยอะไรอีกไหมในเรื่องของสมาธิ
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นตลอดชีวิตก็เป็นอกุศลสมาธิโดยตลอด
ท่านอาจารย์ ขณะใดที่อกุศลจิตเกิดต้องเป็นอกุศลสมาธิ
ผู้ฟัง เพราะเพียงขณะที่เดินก็ต้องมีสมาธิที่จะเดิน ไม่ต้องไปถึงขั้นข้ามถนน
ท่านอาจารย์ ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศลขณะนั้นมีเอกัคคตาเจตสิกซึ่งเป็นอกุศลสมาธิ
ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้ศึกษาอย่างนี้แล้วก็คิดว่าตัวเองมีกุศลอยู่บ้างสลับอกุศลอยู่บ้าง ความจริงแล้วก็เป็นอกุศลสมาธิตลอดเวลา ที่ไม่เป็นไปในทาน ในศีลหรือว่าท่านอาจารย์ว่าเป็นการอบรมเจริญปัญญา ชีวิตก็มีแต่อกุศลสมาธิตลอด
ท่านอาจารย์ ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นเอกัคคตาเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็ต้องเป็นอกุศลด้วย ชื่อว่าเป็นอกุศลสมาธิจะใช้คำว่ามิจฉาสมาธิก็ได้
ผู้ฟัง ขอบพระคุณที่อาจารย์ยืนยันคำนี้ให้กับกระผมได้คิดว่าเมื่อเวลาเดินหรือจะทำอะไรจะเขียนหนังสือ จะอ่าน จะอาบน้ำ ก็เป็นอกุศลสมาธิตลอด ขอบพระคุณ
ผู้ฟัง ได้มีการฟังเรื่องจิตก็เลยมีคำถามว่า คำว่าจิตว่างที่คนอื่นใช้กัน จริงๆ หมายถึงอะไร กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์
ท่านอาจารย์ ดิฉันไม่ได้ใช้คำว่าจิตว่าง เพราะฉะนั้นการได้ยินได้ฟังคำนี้ก็ไม่ทราบว่าผู้พูดมีความหมายว่าอย่างไร เพราะว่าจิตเกิดขึ้นต้องทำกิจการงาน ว่างไม่ได้เลย เวลาที่เรารู้สึกว่าเราว่าง เรารู้สึกว่าเป็นเราไม่ได้ทำการงานธุระต่างๆ แต่จิตที่เกิดแล้วจะไม่ทำกิจการงานไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตต้องทำหน้าที่ในหน้าที่ใดในหน้าที่ของจิตซึ่งมีทั้งหมด ๑๔ กิจ ปฏิสนธิกิจเป็นกิจแรก จิตทำหน้าที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เมื่อปฏิสนธิจิตดับจิตที่ดับไปแล้วเป็นปัจจัยทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อ
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 061
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 067
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 075
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 076
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 077
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 078
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 079
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 080
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 081
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 082
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 083
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 084
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 085
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 086
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 087
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 088
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 089
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 090
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 091
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 092
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 093
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 094
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 095
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 096
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 097
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 098
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 099
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 100
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 101
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 102
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 103
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 104
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 105***
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 106
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 107
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 108
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 109
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 110
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 111
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 112
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 113
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 114
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 115
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 116
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 117
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 118
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 119
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 120
