สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๖๖
วันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๕
อ.สุภีร์ ถ้ากระทบสัมผัสแล้วแข็งแสดงว่าแข็งนั้นต้องเกิด เกิดแล้วมีอายุเพียงแค่ ๑๗ ขณะแล้วก็ดับไป ไม่ว่าสิ่งไหนก็ตามถ้าปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิด รูปที่เป็นสภาวรูปที่มีลักษณะเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือว่าเสียงที่ได้ยินทางหูก็ตาม ที่กำลังได้ยินอยู่นี้เสียงปรากฏใช่ไหม ต้องเกิดขึ้น และมีอายุเพียง ๑๗ ขณะเท่านั้นไม่ได้อยู่นานเลย แต่นี่กลายเป็นโต๊ะเป็นอะไรไปแล้วใช่ไหม ไม่ใช่แข็งที่เกิดขึ้นปรากฏให้กายวิญญาณรู้ แต่ถ้าเป็นแข็งที่เกิดขึ้นปรากฏให้วิญญาณรู้มีอายุเท่ากับ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่านั้น
ฉะนั้นตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วก็นานไปแล้วใช่ไหม แค่เมื่อสักครู่นี้เองก็ดับไปหมดแล้ว สิ่งที่ปรากฏเมื่อสักครู่นี้ ไม่ต้องนานไปถึงอาทิตย์ที่แล้ว ถ้ายังเป็นโต๊ะอยู่ก็คือเป็นความคิดเรื่องราวต่างๆ นั่นเอง ก็เหมือนกับเมื่อวานเราก็มี วันนี้เราก็ยังมีอีก อย่างนี้ใช่ไหม ก็คือเป็นการคิดเรื่องสิ่งที่เห็นทางตา ได้ยินทางหู แล้วก็สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทาง ๕ ทวาร รวมกันเป็นเรื่องราวต่างๆ เพราะเหตุว่านามธรรมก็คือสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เป็นสภาพรู้เท่านั้น ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐาน ไม่มีความต่ำความสูง ไม่มีสถานที่อะไรเลย เป็นเพียงสภาพรู้เท่านั้น อย่างจิตเห็น เห็นที่บ้านก็คือเห็นนั่นเอง ไม่มีที่บ้านเพราะว่าขณะเห็นเป็นจิต อยู่ที่นี่มีเห็นใช่ไหม ขณะเห็นเป็นจิต
ฉะนั้นจิตหรือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่มีสัณฐาน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีขนาด ไม่มีสถานที่เลย แต่ว่าเรารวมกันหลายๆ เรื่องใช่ไหม รวมรูปต่างๆ เข้ามาด้วย รวมสิ่งต่างๆ ที่คิดนึกเข้ามาด้วย รวมสิ่งต่างๆ ที่สมมติเรียกกันต่างๆ เข้ามา ก็เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ว่า ตอนนี้เห็นที่บ้าน ตอนนี้เห็นที่สถานที่นี้ แต่ว่าถ้าเป็นจิตเกิดขึ้นแล้วรู้แจ้งอารมณ์ ถ้าเป็นจิตเห็นก็คือเกิดขึ้นแล้วเห็นเท่านั้น ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เกิดขึ้นทำหน้าที่เห็นเท่านั้น ไม่มีสถานที่ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีขนาดอะไรเลย เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจึงดับ รูปที่เกิดแม้ว่าจะเป็นรูปใดๆ ก็ตามที่เป็นสภาวรูป ไม่ว่าจะเป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นสี เป็นอะไรก็ตามแต่ จะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ และ ๑๗ ขณะคือขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ และกำลังได้ยินขณะนี้ จิตเกิดดับเกินกว่า ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นลองคิดดูถึงความดับอย่างรวดเร็วของรูปซึ่งเราไม่เคยประมาณเลยว่ารูปจะเกิดดับเร็วถึงอย่างนี้ แต่จากการตรัสรู้ทรงแสดงโดยละเอียดว่า รูปซึ่งเป็นสภาวรูป รูปที่มีลักษณะจริงๆ จะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ทั้งๆ ที่ขณะที่เห็นกับขณะที่ได้ยินเหมือนพร้อมกัน ไม่มีช่องว่างเลย แต่ความจริงมีจิตที่เกิดดับระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นก็ลองคิดดูว่ารูปที่เราคิดว่ายั่งยืนเหมือนกับไม่ดับเลย ความจริงก็ดับเร็วมาก แต่ก็ช้ากว่าจิต เพราะเหตุว่าจิตต้องเกิดดับถึง ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจึงจะดับได้
ผู้ฟัง ถ้าหากว่ารูปดับ อย่างสมมติตึกสูงๆ ที่เขาสร้างมา ทำไมยังคงอยู่ได้
ท่านอาจารย์ ข้างในตึกสูงๆ หรือที่ไหนก็ตาม แม้แต่ที่นี่ที่เหมือนแข็ง มีอากาศธาตุแทรกคั่นไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ นั่นเองคือรูปนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากอุตุ มีอายุ ๑๗ ขณะเหมือนกัน หรือว่ารูปที่เกิดจากกรรม เกิดจากอาหาร รูปใดๆ ที่เป็นสภาวรูป จะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เหมือนจิตเห็นขณะนี้ไม่ดับใช่ไหม
ผู้ฟัง ถ้าหากว่าเห็นแล้วนี่ ถ้าหากว่าได้ยินเสียงด้วย แสดงว่าจิตเห็นดับไปแล้ว จิตได้ยินก็เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ อวิชชามีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ สภาพที่ไม่สามารถจะรู้แม้สิ่งนั้นกำลังปรากฏเผชิญหน้า เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏเกิดดับ อวิชชาก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ที่จริงแล้วเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท เพราะฉะนั้นจะมีคน มีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีการคิดนึก รูปนี้ก็ดับทันทีที่กระทบจักขุปสาท แทบจะกล่าวได้ว่าทันทีที่เกิดก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับสืบต่อกัน แต่เพราะความไม่รู้ ความรวดเร็วก็ทำให้สัญญาเจตสิกซึ่งเป็นสภาพที่จำรูปร่างสัณฐาน แล้วก็ยึดถือเป็นอัตตสัญญา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นจากสิ่งที่เพียงปรากฏทางตาเท่านั้น ถ้าส่องกระจกดูมีใครในกระจก
ผู้ฟัง รูปตัวเอง
ท่านอาจารย์ แล้วจริงๆ เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า รูปตัวเองเข้าไปอยู่ในกระจกหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็เป็นแค่รูป
ท่านอาจารย์ เป็นแค่รูป แต่จำว่าเป็นเรา ฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วในขณะนี้ สัญญาความจำก็จำไว้มั่นคงอย่างนั้น
อ.อรรณพ เรื่องที่สนทนากันอยู่นี้ เป็นเรื่องยากยิ่งแก่การที่จะเข้าใจ คือความจำในความเป็นเราหรือของเรา เป็นอัตตสัญญาที่สนทนากันอยู่ ซึ่งท่านอาจารย์ก็เคยพยายามที่จะหาข้อความหรือคำอธิบายพอจะสะกิดใจให้เราเห็นว่า ความจำในความเป็นเราหรือความเป็นของเรา เป็นสภาพธรรมที่จำ แต่ว่าจริงๆ แล้วอย่างเช่นที่ถามว่าฟันมีไหม หัวใจมีไหม มองให้เป็นข้างนอกหน่อย อย่างเช่นสิ่งของที่ทรัพย์สมบัติที่เรายึดว่าเป็นของเรา เรานั่งอยู่ในขณะนี้ ทรัพย์สมบัติเราอาจจะสูญสลาย กลับไปอาจจะมีทรัพย์สินที่ถูกทำลายหรือไฟไหม้ แต่ขณะนี้เรายังยึดว่าเรามีบ้านมีของมีทุกอย่างอยู่ใช่ไหม ซึ่งขณะนี้เราก็ไม่รู้ว่าอะไรสูญหาย อะไรแตกทำลายไป หรือบางคนที่เขาไปผ่าตัดขาออกใช่ไหม อาจจะเกิดอุบัติเหตุแล้วเขาไม่รู้ใช่ไหม พาเข้าโรงพยาบาลก็ต้องถูกตัดขาไป เขายังจำว่าเขามีขาอยู่ อันนั้นเป็นตัวอย่างที่พอจะให้เห็นได้ว่าความจำในความเป็นเรา เป็นส่วนของกายของเรา สิ่งของของเรา เป็นอัตตสัญญาคือความจำในความเป็นเรามีอยู่ แต่สภาพธรรมต้องเป็นสภาพธรรม เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เช่น เรานึกถึงฟัน เราไม่รู้จะนึกถึงรูปร่างของฟันในลักษณะไหน ก็เป็นความจำความคิดความนึกจากสิ่งที่เราเคยเห็นมา แล้วเราก็จำมา
เพราะฉะนั้นความจำในความเป็นเรา เป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคล ก็เป็นสภาพของความจำที่ผิด และกว่าจะถ่ายถอนความจำในความเป็นเราหรือของเราออกเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ยากอย่างไร แม้เรากำลังฟังความไม่ใช่เป็นตัวตนไม่ใช่สัตว์บุคคล ความที่กำลังเห็นว่าอัตตสัญญาเป็นความจำในความเป็นตัวเราของเรา เป็นเพียงแค่ความจำเท่านั้น สภาพธรรมก็จะต้องเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น บอกว่าไม่มีฟัน ไม่มีหัวใจไม่มีอะไร ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสภาพธรรม ในขณะที่กระทบแข็งที่ปรากฏขณะนั้นก็เป็นสภาพแข็ง หรือเห็นสีที่กำลังปรากฏก็เป็นสี หรือคนที่ปวดฟันขณะนั้นก็มีสภาพของนามธรรมคือ เวทนาคือสภาพความรู้สึกที่เป็นทุกข์ใช่ไหม ก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่พ้นจากจิตเจตสิกรูป แต่ความเป็นเราหรือเป็นของเรา เป็นส่วนของกายต่างๆ เป็นฟัน เป็นหัวใจใช่ไหม อันนั้นก็เป็นความทรงจำในรูปร่างที่เคยทรงจำไว้เท่านั้นเอง
ผู้ฟัง ที่บอกว่ารูปเกิดดับ เกิดดับ เราปวดฟัน ก็ไม่ดับสักที ก็ปวดอยู่ตั้งนานเป็นวันๆ
อ.อรรณพ รูปที่เป็นรูปปรมัตถ์จริงๆ เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป อันนี้แน่นอน ถ้าเราจะมองอย่างง่ายๆ ถ้ารูปเกิดแล้วไม่ดับ ของจะเก่าไหม สิ่งของยังต้องเก่าไปเลย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ก็มีการเก่า การผุ การพังไป แต่จริงๆ เราไม่ต้องรอถึงขณะนั้น ถ้ารูปที่มีสภาวะลักษณะก็มีอายุเท่ากับ ๑๗ ขณะ เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไปในชั่วอายุของรูปนั้น แต่เพียงแต่ว่าเมื่อดับไปแล้วก็มีเหตุปัจจัยให้เกิดอีก อาจจะเกิดจากอุตุความเย็นความร้อนที่ทำให้เกิดรูปใหม่ขึ้นมา แล้วก็ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ อันนั้นคือสภาพความเป็นจริง แต่ถ้าเราจะประจักษ์ความเกิดดับของสภาพธรรมเหล่านี้โดยการคิดนึกเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้ในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละอย่าง ในแต่ละทางคือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายใจ จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นจนถึงประจักษ์ในความเกิดดับของสภาพธรรมนั้น ก็เป็นปัญญาที่ต้องรู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่แค่ปัญญาหรือความคิดนึกที่คิดเอาขณะนี้
ท่านอาจารย์ ขออนุญาตถามเพื่อให้คิด เสียงในป่ามีไหม มี มีเมื่อใด
ผู้ฟัง เมื่อเสียงมี
ท่านอาจารย์ เมื่อมีปัจจัยให้เสียงเกิดขึ้น ของแข็งกระทบกันก็เป็นปัจจัยให้เสียงเกิดขึ้น เสียงนอกห้องนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นเรื่องคิด คือว่าถ้ามีปัจจัยก็เกิดใช่ไหม แต่ดับหรือยัง เสียงที่เกิดดับหรือยัง เมื่อสักครู่พูดถึงเสียงเกิด เสียงมีไหม มีเมื่อเกิด คือของแข็งกระทบกัน ก็มีเสียงเกิดขึ้นมีเสียงเกิดขึ้น แล้วเสียงดับไหม
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ เสียงดับ เพราะฉะนั้นเสียงที่เกิดแล้วดับแล้วเมื่อไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นทุกอย่างปรากฏเมื่อจิตเกิดแล้วรู้สิ่งนั้น แต่รูปใดก็ตามตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แม้ว่ามีปัจจัยคือสมุฏฐานของรูปนั้นที่จะเกิด เช่น กรรม ก็จะทำให้รูปทั่วตัวที่เป็นกายปสาท หรือโสตปสาท ชิวหาปสาท จักขุปสาทเหล่านี้เกิด ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ ไม่มีใครเรียกร้องให้จักขุปสาทเกิด เมื่อเกิดถึงกาลที่กรรมทำให้เกิดก็เกิด ถ้ากรรมไม่ทำให้จักขุปสาทเกิด ตาบอดทันที หรือว่ากรรมหยุดที่จะทำให้โสตปสาทเกิด หูหนวกทันที เป็นเรื่องของกรรมไม่ใช่เรื่องของเราหรือเรื่องของใคร เพราะว่าเมื่อเกิดมา กรรมก็ทำให้ทั้งจิตเจตสิกรูปเกิด เป็นผลของกรรม โดยที่เราไม่ได้ไปรู้เลยว่าใครทำให้ ทำให้จิตเจตสิกเกิด แล้วก็ทำให้มีรูปต่างๆ ด้วย เพราะเหตุว่ารูปที่เกิดเพราะกรรมหลากหลายจริงๆ เกิดเป็นมนุษย์หน้าตาต่างกัน เกิดเป็นสัตว์บกสัตว์น้ำรูปร่างต่างกันใช่ไหม นี่ก็เป็นเรื่องของผลของกรรม
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่ารูปใดก็ตาม ซึ่งกรรมทำให้เกิดขึ้น เกิดดับสืบต่อตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ถ้ารูปนั้นไม่ปรากฏรูปนั้นก็เกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้นรูปทุกรูปไม่ว่าจะเป็นรูปที่เกิดจากกรรม หรือรูปที่เกิดจากจิต หรือรูปที่เกิดจากอุตุทั้งภายในภายนอก รูปที่เกิดจากอาหาร รูปใดก็ตามที่เกิดแล้วดับแล้วทั้งหมดโดยที่ว่าไม่ปรากฏเลย แต่รูปใดที่ปรากฏ ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงว่าเกิดแล้วดับ แต่ต้องเป็นปัญญาที่อบรมแล้ว แต่ว่ารูปใดที่ไม่ปรากฏถือว่ามี แต่ความจริงรูปนั้นก็ว่างเปล่า เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับแล้วหมด แม้ในขณะนี้จะคิดว่ามีปอด มีหัวใจ มีกระดูก มีอะไรก็ตามแต่ นั่นคือคิด แต่รูปใดที่ไม่ปรากฏรูปนั้นทั้งหมดเกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้นจะเหลืออะไร ก็เหลือเห็นคือจักขุปสาทยังไม่ดับ สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบแล้วยังไม่ดับ ชั่วขณะเห็นมีเท่านั้นแล้วก็ดับ เหลือได้ยินขณะที่ได้ยินเกิด ก็เหลือเพียงแค่นี้ ตาหูจมูกลิ้น แล้วก็กายที่ปรากฏชั่วขณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน แต่ทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ถ้าไม่ปรากฏคือเกิดแล้วดับแล้ว นี่จึงจะเข้าถึงความเป็นอนัตตาว่าไม่มีอะไรเหลือ ถ้าไม่กระทบศีรษะ ยังมีศีรษะอยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ อัตตสัญญาจำไว้จำไว้จนกว่าจะฟังแล้วค่อยๆ คลายความจำว่าเป็นเรา แม้ในขั้นการฟังก่อน จึงจะเป็นปัจจัยให้สติกับปัญญาอีกระดับหนึ่งเริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าอบรมแล้วประจักษ์ได้ในความเกิดดับของสภาพธรรมนั้น
ผู้ฟัง แพทย์ตามโรงพยาบาล ก็บอกประสาทกาย ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ก็สามารถที่จะผ่าตัดหรือสัมผัสได้
อ.สุภีร์ สำหรับปสาท ปสาทรูปเป็นรูปที่มีความใส ที่สามารถกระทบกับอารมณ์ต่างๆ ได้ เรียกว่าปสาทรูป มี ๕ รูป มีจักขุปสาทรูป ๑ โสตปสาทรูป ๑ ฆานปสาทรูป ๑ ชิวหาปสาทรูป ๑ และกายปสาทรูปอีก ๑ รูป เป็น ๕ รูปด้วยกัน เป็นปสาทรูป ปสาทรูปทั้ง ๕ เป็นรูปที่เกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากกรรมจะไม่มีใครที่สามารถทำอะไรได้ ที่หมอหรือว่าที่เราสามารถจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ ทำได้เฉพาะรูปที่เกิดจากอุตุเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงว่าหมอทำปสาท อะไรอย่างนี้ใช่ไหม ไม่สามารถที่จะกระทำได้ เป็นเรื่องของกรรม ถ้ากรรมมาตัดรอนหรือว่าไม่มีกรรมที่จะทำให้เห็นแล้ว จักขุปสาทรูปก็จะไม่เกิดเลย ในชาตินั้นก็จะไม่มีการเห็น แต่ว่าถ้ายังมีกรรมที่จะทำให้เห็นอยู่ จักขุปสาทก็เกิดดับสืบต่อกันไปทุกๆ อนุขณะของจิต รูปที่เกิดจากกรรมเกิดดับสืบต่อกันไปทุกอนุขณะของจิต ตั้งแต่ปฏิสนธิมาไล่เรื่อยมาจนกระทั่งถึงก่อนที่จะจุติ ๑๗ ขณะจิตก็จะหยุดเกิด เพราะเหตุว่าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม สิ่งที่เกิดมาจากกรรม ตอนเกิดก็มีมาพร้อมกับการเกิด ตอนที่เราจะจากโลกนี้ไป ก็หมดไปพร้อมกันเลย ก็คือจุติจิตก็เป็นวิบากจิตใช่ไหม และกัมมชรูปก็หยุดเกิดแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดจุติจิต ๑๗ ขณะ กัมมชรูปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นปสาทรูปต่างๆ ที่กล่าวถึงเมื่อสักครู่ก็ดี หลังจากที่จุติจิตดับไป ก็ดับไปพร้อมเลย เมื่อปฏิสนธิเกิดกัมมชรูปก็เกิดพร้อมด้วยในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ฉะนั้นถ้าเป็นเกี่ยวกับปสาทรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม จะไม่มีใครสามารถทำอะไรได้นอกจากกรรมเท่านั้น
ท่านอาจารย์ ก็เป็นปสาทรูปในทางธรรม ขอเชิญคุณอรรณพพูดถึงในทางโลกด้วย
อ.อรรณพ ในทางโลกโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันก็เป็นยุคของเทคโนโลยีอะไรมากมายใช่ไหม ไม่ว่าจะมีการผ่าตัดทางการแพทย์ เปลี่ยนดวงตา เปลี่ยนอวัยวะต่างๆ หรือการโคลนนิ่งอะไรต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นศาสตร์สมัยใหม่ที่สามารถที่จะสร้างหรือทำอะไรได้ แต่จริงๆ แล้วเราต้องเข้าใจว่าพระธรรมที่ทรงแสดงครอบคลุมหมดไม่เกินไปจากที่ทรงตรัสรู้เลย เช่น เทคนิคทางการแพทย์ไม่ว่าจะในสมัยใด แม้ในสมัยพุทธกาล หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านก็เป็นนายแพทย์ที่มีความชำนาญมากมีการผ่าตัด อันนั้นก็คือเป็นการที่แก้หรือว่าเสริมในปัจจัยในส่วนที่ไม่ใช่เกี่ยวกับกรรม อย่างการโคลนนิ่งในสมัยนี้ถ้าไม่มีกรรมที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิตเกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ได้เหนือไปกว่ากรรม และเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้นรูปในทางปัจจุบัน ที่เราเข้าใจกันก็อาจจะไม่ตรง อย่างเช่นเราคิดว่าเรามองตาบุคคลอื่น เราเห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตาคือสี หรือภาษาบาลีใช้คำว่า "วรรณรูป" คือรูปที่ปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น เราไม่อาจจะเห็นจักขุปสาท ซึ่งเป็นรูปที่ไม่สามารถปรากฏทางตา รูปที่ปรากฏทางตามีเพียงรูปเดียวคือสีสันวรรณะเท่านั้น เพราะฉะนั้นที่แพทย์ผ่าตัดดวงตา ก็เป็นการที่อาจจะช่วยในเรื่องของรูปที่เกิดจากอุตุคือความเย็นความร้อน ซึ่งในทางธรรมท่านก็แสดงว่าจักขุปสาทไม่ใช่อยู่ลอยๆ จะต้องอาศัยรูปอื่นประกอบอยู่ด้วย ท่านก็ใช้คำว่า "สสัมภาระ"
ท่านอาจารย์ สิ่งที่แพทย์เรียกว่าจักขุปสาทคืออะไร ลองคิดถึงธรรม มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ ธาตุ เป็นมหาภูตรูป แล้วก็มีรูปอื่นที่ต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ถ้ามหาภูตรูปไม่มี รูปอื่นจะมีไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสีสันวรรณะที่กำลังปรากฏ หรือว่าเป็นเสียงเป็นกลิ่นเป็นรส ก็จะต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป แต่ว่ามีทางที่รูปนั้นจะปรากฏคือสีสันวรรณะจะปรากฏต่อเมื่อกระทบกับจักขุปสาทเท่านั้น ถ้ากระทบกับโสตปสาท ทางหูอย่างไรๆ ก็ไม่เห็น หรือว่าเสียงก็ต้องกระทบกับรูปที่โสตปสาท ที่เป็นรูปพิเศษ ไม่ใช่ดินน้ำไฟลม แต่เป็นรูปที่มีลักษณะที่สามารถกระทบเสียง
เพราะฉะนั้นคำว่าปสาทรูปหมายความถึงรูปที่มีลักษณะพิเศษ ที่สามารถกระทบกับสีเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ คือทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่ทางการแพทย์ หรือว่าทางวิชาการอื่นๆ จะใช้คำอะไร ใช้ศัพท์อะไร เรียกสภาพธรรมนั้นๆ ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าหมายความถึงรูปใดใน ๒๘ รูป เพราะว่ารูปที่ทรงแสดงไว้มี ๒๘ รูป รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานคือ ธาตุ ๔ ธาตุดินปฐวี ธาตุน้ำอาโป ธาตุไฟเตโช แล้วก็ธาตุลมก็คือวาโย ๔ รูปเป็นรูปใหญ่ แต่ว่ารูปทั้ง ๔ รูปเกิดพร้อมกัน เป็นปัจจัยอะไร จำได้ไหม ถ้าเกิดพร้อมกันเป็น สหชาตปัจจัย รูปไม่เป็นสัมปยุตตปัจจัย เพราะว่าสัมปยุตตต้องหมายถึงเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน ต้องเป็นสภาพรู้คือจิตและเจตสิกเท่านั้น จึงจะเป็นสัมปยุตตปัจจัย แต่สำหรับสหชาตปัจจัยทั้งนามธรรม และรูปธรรม นามธรรมที่เกิดพร้อมกันก็เป็นสหชาตปัจจัย รูปธรรมที่เกิดพร้อมกันก็เป็นสหชาตปัจจัย
เพราะฉะนั้นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เกิดพร้อมกัน โดยธาตุดินเป็นปัจจัยให้ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เกิดขึ้น ซึ่งถ้าใช้คำว่าปัจจัยก็ต้องมีคำว่า "ปัจจยุบบัน" คือธรรมซึ่งเกิดเพราะปัจจัยนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมหนึ่งเป็นปัจจัย สภาพธรรมอื่นที่เกิดเพราะปัจจัยนั้นก็เป็นปัจจยุบบัน รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานมี ๔ รูป ธาตุดินธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มองเห็นไหม ไม่เห็น เสียงมองเห็นไหม ไม่เห็น กลิ่น ไม่เห็น รสไม่เห็น รูปอื่นๆ ไม่เห็นเลย เห็นได้รูปเดียวคือสิ่งที่กระทบตาได้ ถ้ารูปนี้กระทบจักขุปสาทเมื่อใด รูปนี้จึงปรากฏ เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่ารูปนี้มี แต่ถ้าไม่มีจักขุปสาท รูปนี้ก็ปรากฏไม่ได้เลย เช่นคนตาบอดไม่มีจักขุปสาท แม้ว่าสิ่งที่เรากำลังเห็นขณะนี้มี แต่ไม่มีทางที่จิตจะเกิดขึ้นเห็นเพราะว่าไม่มีจักขุปสาท
เพราะฉะนั้นจักขุปสาทในทางธรรมไม่ใช่ปสาทที่เราจะไปหยิบไปตัดไปทำอะไร แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบกับวรรณะคือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นในรูป ๒๘ รูป ที่มองเห็นได้มีรูปเดียว ถ้าแพทย์จะกระทบสัมผัสอะไรก็คืออ่อนหรือแข็ง แล้วก็อาจจะมีกลิ่นปรากฏก็ได้ เพราะเหตุว่าที่ใดที่มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ที่นั่นต้องมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา โอชาคือรูปที่สามารถจะทำให้รูปอื่นเกิดขึ้น
เปิดอ่าน ...
ยังข้องใจคำว่าขณิกมรณะ (ธรรมทาน)
ตึกสูงๆ ทำไมยังคงอยู่ ไม่ดับ (ธรรมทัศนะ)
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 061
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 067
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 075
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 076
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 077
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 078
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 079
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 080
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 081
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 082
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 083
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 084
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 085
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 086
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 087
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 088
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 089
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 090
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 091
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 092
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 093
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 094
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 095
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 096
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 097
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 098
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 099
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 100
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 101
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 102
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 103
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 104
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 105***
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 106
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 107
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 108
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 109
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 110
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 111
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 112
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 113
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 114
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 115
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 116
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 117
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 118
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 119
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 120
