สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๗๐
วันจันทร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๕
อ.สุภีร์ ทุกขณะจิตก็จะมีรูปและนามก็คือจิตเจตสิกรูป หรือว่าขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง เป็นปัจจัยแก่กันและกัน เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่การงาน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนัตตาไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาอะไรได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็สามารถค่อยๆ ฟัง แล้วก็ค่อยๆ พิสูจน์ได้ในชีวิตประจำวันนั่นเอง อย่างเช่นการเห็นเป็นอนัตตาได้อย่างไร เราอาจจะนึกไปสักหน่อยว่าอีกสองนาทีอะไรจะเกิดขึ้น อีกสองนาทีอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้เลยใช่ไหม ฉะนั้นเราอาจจะคิดว่าเดี๋ยวเย็นนี้เราจะไปทำนั่นทำนี่ หรือว่าพรุ่งนี้จะไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่จริงๆ แล้ว แม้แต่หนึ่งนาทีข้างหน้าหรือสองนาทีข้างหน้า เราก็ยังไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยังไม่ทราบว่าความคิดอะไรจะเกิด ยังไม่ทราบว่าจะเห็นอะไร และจะได้ยินอะไร จะคิดนึกเรื่องอะไร หรือว่าอาจจะจากชาตินี้ไปก่อน จุติจิตเกิดขึ้น อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหลายก็คือจิตเจตสิกรูปที่เกิดดับสืบต่อกันไป ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้ เกิดตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ฟัง อีกคำถามหนึ่ง อาจารย์สุภีร์เคยกล่าวว่า การเห็นครั้งหนึ่ง ขันธ์ ๕ ครบเลยถูกหรือไม่ ขอความกรุณาอธิบายประเด็นนี้ด้วย
อ.สุภีร์ เพราะเหตุว่าเป็นสัตว์บุคคลที่อยู่ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ใช่ไหม ฉะนั้นทุกๆ ขณะจิตก็จะครบทั้ง ๕ ขันธ์เสมอ อย่างเช่นเห็นขณะหนึ่ง ก็มีขันธ์ ๕ เกิดครบ เวลาเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คือรูปหรือว่ารูปารมณ์ เราอาจจะใช้ศัพท์เช่นนี้ก็ได้ สิ่งนั้นก็เป็นรูปใช่ไหม จักขุปสาทรูปที่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณก็เป็นรูป เป็นรูปขันธ์ จักขุวิญญาณที่เกิดขึ้นก็เป็นวิญญาณขันธ์ จักขุวิญญาณจะมีเจตสิกเกิดประกอบร่วมด้วย ๗ ประเภท เรียกว่า เจตสิกที่เป็น "สัพพจิตตสาธารณเจตสิก" คือ เป็นเจตสิกที่ต้องเกิดทั่วไปกับจิตทุกๆ ประเภท มีอยู่ ๗ ประเภท ซึ่งเวทนาเจตสิกและสัญญาเจตสิก เป็นเจตสิก ที่เป็นเวทนาขันธ์และสัญญาขันธ์ และเป็นเจตสิก ๒ ประเภทในสัพพจิตตสาธารณเจตสิกด้วย ฉะนั้นก็ได้เพิ่มมาอีกเป็นเวทนาขันธ์คือเวทนาเจตสิก และสัญญาขันธ์คือสัญญาเจตสิก และเจตสิกประการอื่นๆ ที่เหลืออีก ๕ ประเภท ที่เกิดพร้อมกับจักขุวิญญาณก็เป็นสังขารขันธ์ ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงเฉพาะจิตเห็นที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็ครบเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ปฏิสนธิจิตเกิด เกิดพร้อมกันครบขันธ์ทั้ง ๕ เมื่อจุติจิตดับไป ก็ดับพร้อมกันทั้งขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดจากกรรม
ผู้ฟัง ขอความกรุณาอธิบายคำว่าขันธ์ ๕ อย่างไรเรียกว่าขันธ์ ๕ และคำว่า "อุปาทาน" ที่ยึดติด แล้วในชีวิตประจำวันที่กล่าวกันว่า เมื่อคนเราอายุมากๆ มักกล่าวว่าสังขารมันไปไม่ไหวแล้ว ซึ่งขณะนี้ก็มีสังขารขันธ์จะแตกต่างกันอย่างไร
อ.สุภีร์ อธิบายคำว่าขันธ์ก่อน คำว่าขันธ์แปลว่ากองหรือว่าหมวดก็ได้
ท่านอาจารย์ ต้องสะกดด้วยไหม สำหรับบางท่าน
อ.สุภีร์ สะกดเป็นภาษาไทย ข.ไข ไม้หันอากาศ น.หนู ธ.ธง การันต์ "ขันธ์" ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็นขันธ แต่ว่าภาษาไทยนำมาใช้ก็เติมการันต์เข้ามา ก็เป็นขันธ์ "ขันธ์" แปลว่ากอง หรือว่าเป็นหมวดก็ได้ คำว่าขันธ์เป็นสภาพธรรมที่เป็นหมวดๆ หรือว่าเป็นกอง ก็คือเป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะที่เป็นอดีตอนาคตปัจจุบัน ภายในภายนอกหยาบละเอียด ทรามประณีต ไกลใกล้ ซึ่งจะมีลักษณะที่กล่าวไปนี้ มีลักษณะ ๑๑ ประการด้วยกัน ก็คือเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั่นเอง ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันก็ได้ครบทั้ง ๑๑ อาการแล้ว เพราะว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจึงมีอดีต ใช่ไหม จึงมีอนาคต จึงมีปัจจุบัน แล้วเมื่อเวลาเกิดขึ้นสภาพธรรมนั้นก็มีความหยาบด้วย มีความละเอียดด้วย มีความปราณีตด้วย อย่างนี้เป็นต้น ก็คือสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วดับไปนั่นเองเรียกว่าขันธ์ ๕ เป็นหมวดๆ เป็นกองๆ ซึ่งจะมีอยู่ ๕ ขันธ์ด้วยกัน ก็คือ ๑ รูปขันธ์ ๒ เวทนาขันธ์ ๓ สัญญาขันธ์ ๔ สังขารขันธ์ ๕ วิญญาณขันธ์
ซึ่งสภาพธรรมที่มีอยู่จริง ที่เป็นจริงเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ปรมัตถธรรม" มีอยู่ ๔ อย่างก็คือ ๑ จิตปรมัตถ์ ๒ เจตสิกปรมัตถ์ ๓ รูปปรมัตถ์ ๔ นิพพานปรมัตถ์ แต่ปรมัตถธรรม ๓ อย่าง ก็คือจิตเจตสิกรูปเป็นขันธ์ ๕ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ส่วนพระนิพพานไม่เป็นขันธ์ เป็นขันธวิมุตติ คือพ้นจากความเป็นขันธ์ เพราะเหตุว่าไม่เกิดไม่ดับ ถ้าจะเป็นขันธ์ต้องเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ส่วนคำว่าอุปาทานขันธ์ ก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง ที่เป็นที่ยึดมั่นถือมั่นของอุปาทานที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปแล้วว่ามี ๔ อย่าง ซึ่งก็ได้ให้ความหมายไปแล้ว
คำว่าอุปาทานขันธ์ ก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง ที่เป็นอารมณ์ หรือว่าเป็นที่ยึดของอุปาทาน ฉะนั้นในขันธ์ ๕ เมื่อรวมจิตเจตสิกรูปทั้งหมด จะมีทั้งส่วนที่เป็นอุปาทานขันธ์ก็มี และไม่เป็นอุปาทานขันธ์ก็มี เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่เกิดดับ ส่วนที่เป็นโลกุตรจิต และก็เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับโลกุตรจิต อุปาทานยึดไม่ได้ ไม่เป็นที่ยึดของอุปาทาน ก็คือโลกุตรจิต ๘ ประเภท และก็เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับโลกุตรจิตทั้ง ๘ ประเภทนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อว่าโดยอุปาทานขันธ์แล้ว ก็เป็นอุปาทานขันธ์ ๕ นั่นเอง แต่เว้นนามขันธ์ ๔ ที่เป็นประเภทโลกุตระ ก็คือโลกุตรจิต ๘ และก็เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ส่วนที่เป็นโลกุตระก็จะไม่เป็นอุปาทานขันธ์ ส่วนรูปทั้งหมดก็เป็นอุปาทานขันธ์ทั้งหมด เพราะว่ารูปเป็นโลกียะอย่างเดียว อันนี้ก็เป็นความแตกต่างกันของขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้รวมทั้งหมด แต่ว่าอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ ๕ เฉพาะส่วนที่อุปาทานยึดมั่นถือมั่น
ท่านอาจารย์ คงต้องขอให้สะกดคำว่าวิมุตติด้วย เมื่อสักครู่นี้พูดถึงขันธวิมุตติ
อ.สุภีร์ ขันธวิมุตติ "วิมุตติ" ก็คือ ว.แหวนสระอิ ม.ม้าสระอุ ต.เต่า ต.เต่าสระอิ ถ้าอ่านตามตัวทั้งหมดก็จะเป็นวิมุต-ติ แต่ว่าตามภาษาไทยเรานิยมอ่านเป็นวิมุตติ แต่ถ้าอ่านตามภาษาบาลีต้องอ่านเป็นวิมุต-ติ
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจสภาพธรรม ซึ่งก็ได้แก่จิตเจตสิกรูป ก็จะเข้าใจขันธ์ด้วยเพราะว่าสภาพธรรมที่มีชื่ออยู่ในพระไตรปิฏกต่างๆ ก็จะไม่พ้นจากปรมัตถธรรม คือไม่พ้นจากจิตเจตสิกรูป เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจเรื่องจิตเจตสิกรูป ก็จะรู้ได้ว่ารูปทุกรูปเป็นรูปขันธ์ เพราะคำว่าขันธ์ หมายความถึงกอง หรือส่วน หรือประเภท เพราะฉะนั้นคำว่าขันธ์ก็คือการจำแนกธรรมออกเป็นส่วนๆ หรือว่าเป็นประเภท เช่น รูปทุกชนิด ไม่ว่าจะรูปในอดีตกี่ชาติมาแล้วก็ตาม เสียงก็เป็นเสียงเป็นอื่นไม่ได้ กลิ่นก็เป็นกลิ่นเป็นอื่นไม่ได้ รูปแต่ละรูปก็มีลักษณะเฉพาะของรูปนั้นๆ
เพราะฉะนั้นรูปทุกรูปไม่ว่าอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรือว่าขณะนี้ หรือว่าอนาคตข้างหน้ารูปก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นรูปก็คงเป็นรูปเป็นรูปขันธ์ รูปจะเป็นนามขันธ์ไม่ได้เลย เมื่อปรมัตถธรรมมี ๓ คือจิตเจตสิกรูป ขันธ์มี ๕ ขันธ์ที่ ๑ คือรูปขันธ์ เหลืออีก ๔ ขันธ์ ก็ต้องได้แก่จิต และเจตสิก เพราะว่านิพพานไม่เกิด นิพพานไม่ดับ เพราะฉะนั้นนิพพานจะเป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต เป็นภายในภายนอก ไกลใกล้ หยาบละเอียดเลวปราณีตไม่ได้เลย แต่รูปสามารถที่จะจำแนกออกได้ รูปบางรูปก็ปราณีต รูปบางรูปก็หยาบ แล้วก็มีคำอธิบายต่อไปถึงรูปที่เลว รูปที่ปราณีต รูปที่ทราม ไกลใกล้ต่างๆ ภายในภายนอก แต่ทั้งหมดต้องเป็นรูป และรูปทุกรูปเป็นรูปขันธ์
เพราะฉะนั้นขณะนี้มีทั้งจิตเจตสิกรูป ก็แสดงว่ามีทั้ง ๕ ขันธ์ คือ รูปปรมัตถ์ เป็นรูปขันธ์ทั้งหมดทุกรูป ที่เหลือจิตเป็นวิญญาณขันธ์ เพราะเหตุว่าจิตมีหลายชื่อ จะเรียกว่าวิญญาณก็ได้ แต่เวลาที่ใช้คำว่าขันธ์จะไม่ใช้คำว่าจิตขันธ์ แต่ใช้คำว่าวิญญาณขันธ์ ก็เป็นความหลากหลายของภาษาที่แสดงให้เห็นว่า ใช้คำไหนก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าวิญญาณขันธ์ ได้แก่ จิตทุกชนิดทุกประเภทไม่ว่าจิตของใครทั้งหมด เกิดแล้วก็ดับ สภาพธรรมที่เกิดดับก็เป็นปัจจุบันขณะที่เกิด ขณะที่ดับก็เป็นอดีต ขณะที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอนาคต
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดดับทุกอย่างเป็นขันธ์ รูปเป็นรูปขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ ๒ ขันธ์แล้ว ก็เหลือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เพราะถ้าเรียงตามขันธ์ ๕ ก็คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปเป็นรูปขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ เจตสิกทั้งหมด มี ๕๒ ประเภท เฉพาะเจตสิกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอินทรีย์เป็นใหญ่ เพราะเหตุว่าเป็นความรู้สึก วันหนึ่งๆ ทุกคนต้องรู้สึก ไม่มีใครที่จะไม่รู้สึก ใช่ไหมความรู้สึกจำแนกออกได้เป็น ๕ ประเภท หรือ ๕ อย่าง ๕ ลักษณะ คือความรู้สึกดีใจโสมนัส ตรงกันข้ามกับความรู้สึกโทมนัส ๒ แล้ว ความรู้สึกเป็นสุขความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกาย บางครั้งก็สุขบางครั้งก็ทุกข์ และสภาพธรรมที่ไม่ทุกข์ไม่สุข คือ อทุกขมสุขเวทนา หรือบางคราวก็เรียกว่าอุเบกขาเวทนา แต่คำว่าอุเบกขา ใช้ในหลายความหมาย แต่ถ้าพูดถึงอุเบกขาเวทนา ต้องหมายความถึงอทุกขมสุข คือขณะที่ไม่สุขไม่ทุกข์
ทุกคนมีเวทนา ๕ ครบไหม ใครมีแต่สุขเวทนา ใครมีแต่โสมนัสเวทนา ใครมีแต่อุเบกขาเวทนา เป็นไปไม่ได้เลย แต่วันหนึ่งๆ ของใครแต่ละคนจะมากจะน้อย ต่อไปก็จะทราบว่าเวทนาชนิดไหนเป็นวิบากคือผลของกรรม และเวทนาชนิดไหนไม่ใช่วิบากไม่ใช่ผลของกรรม เช่น โทมนัสเวทนาความรู้สึกเสียใจ ขุ่นใจแม้นิดเดียว นิดเดียวเพียงแค่เห็นฝุ่นขณะนั้นอาจจะไม่รู้เลย เวทนาเป็นอะไร แต่ว่าสภาพของเวทนาต้องเกิดกับจิตทุกดวงทุกขณะ แล้วก็เป็นใหญ่จริงๆ เพราะเหตุว่าทุกคนแสวงหา หรือติดข้องในความรู้สึก ทั้งวันเราทำอะไรเพื่อสุขเวทนา เพื่อโสมนัสเวทนา
เพราะฉะนั้นเวทนาทั้งหมดก็เป็นอินทริย อินทรีย์ เป็นสภาพที่เป็นใหญ่ แต่อันนี้ก็คือเวทนาขันธ์ เวทนาทุกชนิดเป็นเวทนาขันธ์ รูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สัญญาคือเจตสิก ซึ่งภาษาไทยก็คงจะใช้ในอีกความหมายหนึ่ง สัญญากันหรือว่าอาจจะสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อจำได้ เพราะเหตุว่าลักษณะของสัญญาเจตสิก เป็นสภาพจำ เวลานี้ที่เห็นอะไรแล้วเรารู้ว่าเป็นอะไร ถ้าไม่มีสัญญาเจตสิกจะจำไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าต้องเป็นกิจหน้าที่ของเจตสิกที่เป็นสัญญาเจตสิก ซึ่งจะไม่ทำกิจอื่นเลย สัญญาเจตสิกจะจำ หมายรู้สิ่งที่เห็น แล้วก็จำว่าเป็นอะไร แม้แต่เสียง เสียงมีมากมายหลากหลายใช่ไหม เสียงคนเวลาที่รับโทรศัพท์รู้ได้เลยไหมว่าใคร เสียงก็ไม่น่าจะละเอียดถึงอย่างนั้น เพราะคนก็มีเยอะแยะต่างคนก็ต่างเสียง แต่ก็สามารถที่สัญญาจะจำได้ สัญญาจำทุกอย่าง เพราะเหตุว่าสัญญาเกิดกับจิตทุกขณะ สิ่งใดที่ผ่านมาแล้ว และขณะใดที่มีการจำได้ ขณะนั้นก็เป็นหน้าที่ของสัญญาที่ปรากฎให้เห็นว่าเป็นลักษณะของสัญญาเจตสิก แต่ว่าตามความเป็นจริงสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง เพราะฉะนั้นสัญญาเจตสิกหนึ่งเป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือ ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้นก็ครบ ปรมัตถธรรม ๓ คือจิตเจตสิกรูป จำแนกเป็นขันธ์ ๕ ตามการยึดถือด้วย เพราะว่าทุกคนยึดถือรูป แน่นอนใช่ไหม ทั้งที่ตัวเอง และก็รูปอื่นด้วย เวทนาความรู้สึกนี้ยึดมั่นมากเลย เวลาที่สุขเวทนาเกิดเราสุข เวลาที่ทุกขเวทนาเกิดเพียงแค่ความรู้สึกเป็นทุกข์เกิด ก็เป็นเราทุกข์ ทั้งๆ ที่ทุกขเวทนาก็มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไม่ยั่งยืนเลยสักเวทนาเดียว เพราะว่าต้องเกิดดับพร้อมกับจิต สัญญาก็เช่นเดียวกัน สังขารขันธ์ก็ได้แก่เจตสิกอื่น เช่น สติ โลภะ โทสะ เมตตา หรืออโทสะ วิริยะความเพียรทั้งหมดในชีวิตประจำวันที่เราบอกว่าใครเป็นอะไร นั่นก็คือพูดถึงเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตของคนนั้นๆ ทำให้สามารถที่จะปรากฏลักษณะของแต่ละบุคคล เป็นคนขยัน หรือว่าเป็นคนเอาเปรียบ หรือว่าเป็นคนที่มีกุศลจิตมาก มีความกรุณามาก หรืออะไร ก็เป็นเรื่องของเจตสิกทั้งหมดที่เกิดกับจิตในวันหนึ่งๆ ทั้งหมดนี้ก็เป็นสังขารขันธ์ ซึ่งความหมายของสังขารขันธ์ก็คือเป็นขันธ์ที่ปรุงแต่ง เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง แล้วแต่ว่าจะเป็นระดับใด
อ.ประเชิญ เรื่องสังขารยังมีค้างอยู่ใช่ไหม ผู้ถามถามเรื่องของสังขารของผู้ที่มีอายุมากที่ว่าสังขารร่วงโรยจะมีความหมายที่ต่างกันอย่างไร ในพระพุทธศาสนาคำว่าสังขารจะมีหลายความหมายมากเลย สังขารที่ชาวบ้านกล่าวกัน หมายถึงสังขารที่เป็นรูป อย่างเช่นอายุมากแล้วสังขารร่วงโรย เป็นความหมายที่บ่งบอกถึงรูปร่างกาย ที่เริ่มจะมีอะไรเสื่อม อะไรก็ไม่ดีทั้งหมด นี่เป็นเรื่องของสังขารที่เป็นความหมายของชาวบ้าน แต่เวลาที่พระท่านบังสกุล ท่านที่ไปงานศพท่านจะบังสกุลตอนสุดท้ายว่า "อนิจจา วต สังขารา" นี้ก็เป็นอีกความหมายหนึ่ง สังขารตรงนั้นหมายถึงทั้งนามธรรม และรูปธรรมทั้งหมด และก็สังขารที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่ เป็นสังขารขันธ์ ซึ่งหมายถึงเจตสิก และยังมีสังขารอื่นๆ อีก คือ สังขารโลกบ้าง อภิสังขารบ้าง ก็มีใช้ในคำสอนที่ได้ศึกษา ก็จะได้ยินกันบ่อยๆ สังขารโลกก็เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและก็แตกดับ ซึ่งก็จะมีความหมายตรงกับสังขารธรรม และก็สังขารที่เรียกว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง อันนี้ก็เป็นสังขารซึ่งรวมทั้งนามธรรม และรูปธรรมทั้งหมด แล้วก็มีอีกคำหนึ่ง คือ อภิสังขาร ที่ท่านได้ศึกษาในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารตรงนั้น สังขารตรงนั้นหมายถึงกรรม หมายถึงเจตนาที่เป็นกรรมอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบความหมายของคำว่าสังขารตรงนี้ด้วย
ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์ที่เกี่ยวกับอุปาทาน ๔ อย่าง คือคำว่ามงคลตื่นข่าวจัดอยู่ในสีลัพพัตตุปาทานใช่ไหม
อ.สุภีร์ แล้วแต่แต่ละคน แล้วแต่แต่ละคนว่ามงคลตื่นข่าวนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ หรือว่าหมดลดคลายกิเลสหรือเปล่า ถ้าเป็นสีลัพพัตตุปาทาน เป็นความเห็นผิดของบุคคลผู้ถือข้อประพฤติปฏิบัติทางกายทางวาจา และข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เพื่อจะทำให้กิเลสหมดไป หรือว่าตัวเองพ้นจากทุกข์โดยไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง มีความเห็นผิดว่าทางนี้เป็นทางที่จะทำให้ตัวเองพ้นจากทุกข์ แล้วก็ยึดถือเอาข้อนั้นเป็นข้อปฏิบัติ แต่มงคลตื่นข่าว บางคนอาจจะยังไม่มีความเชื่อว่าเป็นหนทางที่จะทำให้ละคลายกิเลสก็ได้ใช่ไหม ก็แล้วแต่แต่ละคน อย่างเช่น การเห็นว่าต้นกล้วยจะให้อะไรเราได้เป็นต้น หรือว่าต้นมะขามขูดๆ แล้วอาจมีอะไรออกมา อย่างนี้เป็นต้น สิ่งนั้นก็ยังไม่เป็นเกี่ยวกับเรื่องการที่จะเห็นว่าช่วยให้พ้นจากทุกข์ สิ่งนั้นก็เป็นทิฏฐุปาทานเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นสีลัพพัตตุปาทาน เพราะเหตุว่าถ้าเป็นสีลัพพัตตุปาทานก็เป็นการยึดเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ เพราะเห็นว่าทางนั้นจะช่วยให้ตัวเองพ้นจากทุกข์ หรือว่าละคลายกิเลสลงไป ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง ขออนุญาตถามเกี่ยวกับเรื่องของตัวสภาพธรรมที่ชื่อว่าสัญญา ที่เป็นขันธ์ๆ หนึ่งว่าสัญญาที่ทราบมีความหมายว่าจำได้หมายรู้ ขณะที่สัญญาเกิดกับจิตทุกดวง ก็จำได้ ก็มีหน้าที่ในการจำ ดังนี้ ถามว่าเวลาเราเกิดเห็นขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วก็มีความคิด จิตคิดตามจากเห็นนั้น ในแรกๆ เมื่อเห็นไม่เท่าไหร่ ก็อาจจะจำไม่ได้ว่านี่คือใคร แต่พอเห็นบ่อยๆ เข้าก็อาจจะจำได้ ก็เริ่มที่จะจำได้ว่าคนนี้เป็นอย่างนั้น หรือสิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น อะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น ตรงนั้นสัญญาเป็นสภาพที่สะสมหรือเปล่า เหมือนกับจิตหรือเปล่า ที่วิทยากรท่านกล่าวข้างต้นว่าจิตมีหน้าที่สั่งสมด้วย ทีนี้สัญญาจะถือว่าสัญญามีสภาพในการสั่งสมด้วยหรือไม่ จำกับสั่งสมต่างกันอย่างไร กับที่จิตที่สั่งสมต่างกันอย่างไร
อ.สุภีร์ แล้วแต่ว่าเป็นสัญญาที่เกิดกับจิตประเภทใด เพราะเหตุว่าลักษณะของจิตเป็นสภาพธรรมที่สั่งสมสันดานของตนด้วยอำนาจชวนวิถี ถ้าเป็นสัญญาที่เกิดพร้อมกับชวนจิต ก็เป็นการสั่งสมสัญญาให้มั่นคงยิ่งขึ้นไปในเรื่องต่างๆ แต่ถ้าเป็นสัญญาที่เกิดพร้อมกับวิบากจิต เช่น จักขุวิญญาณจิตเห็นอย่างนี้เป็นต้น จักขุวิญญาณเป็นวิบากจิต เห็นแล้วก็ดับไป ไม่สั่งสมอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาใช่ไหม สัญญานี้ก็ทำหน้าที่จำอารมณ์เท่านั้น ไม่ได้สั่งสมอะไร แต่ว่าที่คุณวีระได้กล่าวเมื่อสักครู่ ก็เป็นการรับรองลักษณะของสัญญาเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภทว่า ตอนแรกๆ ยังจำไม่ได้ใช่ไหม พอหลังๆ มา เห็นบ่อยๆ เข้าก็จำได้ อันนี้ก็เป็นการรับรองว่าสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภทนั่นเอง เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีสัญญาแรกๆ ใช่ไหม สัญญาหลังๆ จะมีได้อย่างไร หรือว่าจะจำตอนที่เห็นครั้งหลังๆ ได้อย่างไร เพราะเหตุว่าไปครั้งแรกแล้วไม่มีการจำเลยใช่ไหม ไปครั้งต่อไปก็เหมือนกับเริ่มใหม่เริ่มใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่ว่าสัญญาเจตสิกนี้เกิดกับจิตทุกประเภท ครั้งแรกนี่ยังจำเหมือนกับจำไม่ได้ใช่ไหม แต่สัญญาเจตสิกก็กระทำหน้าที่จำแล้ว เมื่อเห็นสิ่งนั้นบ่อยๆ ความจำต่างๆ ก็มั่นคงขึ้น แล้วก็สามารถนึกคิดเรื่องนั้นได้
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 061
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 067
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 075
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 076
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 077
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 078
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 079
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 080
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 081
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 082
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 083
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 084
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 085
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 086
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 087
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 088
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 089
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 090
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 091
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 092
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 093
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 094
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 095
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 096
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 097
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 098
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 099
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 100
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 101
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 102
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 103
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 104
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 105***
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 106
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 107
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 108
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 109
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 110
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 111
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 112
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 113
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 114
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 115
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 116
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 117
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 118
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 119
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 120
