สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๖๒
วันจันทร์ที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๕
อ.ประเชิญ อย่างเช่นเมื่อทำลงไปแล้ว จะให้ผลตามเวลาซึ่งกรรมบางประเภทจะให้ผลทันตาเห็น คือให้เห็นในชาตินี้เลย เมื่อทำแล้วก็จะได้รับในชาตินี้ ภาษาบาลีก็เรียกว่าทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาติ ให้ผลที่เห็นๆ กันเลย ในครั้งพุทธกาลนี่มีมาก ทำบุญในวันนี้แล้วก็ได้เป็นเศรษฐีวันนี้ก็มี คือทิฏฐธัมมเวทีนียกรรม กรรมที่ให้ผลทันตาเห็น กรรมประเภทที่ ๒ เมื่อทำไปแล้วก็สามารถจะให้ผลในชาติหน้าเรียกว่าอุปปัชชเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ถัดจากชาตินี้ไป ไม่ใช่กรรมที่จะให้ผลในชาตินี้ แต่ว่าให้ชาติที่ ๒ จากชาตินี้ไปก็คือชาติหน้านั่นเอง
กรรมอีกประเภทหนึ่งที่จะให้ผลในชาติที่ ๓ คือไม่ใช่ชาตินี้ ไม่ใช่ชาติหน้า แต่ว่าเป็นชาติที่ ๓ ขึ้นไป ก็จะเป็นผลของกรรมอีกประเภทหนึ่งเรียกว่าอปราปริยเวทนียกรรม และก็กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผลในชาตินี้เลย ไม่มีโอกาสให้ผลในชาติหน้าหรือในชาติที่ ๓ ที่ ๔ ก็ยังไม่มีโอกาสให้ผล อย่างนี้เป็นอโหสิกรรม ซึ่งก็ไม่ได้ช่องไม่ได้ประสบโอกาสก็ไม่ให้ผล แต่กรรมประเภทที่ ๓ ที่ว่าอปราปริยเวทนียกรรม ก็จะให้ผลตั้งแต่ชาติที่ ๓ เป็นต้นไป ก็จะไม่มีกำหนดแต่ละกรรมนี้จะไม่มีกำหนดจนกว่าจะดับขันธปรินิพพาน ถึงจะไม่มีโอกาสที่จะให้ผล อันนี้ว่าโดยการจำแนกตามกาลเวลาที่ให้ผล เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าบางท่านที่ถึงแม้ว่าจะเป็นคนทำดีให้ทานเป็นประจำ แต่ไม่รวยสักทีก็แสดงว่ากรรมนั้นยังไม่มีโอกาสให้ผล แต่ชาติหน้าอาจจะได้รับผล หรือว่าชาติหน้าไม่ได้รับ ก็คงจะเป็นชาติต่อๆ ไป
เมื่อจำแนกตามหน้าที่ กรรมบางประเภทเป็นกรรมที่นำเกิดอย่างเดียว นำมาเกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิเกิดเป็นเทพ เกิดเป็นพรหม ก็แล้วแต่เหตุที่จะทำให้เกิดในภพชาตินั้นๆ เป็นภาษาบาลีเรียกว่า ชนกกมฺม หรือชนกกรรม เป็นกรรมที่นำเกิด และกรรมบางประเภทเป็นกรรมที่คอยบีบคั้น เบียดเบียนกรรมอื่นที่มีอยู่ไม่ให้ผลก็เรียกว่า อุปปีฬกกรรม เป็นกรรมที่คอยเบียดเบียน กรรมบางประเภทเป็นกรรมที่คอยตัดรอนแม้กรรมอื่นให้ผล เรียกว่า อุปเฉทกกรรม หรือว่าอุปฆาตกกรรม กรรมบางประเภทก็จะสนับสนุนส่งเสริมกรรมอื่นๆ เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม และในกรรมเหล่านั้นมีบางประเภทที่เป็นกรรมที่หนักกว่ากรรมอื่นๆ เรียกว่าครุกรรม "ครุ"หรือ"ครู" เป็นผู้ที่หนัก ผู้ที่ควรเคารพ ครุกรรมจึงเป็นกรรมที่หนัก เป็นกรรมที่จะให้ผลเป็นอันดับแรก เมื่อทำแล้วครุกรรมนี้จะให้ผลก่อนเพื่อน กรรมที่กระทำใกล้ที่จะตายก่อนที่จะจากไปเรียกว่าอาสันนกรรม กรรมที่ทำเวลาใกล้ตาย กรรมที่ทำเป็นประจำหรือว่าทำแล้วก็นึกถึงบ่อยๆ นี้เรียกว่าพหุลกรรม หรือว่าอาจิณณกรรม กรรมที่ไม่ใช่ครุกรรม ไม่ใช่พหุลกรรม ไม่ใช่อาสันนกรรมเรียกว่ากฏัตตากรรม เป็นกรรมที่ไม่ใช่ครุกรรม ไม่ใช่อาสันนกรรม ไม่ใช่พหุลกรรม ซึ่งก็จะมีความหมายครอบคลุมคือถ้าไม่ใช่ทั้ง ๓ อย่างแล้วก็เป็นกฏัตตากรรมทั้งหมด นี่คือประเภทแห่งกรรมที่อรรถกถาจารย์ท่านได้จำแนกไว้ ทำให้เราได้ทราบว่ามีกรรมมากมายที่จำแนกโดยทั้งลำดับการให้ผลกรรมตามหน้าที่ ตามเวลาที่ให้ผล ก็ทำให้เราได้ทราบว่าไม่มีเพียงกรรมเดียว
อ.กฤษณา ก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องชื่อของกรรม เพราะว่าถ้าฟังบ่อยๆ ก็จะค่อยๆ คุ้นไปเอง แต่ว่าก็ทำความเข้าใจในความหมายของชื่อนั้นไปก่อน ซึ่งกรรมเหล่านี้ถ้ามาดูในชวนวิถีจิตแล้ว ชวนวิถีจิตที่เกิดสืบต่อกัน ๗ ขณะ หรือ ๗ ดวงนั้น ชวนวิถีจิตขณะที่ ๑ ก็เป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรมคือเป็นกรรมที่จะให้ผลได้ในชาตินี้นั่นเอง ส่วนชวนวิถีจิตที่ ๗ เป็นอุปปัชชเวทนียกรรมเป็นกรรมที่จะให้ผลในชาติหน้าที่ต่อจากชาตินี้ ส่วนชวนะขณะที่ ๒ ถึง ๖ อีก ๕ ขณะนั้นจะให้ผลถัดจากชาติหน้าไปก็เป็นอปราปริยเวทนียกรรม ก็เป็นเรื่องละเอียดของความวิจิตรของกรรมนั่นเอง ที่จะเป็นกรรมที่ให้ผลตามกาลเวลาอย่างไร ซึ่งในเรื่องของกรรมที่ให้ผลในชาตินี้อาจารย์ประเชิญจะมีตัวอย่างในพระสุตตันปิฏก
อ.ประเชิญ ในครั้งพุทธกาลผู้ที่ทำกรรม และได้รับผลทันตาเห็น ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็คือนายปุณณะ เป็นคนขัดสนอยู่ในกรุงราชคฤห์ รับจ้างไถนากับเศรษฐีท่านหนึ่ง ท่านได้ทำบุญกับท่านพระสารีบุตรพร้อมทั้งภรรยาของท่าน ได้ใส่บาตรกับท่านพระสารีบุตรซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่ๆ ซึ่งผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติมา คนที่กระทำบุญกับท่านก็จะได้รับผลมากมาย แล้วก็ได้รับทันตาเห็นด้วย นายปุณณะที่เป็นคนขัดสนก็ได้รับจ้างไถนาให้กับสุมนเศรษฐี ซึ่งในวันที่กรุงราชคฤห์มีงานเล่นนักขัตฤกษ์ เศรษฐีก็ถามว่าวันนี้จะหยุดไหม เพราะว่าเขาไปเล่น ไปดูงานมหรสพกัน นายปุณณะบอกว่าเขาไม่มีข้าวจะกิน ขอไปไถนา เพราะว่าถ้าไปเที่ยวก็จะอด ในวันนั้นเขาไปไถนาแล้ว ก็เวลาไถนาภรรยาของเขาก็จะนำเอาอาหารไปส่งให้กับสามีที่รับจ้างไถนา ในวันนั้นท่านพระสารีบุตรท่านก็ไปโปรดนายปุณณะกับครอบครัว ทั้งภรรยาของนายปุณณะและนายปุณณะก็ได้ถวายภัตตาหารแก่ท่านพระสารีบุตร หลังจากที่ได้ถวายภัตตาหารกับท่านพระสารีบุตรและท่านก็ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายปุณณะก็เหน็ดเหนื่อยก็ได้นอนหลับตรงที่กลางนาตรงนั้น นอนหนุนตักภรรยานอนหลับไป พอตื่นขึ้นมานายปุณณะมองไปที่ขี้ไถที่ไถในช่วงเช้า สีเป็นสีทอง เขาก็สงสัยไปดู ก็เหมือนทอง จับขึ้นมาเคาะที่งอนไถก็แข็ง ไม่ใช่ดิน เขาก็คิดว่าผลของบุญที่เขาได้ทำในวันนี้ให้ผลแล้ว ภายหลังพระราชาก็ให้ขนทรัพย์สมบัติที่เป็นทองนี้ไป ก็เอาไปถามประชุมชนชาวเมืองว่าใครมีทรัพย์สมบัติมากเท่านี้บ้าง คือเอาไปกองไว้ในพระลานหลวง ขี้ไถที่ไถในช่วงเช้าที่เขาไถก็ไม่ใช่น้อยก็เป็นทองทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็เป็นทองคำที่กองใหญ่พอสมควร ชาวพระนครก็บอกว่าไม่มีใครมีทองมากมายเท่านี้ เพราะฉะนั้นนายปุณณะที่เป็นคนขัดสนก็มีทองมากมาย ก็ได้เป็นมหาเศรษฐี ภายหลังต่อมาเขาก็ได้ทำบุญทำทานก็ได้เป็นเศรษฐีในชาตินี้เลย ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือให้ผลทันตาเห็นภายในวันเดียวกันเลย อันนี้เป็นตัวอย่างของทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ซึ่งก็เป็นคนขัดสนรับจ้างไถนากลายเป็นเศรษฐีพริบตาเลย
ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์ประเชิญพูดถึงจิตที่จะนำเกิดในชาติต่อไป คือไม่จำเป็นต้องเป็นผลบุญของจากชาตินี้ จะเป็นผลบุญจากชาติก่อนๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นชาตินี้ทำดีแค่ไหน แต่ถ้ากรรมเก่าให้ผล ก็ไปอบายได้ใช่ไหม
อ.ประเชิญ ใช่ เพราะว่ากรรมที่เราทำไว้ในอดีตมากมาย ถ้ากรรมในชาตินี้ที่ทำไว้มากมายไม่มีโอกาสให้ผล กรรมที่เคยทำไว้ในอดีตก็ให้ผลได้ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะทำบุญไว้มากมาย แต่ก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลก็สามารถที่จะไปเกิดในอบายได้ หรือว่าผู้ที่ทำอกุศลกรรมไว้มากมายในชาตินี้ แต่ว่าใกล้ตายกรรมที่เป็นกรรมดีในอดีตมาให้ผลก็ไปเกิดในที่ดีได้เช่นเดียวกัน หรือว่าในชาตินี้ทำทุจริตกรรมมีการโกง มีการคอรัปชั่นมากมาย แต่กรรมในอดีตที่เป็นกรรมดียังส่งผลให้เขาอยู่ เขาก็เป็นคนรวย เป็นคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ได้เช่นกัน เพราะว่ากรรมที่ทำในชาตินี้ยังไม่มีโอกาสให้ผลนั่นเอง
ผู้ฟัง เรียนถามเรื่องอโหสิกรรมคือแสดงว่าถ้าตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ และตายไปแล้ว กรรมนั้นก็ยังไม่เป็นอโหสิกรรมเพราะยังมีคนต้องรับกรรมอยู่ใช่ไหม แต่จะให้ผลเมื่อใดก็ไม่รู้ทั้งกุศลและอกุศล
อ.สุภีร์ ได้ฟังคำว่าอโหสิกรรม ก็คือมีกรรมที่ให้ผลตามกาลก็คือ ๑ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมให้ผลในชาตินี้ ๒ อุปปัชชเวทนียกรรมให้ผลในภพต่อๆ ไป และอปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในภพต่อไปอีกจากชาติหน้า แล้วก็มีอโหสิกรรมก็คือกรรมที่ไม่มีโอกาสในการให้ผล นี้เมื่อว่าโดยการให้ผลทั้ง ๔ กรรมนี้ อโหสิกรรมอันนี้หมายถึงว่ากรรมที่ไม่มีโอกาสในการให้ผล แต่คำว่าอโหสิกรรมจริงๆ แล้วมีความหมายว่ากรรมที่ได้กระทำแล้ว คำว่า อโหสิก็คือได้มีแล้วหรือว่าได้ทำแล้วนั่นเอง เป็นกรรมเรียบร้อยแล้วสามารถที่จะให้ผลต่อไปในอนาคตได้ แต่เมื่อเรากล่าวในหัวข้อนี้ที่กล่าวถึงให้ผลในปัจจุบัน ให้ผลในภพต่อไป แล้วก็ให้ผลในภพถัดจากนั้นไปอีก แล้วก็มีคำว่าอโหสิกรรมด้วย คำว่าอโหสิกรรมในที่นี้หมายถึงกรรมที่ไม่มีโอกาสในการให้ผล แต่อโหสิกรรมก็คือกรรมในอดีตที่เคยทำไว้แล้วนี้ แบ่งละเอียดไปอีกได้ ๖ ประการด้วยกันก็คือ กรรมที่เคยทำไว้แล้ววิบากก็ได้รับไปแล้ว นี้อันที่ ๑ อย่างที่ ๒ กรรมที่ได้ทำไปแล้ววิบากก็ไม่มีแล้ว อย่างเช่นที่อาจารย์กฤษณาได้กล่าวว่าชวนะที่ ๑ ให้ผลในชาตินั้น สมมติว่าเคยทำกรรมหนึ่งในชาติถัดๆ ไปแล้ว กรรมนั้นที่ทำตรงนั้นไม่มีโอกาสให้ผล ก็คือกรรมได้ทำไปแล้ว และผลก็ไม่ได้ให้ไปแล้ว นี้เป็นประการที่ ๒ ประการที่ ๓ ก็คือกรรมได้ทำแล้ว และผลของกรรมมีอยู่ขณะนี้ในชาติปัจจุบันนี้ กรรมนี้เคยทำไว้แล้วในชาติก่อนๆ ผลของกรรมมีอยู่ในขณะนี้ อันนี้ก็เป็นอโหสิกรรมด้วย กรรมที่ได้ทำมาแล้ว ประการต่อไปก็คือกรรมได้ทำไว้แล้ว ผลของกรรมไม่มีอยู่ในชาตินี้ เพราะว่าไม่ให้ผลหรือว่าหมดโอกาสที่จะให้ผลในชาตินี้ หรือว่าบุคคลนั้นเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ นี้เป็นประการที่ ๔
ต่อไปอโหสิกรรมคือกรรมที่ได้มีแล้วจักให้ผลต่อไปในอนาคต นี้เป็นอโหสิกรรมประการที่ ๕ ประการที่ ๖ ก็คือกรรมมีแล้วแต่ว่าผลของกรรมจักไม่มีในอนาคต โดยละเอียดแล้วอโหสิกรรม หรือว่ากรรมที่ได้ทำไว้แล้วมี ๖ อย่างด้วยกัน เมื่อว่าโดยกรรมที่เรากระทำตามกาลนี้ก็คือในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนี้ ก็จะแบ่งรายละเอียดไปได้อีกมากมาย ถ้าเป็นอดีตก็จะมีอยู่ ๖ ประเภท ถ้าเป็นปัจจุบันก็จะมีอยู่ ๔ ประเภทคือ กรรมที่กำลังกระทำอยู่ชาตินี้ ผลของกรรมก็กำลังมีอยู่ด้วยนี้เป็นประเภทที่ ๑ ประเภทที่ ๒ ก็คือกรรมนี้ทำอยู่ในชาตินี้ ผลของกรรมไม่มีในชาตินี้ เพราะว่าไม่มีโอกาสในการให้ผล อย่างเช่นชวนะที่ ๑ เป็นต้น ถ้าไม่มีโอกาสให้ผลในชาตินี้ก็จะไม่ได้ให้ผลแล้ว ต่อไปกรรมที่ทำในชาตินี้ผลของกรรมจักมีในอนาคตนี้เป็นประการที่ ๓ และกรรมที่ทำในชาตินี้ ผลของกรรมจักไม่มีในอนาคตก็ได้ นี้เป็นกรรมที่ทำในชาตินี้ประการที่ ๔ ฉะนั้นกรรมที่เราทำในชาตินี้ก็มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน ถ้าว่าถึงกรรมที่ทำในกาลอนาคตก็จะมีอยู่ ๒ ประเภทก็คือกรรมที่ทำในอนาคตผลก็จักมีในอนาคตด้วยประการนี้ ๑ ประการที่ ๒ ก็คือกรรมที่จะทำในอนาคต ผลไม่มี เพราะว่าไม่มีโอกาสในการให้ผล ฉะนั้นเรื่องของกรรมก็เป็นเรื่องละเอียดปลีกย่อยมากมาย
อันนี้กำลังกล่าวถึงเรื่องอโหสิกรรม แต่ที่ทุกท่านได้ยินตอนที่อาจารย์ประเชิญได้กล่าวตอนแรกเรื่องอโหสิกรรม ที่มาในหัวข้อว่าด้วยเรื่องกรรมที่ให้ผลตามกาล ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมให้ผลในชาตินี้ อุปปัชชเวนียกรรมให้ผลในภพต่อไป และอปราปริยเวทนียกรรมที่ให้ผลในภพถัดๆ จากนั้นไป แล้วก็มีอโหสิกรรมด้วย ในเมื่อกรรม ๓ ตามที่กล่าวมานี้เป็นกาลในการให้ผลแล้ว ฉะนั้น อโหสิกรรมในที่นี้จึงหมายถึงกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วแต่ว่าไม่มีโอกาสในการให้ผล ก็คือ ๓ ประการ คืออันที่ ๑ กรรมได้ทำไว้แล้วผลของกรรมไม่ได้มีแล้วเป็นอโหสิกรรมไป อันที่ ๒ ก็คือกรรมนี้ได้ทำแล้ว ผลในปัจจุบันก็ไม่มีเพราะว่าไม่มีโอกาสในการให้ผล อันนี้ก็เป็นอโหสิกรรมเหมือนกัน กรรมที่ได้ทำแล้วผลของกรรมในอนาคตจักไม่มี เพราะว่าไม่มีโอกาสในการให้ผล อันนี้ก็เป็นอโหสิกรรมในที่นี้เหมือนกัน
ผู้ฟัง ตามที่กล่าวมาอาจจะเข้าใจผิดได้ว่ากรรมนั้นไม่มีการส่งผลเลย แต่ว่ากรรมแบ่งออกเป็น ๗ ช่วง ๗ ชวนะ อย่างนี้ถูกไหม แต่หมายความว่าดวงที่ ๑ ไม่มีโอกาสให้ผล ณ ตอนนี้ ดังนั้นดวงที่ ๑ หมดสิทธิ์ที่จะให้ผล แต่ยังเหลือดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๗ ที่จะให้ผล แต่ไม่ใช่ว่าเป็นอโหสิกรรม
อ.กฤษณา ที่จะเป็นอโหสิกรรมคือไม่มีโอกาสที่จะให้ผล ยกตัวอย่างว่าชวนะดวงที่ ๑ ที่จะต้องเป็นกรรมที่ให้ผลในชาตินี้ ถ้าไม่มีโอกาสให้ผลในชาตินี้ก็เป็นอโหสิกรรม ไม่มีโอกาสที่จะให้ผล ถ้าเป็นชวนะดวงที่ ๗ ก็จะให้ผลในชาติต่อไปต่อจากชาตินี้ ถ้าชาติต่อไปชวนะดวงที่ ๗ กรรมนั้นทำไว้แล้วไม่มีโอกาสให้ผลก็เป็นอโหสิกรรมไป แต่สำหรับชวนะดวงที่ ๒ ถึง ๖ จำนวน ๕ ดวงนี้ จะไม่มีโอกาสเป็นอโหสิกรรมเลย แต่จะตามไปให้ผลเมื่อใดๆ ก็ได้ กรรมที่ทำไว้แล้วในอดีตอนันตชาติจะให้ผลเมื่อถึงโอกาสที่สมควรที่เหมาะที่ควรที่จะให้ผลก็จะให้ผล เพราะฉะนั้นชวนะดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๖ ที่เป็นกรรม ก็ได้โอกาสเมื่อใดให้ผลเมื่อนั้น เหมือนกับสุนัขที่ไล่เนื้อไปจะไปกัดเนื้อ ถ้าทันเมื่อใดก็กัดทันทีเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นจะว่าทำกรรมแล้วก็ไม่ให้ผลยังมีชวนะดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๖ ไม่เป็นอโหสิกรรม
ผู้ฟัง ยกเว้นเป็นพระอรหันต์ใช่หรือไม่
อ. กฤษณา ใช่ ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานแล้วก็คือหมดแล้ว สำหรับเรื่องของกรรม มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ซึ่งก็เป็นกุศลเจตนาและอกุศลเจตนา เกิดกับใคร ก็เป็นของๆ คนนั้น ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถึงเรื่องของกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ที่มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นทายาทแห่งกรรม เป็นผู้ที่กระทำกรรมใดไว้ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับผลของกรรมนั้น แล้วก็เป็นผู้ที่มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้องเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้
อย่างที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้คือสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน ก็คือ กรรมนั้นก็เป็นสมบัติของแต่ละคน สมบัติที่เป็นประจำของคนๆ นั้น จะไปยกให้คนอื่นไม่ได้ จะไปแลกเปลี่ยนกับใครก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนเป็นเจ้าของสมบัติ คือเจ้าของกรรมที่ตนได้กระทำแล้วนั่นเอง แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย และในเมื่อกรรมเป็นสมบัติของแต่ละคน กรรมนั้นก็มีที่เก็บอย่างปลอดภัยที่สุด เป็นสมบัติที่มีที่เก็บไว้อย่างปลอดภัยที่สุด ไม่มีที่ใดที่จะเก็บสมบัติได้ปลอดภัยเท่ากับที่เก็บของกรรมเลย เพราะว่ากรรมทุกกรรมที่กระทำแล้ว เก็บสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะนั่นเอง
สมบัติอื่นทั้งหลายถึงจะมีที่เก็บที่เราคิดว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตามแต่ว่าโจรก็สามารถที่จะลักไปได้ หรือว่าไฟไหม้ก็เสื่อมสิ้นไปได้ จะเกิดอุทกภัยน้ำท่วมอย่างไรก็สามารถที่จะสูญหายไปได้ แต่ว่ากรรมที่แต่ละคนทำแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วนั้นเก็บไว้อย่างปลอดภัยในการสะสมของจิตทุกๆ ขณะนั่นเอง และการที่เป็นผู้รับผลของกรรมก็คือเป็นทายาทของกรรมนั่นเอง ผู้ที่เป็นทายาท หมายความว่าจะเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้รับมรดกคือได้รับวิบากนั่นเอง และสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ที่มีกรรมเป็นกำเนิด ก็คือเป็นเหตุให้เกิดในภูมิต่างๆ จะเป็นสุคติภูมิหรือทุคติภูมิก็ตามก็แล้วแต่เหตุคือกรรมที่กระทำ และสัตว์ทั้งหลายนั้นก็มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์เป็นพวกพ้อง เพราะว่ากรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของสัตว์เหล่านั้น คือหมายความว่ามีกรรมเหมือนกับเป็นญาตินั่นเอง คือเป็นผู้ที่สนิทชิดเชื้อใกล้ชิด เมื่อถึงโอกาสของกุศลกรรมให้ผลกุศลกรรมก็ย่อมให้ผล เมื่อถึงโอกาสของอกุศลกรรมให้ผลอกุศลกรรมก็ให้ผล และสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยก็คือเป็นที่ตั้งของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง
การที่เราเป็นอยู่ได้ก็เพราะอาศัยกรรมเลี้ยงไว้ เพราะฉะนั้นกรรม กุศลกรรมก็เป็นที่พึ่งที่อาศัยที่ดี ถ้าเผื่อว่าทำอกุศลกรรม อกุศลกรรมก็เป็นที่พึ่งที่อาศัยที่ไม่ดี เพราะว่าทำให้เดือดร้อน นี่ก็เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่ามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยนั่นเอง และนอกจากนั้น กระทำกรรมใดไว้ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตามก็ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้นนี้ก็แน่นอน เพราะว่าย่อมจะต้องมีวิบากเกิดขึ้นเมื่อกระทำกรรมแล้ว และกรรมนั้นก็ย่อมจำแนกสัตว์ให้เลว และประณีตได้ ซึ่งในจูฬกัมมวิภังคสูตรในมัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์ สุภมาณพโตเทยยบุตรได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่นี้ ปรากฏความเลว และความประณีต คือมนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏมีอายุสั้น หรือว่ามีอายุยืน มีโรคมาก หรือมีโรคน้อย มีผิวพรรณทราม หรือว่ามีผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย หรือมีศักดามาก มีโภคคะน้อย หรือมีโภคะมาก หรือว่าเกิดในสกุลต่ำ หรือสกุลสูง หรือว่าจะมีปัญญา ไร้ปัญญาก็ตาม อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ที่เกิดอยู่แล้วได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสตอบว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ ส่วนรายละเอียดจะมีรายละเอียดที่ยาวมาก
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 061
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 067
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 075
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 076
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 077
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 078
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 079
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 080
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 081
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 082
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 083
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 084
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 085
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 086
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 087
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 088
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 089
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 090
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 091
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 092
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 093
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 094
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 095
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 096
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 097
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 098
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 099
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 100
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 101
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 102
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 103
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 104
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 105***
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 106
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 107
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 108
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 109
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 110
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 111
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 112
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 113
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 114
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 115
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 116
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 117
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 118
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 119
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 120
