สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๗๓
วันจันทร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๕
อ.อรรณพ ความลังเลสงสัย บางคนคิดว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม พระธรรม พระสงฆ์มีจริงไหม คำสอนที่พระองค์ทรงแสดงเป็นเครื่องนำออกมีประโยชน์จริงอย่างนั้นไหม ภพชาติมีจริงไหม หรือว่าความสงสัยในสภาพธรรมต่างๆ เกิดขึ้นอันนี้มีแน่เป็นสภาพธรรมแล้วก็เป็นเจตสิกธรรม เพราะฉะนั้นความลังเลสงสัยหรือวิจิกิจฉาเจตสิกก็เป็นเจตสิกอีกอย่างหนึ่ง ความลังเลนั้นจะเกิดขึ้นก็ต้องมีอนุสัยกิเลสคือวิจิกิจฉานุสัยซึ่งจะเป็นพืชเชื้อให้เกิดความลังเลสงสัยเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวั่นไหว การศึกษาธรรมตราบใดยังไม่เป็นพระโสดาบันหรือยังไม่เป็นผู้ที่เข้าใจธรรมอย่างมั่นคงความลังเลสงสัยเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อความลังเลสงสัยเกิดขึ้นดับไป ก็ควรเป็นปัจจัยกับปัญญาที่จะพิจารณาว่าแม้ความลังเลสงสัยนั้นก็เป็นสภาพธรรม แม้สติปัฏฐานจะไม่เกิดรู้ในลักษณะของความลังเลสงสัยนั้นโดยตรง แต่ว่าแม้ปัญญาขั้นคิดพิจารณาอย่างถูกต้องก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะมีพืชเชื้อคือวิจิกิจฉานุสัยเป็นประการที่ ๕
ประการที่ ๖ ทุกคนต้องมี พระอนาคามีท่านยังมีเลย คือความสำคัญตน เรานี่เป็นคนสำคัญไหมก่อนหน้าที่จะศึกษาธรรม ก็มีความสำคัญตนว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอกับเขา หรือเราด้อยกับเขา ในลักษณะต่างๆ ซึ่งจะเห็นชัดๆ อยู่ เมื่อศึกษาธรรมก็ยังมีความรู้สึกว่าเรารู้เขาไม่รู้ แล้วก็มีละเอียดอีกมากมาย ซึ่งความสำคัญตนก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเรียกว่ามานะ มานะเป็นจิตหรือเป็นเจตสิก ก็เป็นมานะเจตสิกซึ่งเกิดประกอบกับจิตได้ก็ปรุงแต่งให้จิตนั้นมีความสำคัญตนเกิดร่วมด้วย แต่ไม่ใช่ว่ามานะก็จะเกิดขึ้นลอยๆ ก็จะต้องมีพืชเชื้อของมานะ ก็คือมานานุสัยประการที่ ๖
และประการสุดท้าย ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับความไม่รู้ได้ก็ยังต้องอยู่ในสังสารวัฎต่อไป ผู้ที่จะไม่เกิดอีกเลยก็ด้วยปัญญาดับความไม่รู้คืออวิชชาได้ อวิชาคือโมหะหรือความไม่รู้เกิดประกอบกับอกุศลจิตทุกดวงหรือทุกชนิดเลย ซึ่งความไม่รู้จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่ามีพืชเชื้อของอวิชชาก็คืออวิชชานุสัย ที่กล่าวมาก็เป็นอนุสัยทั้ง ๗ อย่าง
ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณสุภีร์สรุปอนุสัย ๗ โดยชื่ออีกครั้งหนึ่ง จะได้จำได้
อ.สุภีร์ จะกล่าวอนุสัย ๗ เรียงตามลำดับมรรคที่ละอนุสัยได้ ทิฏฐานุสัยกับวิจิกิจฉานุสัย ละได้ด้วยโสตาปัตติมรรค ฉะนั้นอนุสัยประการที่ ๑ ก็คือทิฏฐานุสัย ประการที่ ๒ ก็คือวิจิกิจฉานุสัย ๒ อย่างนี้ละได้ด้วยโสตาปัตติมรรค ต่อไปอนุสัยลำดับที่ ๓ และที่ ๔ ที่ละได้ด้วยอนาคามีมรรค ก็คือละไม่เหลือเลยด้วยอนาคามีมรรค ขั้นหยาบก็ละได้ด้วยสกทาคามีมรรคมาแล้ว แต่ว่าขั้นละเอียดที่จะไม่เหลือเลยก็ละได้ด้วยอนาคามีมรรคก็คือปฏิฆานุสัย และกามราคานุสัย นี้ได้ ๔ แล้ว ต่อไปเป็นอนุสัยอีก ๓ ประการที่ละได้ด้วยอรหัตมรรคก็คือประการที่ ๕ คือมานานุสัย ประการที่ ๖ ภวราคานุสัย และประการที่ ๗ คืออวิชชานุสัย นี้ก็กล่าวอนุสัย ๗ ชื่อตามลำดับมรรคที่ละอนุสัยได้
ท่านอาจารย์ ยากไหมการที่จะละกิเลส เพราะเหตุว่าไม่ใช่เพียงฟัง ถ้าฟังเราก็จำเป็นเรื่องราวพอถึงชาติต่อไปเราก็ลืมเพราะว่าเป็นเรื่อง แต่ว่าตามความจริงคือขณะนี้เป็นสภาพธรรมทั้งหมดตัวจริงๆ แต่ว่าเราไม่เคยรู้จักเลย แล้วเวลาที่เราเรียนเรื่องชื่อเราก็อาจจะแยกประจำเรื่องชื่อแต่ไม่ทราบเลยว่าทั้งหมดที่กล่าวนี้มีอยู่ที่ตัว อนุสัย ๗ ใครไม่มีอันไหนบ้าง ครบ ๗ ถ้าไม่ใช่พระโสดาบัน เพราะฉะนั้นการที่จะเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะดับอนุสัยกิเลสได้ไม่มีการเกิดของกิเลสประเภทนั้นๆ อีกเลยก็เป็นเรื่องของการที่จะค่อยๆ อบรม ค่อยๆ เข้าใจจากขั้นการฟังซึ่งเป็นปริยัติซึ่งจะนำไปสู่ปฏิปัตติและปฏิเวธ เพราะเหตุว่าพระศาสนามี ๓ ระดับ
ขั้นแรก คือ ปริยัติศาสนาคำสอนเรื่องราวของสภาพธรรมให้มีความเข้าใจก่อนเพราะเหตุว่าเพียงขั้นฟัง และสภาพธรรมขณะนี้ก็เกิดดับ อย่างจิตเจตสิกขณะนี้ก็เกิดดับ กำลังเห็นก็เกิดและก็ดับ จิตคิดก็เกิดดับ ทุกอย่างเกิดดับ กว่าจะเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมก็ต้องอาศัยกาลเวลา และกว่าจะสามารถประจักษ์การเกิดและดับซึ่งเป็นทุกขอริยสัจจะ ทุกขอริยสัจจะไม่ใช่อื่นแต่เป็นการเกิดดับของสภาพธรรม ทุกข์จริงๆ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่คงทน จะยับยั้งไม่ให้ดับไม่ได้ ขณะนี้สภาพธรรมปรากฏแสดงว่าเกิดแล้วแน่นอนใช่ไหม และผู้ที่ประจักษ์การดับก็คือเมื่อสภาพธรรมนี่เกิดแล้วดับแล้ว นี่คือการฟัง และถ้าศึกษาเรื่องของจิตเจตสิกโดยละเอียดขึ้นก็จะเห็นได้ว่า จิตต่างกันเป็นลักษณะต่างๆ โดยปัจจัยต่างๆ ตามประเภทของเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย
เพราะฉะนั้นจะเป็นจิตหนึ่งซึ่งไม่ดับไม่ได้ ต้องเป็นจิตชนิดหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดเป็นชนิดนั้นแล้วก็ดับ และเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นแล้วแต่ว่ามีเหตุปัจจัยอะไรที่จะทำให้จิตขณะนั้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าปัญญาที่สามารถที่จะดับความสงสัยในสภาพธรรม ซึ่งขณะนี้คงมีคนสงสัยใช่ไหม หรือหมดความสงสัยแล้วว่าขณะนี้สภาพธรรมที่เกิดจริงๆ แล้วก็ดับจริงๆ ถ้าเป็นผู้ตรงก็คือว่าถ้ายังไม่ถึงระดับของปัญญาที่ประจักษ์การเกิดดับต้องสงสัย เพราะฉะนั้นวิจิกิจฉานุสัยก็เป็นอนุสัยที่มีอยู่ในจิตใจแล้วก็จะดับหมดได้ หมดความสงสัยเมื่อปัญญาสมบูรณ์ถึงระดับขั้นที่สามารถจะประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริงตามลำดับซึ่งจะดับได้ด้วยโสตาปัตติมรรค ซึ่งเมื่อดับไปแล้วโสตาปัตติผลจิตก็เกิดสืบต่อเป็นพระโสดาบันบุคคล ไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะบางคนพูดเหมือนกับพระโสดาบันเป็นพระอรหันต์เพราะเหตุว่าเมื่อใครว่าอะไรก็บอกว่าตนเองไม่ใช่พระโสดาบัน แต่ความจริงถ้ากล่าวอย่างนั้นเหมือนกับว่าถ้าไม่มีกิเลสเลยจะเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ถ้าไม่มีเลย แต่พระโสดาบันก็ดับวิจิกิจฉานุสัยความสงสัย ความไม่รู้ในสภาพธรรม และความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคล ถ้าท่านผู้ฟังมีคำถามขอเชิญ
ผู้ฟัง หมายความว่าตราบใดที่เรายังไม่มีปัญญาในองค์มรรคเราก็จะไม่เห็นอนุสัยกิเลสเราใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วเราไม่สามารถที่จะเห็นอนุสัยกิเลสได้แต่รู้ว่ามี แต่ขณะใดก็ตามที่ปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาสามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง แล้วจะลึกลงไปถึงอนุสัยไหม
ท่านอาจารย์ ดับอนุสัยได้ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเพราะเหตุว่าขณะนี้มีเห็น มีจักขุประสาทและมีสิ่งที่ปรากฏ ปัญญาจะค่อยๆ รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งต่างกันก่อน ไม่พบอนุสัยใช่ไหม เพราะว่าอนุสัยไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ปรากฏสิ่งนั้นสามารถจะรู้ความจริงได้ และสิ่งที่ปรากฏๆ สั้นมาก ขณะนี้ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลสติเกิดเมื่อใดสติมีหน้าที่ระลึก สติไม่ใช่สมาธิ แต่สมาธิเป็นสภาพที่ตั้งมั่น เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่ทำสมาธิ และก็ไม่ใช่มีความเป็นเราที่ต้องการจะให้สติระลึกที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด แต่ว่าสติเป็นสภาพที่เกิดเมื่อไหร่ก็ระลึก ถ้าเป็นระดับของสติปัฎฐานที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ระลึกลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะว่าดับเร็วมาก เกิดแล้วดับไปเลย ก็ไม่ต้องห่วงมีสภาพธรรมตลอดชีวิตตลอดวันที่จะทำให้เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกและรู้ได้ แต่ไม่ต้องไประลึกสิ่งที่ไม่ปรากฏหรือพยายามไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏเพราะนั่นไม่สามารถจะรู้ได้
ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นก็มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ถึงอนุสัยได้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง สามารถที่จะรู้ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลที่สะสมมา ขอเชิญคุณสุภีร์
อ.สุภีร์ อนุสัยสำหรับบุคคลทั่วไปไม่สามารถที่จะเห็นลักษณะของอนุสัยได้เพราะว่าอนุสัยเป็นกิเลสที่ละเอียดนอนเนื่องอยู่ในจิต และไม่ใช่กิเลสที่เกิดขึ้นที่จะทำให้เห็นลักษณะ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ และรู้ด้วยญาณของพระองค์ซึ่งไม่สาธารณะแก่พระสาวกทั่วไป พระญาณที่ทำให้พระองค์รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายสั่งสมอัธยาศัยหรือว่ามีอนุสัยอยู่เรียกญาณนั้นว่า "อาสยานุสยญาณ" เป็นพระญาณที่เป็นอสาธารณะญาณ คือพระญาณที่ไม่สาธารณะแก่พระสาวกทั่วไป อาสยานุสยญาณก็คือพระญาณที่รู้อัธยาศัยและอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย แต่สำหรับเราทั่วไปก็สามารถอนุมานได้ว่ามีอนุสัยอยู่เพราะว่ามีกิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่การงาน กิเลสเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่ามีพืชเชื้อของกิเลสเหล่านั้นอยู่ก็คืออนุสัยกิเลสนั่นเอง
ท่านอาจารย์ มีคำถามว่าถ้าทางมโนทวารไม่ได้เกิดขึ้นแล้วก็รู้บัญญัติเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกาย จะมีกามราคานุสัยไหม ถ้าไม่ใช่พระอนาคามีบุคคลจิตทุกขณะที่เกิดต้องมีกามราคานุสัย เพราะอะไร นอนหลับตื่นขึ้นก็ติดแล้ว พอลืมตาขึ้นมาก็ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องถึงทางมโนทวารหมายความว่าจิตทุกดวงไม่เว้นเลย ถ้าไม่ใช้โลกุตรจิตต้องมีอนุสัย และสำหรับกามราคานุสัยดับโดยพระอนาคามีบุคคล พระโสดาบันยังดับไม่ได้ ถ้าอ่านเรื่องในพระไตรปิฏกคงจะได้ยินชื่อของวิสาขามิคารมารดา ท่านเป็นเอตทัคต่างฝ่ายทาน และท่านก็เป็นผู้ที่มีครอบครัวใหญ่ มีบุตรหลานมาก เครื่องประดับของท่านก็อลังการเป็นเลิศแต่ท่านก็เป็นพระโสดาบันบุคคลตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ปัญญาไม่มีใครสามารถที่จะคาดเนได้เลยว่าจะเกิดเมื่อไร จะสมบูรณ์ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไหร่
ท่านพระสารีบุตรบำเพ็ญบารมีที่จะเป็นอัครสาวก ๑ อสงไขยแสนกัป ไม่ใช่วัน ไม่ใช่ชาติ แต่เป็นกัปไม่ใช่ ๑๐๐ไม่ใช่ ๑๐๐๐ หนึ่งอสงไขยแสนกัปแล้วเป็นพระโสดาบันในชาติสุดท้ายที่ท่านจะเป็นพระอรหันต์ที่เป็นอัครสาวก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการอบรมเจริญปัญญาเป็นการอบรมเจริญความรู้เพื่อละความไม่รู้ โดยเฉพาะคือละโลภะหรือตัณหาซึ่งเป็นสมุทัยให้เกิดสังสารวัฎ ถ้ายังไม่เห็นโลภะไม่เห็นกิเลสตัณหาความต้องการความติดข้องเลยจะออกจากสังสารวัฎได้อย่างไร เพราะว่าวันหนึ่งๆ ถ้ามีความเห็นผิดก็จะมีการทำทุกอย่างด้วยความเห็นผิดเพราะเข้าใจว่าหนทางนั้นถูกที่จะทำให้สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
ข้อความในพระไตรปิฏกแสดงว่า อริยสัจทั้ง ๔ ลึกซึ้ง ไม่ใช่อย่างเดียวคือนิพพาน หรือนิโรธสัจจะเท่านั้นที่ลึกซึ้ง แต่ทั้ง ๔ ลึกซึ้ง เพราะว่าเป็นการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้จากการฟังซึ่งเป็นปริยัติศาสนาเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติคือการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละอย่าง ด้วยสติสัมปชัญญะจนกว่าจะถึงปฏิเวธคือการรู้แจ้งสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ทุกคนควรที่จะได้ศึกษาธรรมด้วยความเบาสบาย ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะว่าชาตินี้จะได้ไหมเป็นพระโสดาบันเพียงฟังมาไม่กี่ชั่วโมง ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยเพราะว่าเป็นเรื่องตรงต่อลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ข้อต่อไปขอให้กรุณาเรียงลำดับอนุสัยอีกครั้งหนึ่ง ตามที่ท่านผู้ฟังเรียงมาก็ครบ ๗ แต่ว่าไม่ได้ตามลำดับก็ไม่เป็นไร เรื่องของการเข้าใจธรรมจะเรียงก็ได้ไม่เรียงก็ได้ จะเรียงโดยอีกนัยหนึ่งก็ได้ คือเรียงโดยที่ว่ามีเจตสิกที่เป็นอกุศลประเภทใดเกิดกับโลภะมูลจิต เกิดกับโทสะมูลจิต เกิดกับโมหมูลจิต ขอลำดับตามโลภะมูลจิต กามราคานุสัย ภวราคานุสัย ทิฏฐานุสัย มานานุสัย ๔ แล้ว ที่เกิดกับโทสะ คือ ปฏิฆานุสัย ๑ เป็น ๕ ที่เกิดกับโมหะมูลจิต ๑ คือ วิจิกิจฉานุสัย ที่เกิดกับทุกดวงคือ อวิชชานุสัย
ผู้ฟัง อาจารย์อรรณพกล่าวว่าการที่จะเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง หมายความว่าสงสัยวิจิกิจฉาสงสัยเรื่องพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า ขอเรียนถามว่าการที่จะพอเชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงจะเป็นในระดับที่สติปัฐานที่เกิดขึ้นบ้างแล้ว อย่างนี้จะพอเชื่อได้ไหมว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
อ.อรรณพ การที่จะเชื่อว่าพระผู้มีพระภาคมีจริงต้องด้วยปัญญา ปัญญาก็หลายขั้น แน่นอนถ้าเป็นพระโสดาบันมีความเห็นที่ถูกต้องไม่มีทางที่จะมีความเห็นผิดเลยเพราะดับทิฏฐานุสัย ดับวิจิกิจฉานุสัยได้แล้ว ไม่มีความเห็นผิดไม่มีความลังเลอะไรเลย สำหรับผู้ที่เป็นผู้ฟังเริ่มฟังสติปัฎฐานเกิด วิปัสสนาญาณเกิดนั้นก็ยิ่งมีความมั่นคงขึ้นโดยลำดับ แต่ถ้าเรายังไม่ต้องพูดถึงขั้นนั้นปัญญาที่เข้าใจในความจริงตั้งแต่เริ่มต้นว่าทุกอย่างเป็นธรรม แล้วสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงทั้งหมดก็คือสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ แม้ว่าสติปัฐานยังไม่เกิดแต่เป็นจริงไหมเหตุผลมี สิ่งที่ปรากฏทางตามีใครปฏิเสธได้ว่าไม่มี มีแน่นอน เสียงก็มีเป็นธรรม กลิ่น รส เย็นร้อนอ่อนแข็งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเป็นรูปที่พอที่จะเห็นได้ว่ามีจริงแม้สติจะไม่เกิดรู้ในลักษณะนั้นโดยตรง สภาพของความรู้สึกสุขทุกข์เราก็รู้ว่ามี เจ็บก็มีสภาพธรรมทั้งหมดเลยที่ทรงแสดง เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดไม่ว่าจะโดยนัยต่างๆ ใช้ภาษาบาลีหรือว่าภาษาใดภาษาหนึ่งก็ตาม แสดงถึงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ในขณะนี้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นสัจธรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นปัญญาที่เข้าใจในความเป็นจริงตรงนี้ก็เป็นสัจจญาณก็เพิ่มอีกคำ ญาณก็คือปัญญา สัจจะความจริง ปัญญาที่เข้าใจในสิ่งที่เป็นจริง
ตั้งแต่เราเกิดมาถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรมเราก็มีความคิดความจำตรึกไปในเรื่องต่างๆ ในศาสตร์ทางโลกที่เราเรียนกันมามากมาย แต่พระพุทธศาสนาแสดงสิ่งที่เป็นจริงเป็นสัจธรรมจริงๆ ก็คือสภาพธรรมซึ่งมีลักษณะมีสภาพเฉพาะของแต่ละลักษณะไป สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสภาพหนึ่ง เสียงที่ปรากฏทางหูก็เป็นสภาพหนึ่ง ความรู้สึกสุขทุกข์ ความโกรธ แล้วก็สภาพธรรมมากมายมีจริงแท้แน่นอนพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงเรื่องอื่นได้เลย เป็นเรื่องที่จะให้รู้จักตนเองตามความเป็นจริง รู้จักตัวเองจริงๆ ก็คือทุกอย่างเป็นสภาพธรรม ไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป ปัญญาขั้นต้นตรงนี้เป็นความเข้าใจในความเป็นจริงหรือเป็นสัจจญาณซึ่งก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น อย่างน้อยๆ เมื่อฟังเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นที่เราฟังหรือว่าคำสอนอื่นๆ เราก็จะรู้ว่ามีความต่างกัน เพราะความมั่นคงในพระพุทธศาสนาก็ย่อมมี แล้วก็สิ่งต่างๆ ที่ทรงแสดงจะต้องมีผู้ที่แสดงคือสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะรู้ และแสดงสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงพระนิพพานซึ่งเป็นสภาวะละเอียด แม้สภาพธรรมที่ปรากฏอยู่นี้ที่ท่านแสดงว่าเป็นทุกขสัจความจริงอย่างหนึ่งก็คือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นสภาพธรรม ก็ยังจำว่าเป็นสัตว์บุคคล เป็นเรื่องราวเป็นตัวตนต่างๆ เพราะฉะนั้นความเข้าใจตรงนี้ก็มั่นคงขึ้นทีละนิดทีละหน่อยที่จะมั่นใจและเชื่อได้ ไม่ใช่ว่าเพียงแต่ว่าบอกให้เชื่อพระพุทธเจ้ามีจริงก็ต้องเชื่อไม่ใช่ แต่ผู้ที่เข้าใจในคำสั่งสอนในความเป็นเหตุเป็นผลที่ทรงแสดงเรื่องลักษณะของสภาพธรรม การรู้ความจริงๆ ก็คือรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมคือเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรัสรู้และทรงแสดงก็ต้องมี
ผู้ฟัง จิตรู้อารมณ์ จิตนี้เรารู้แต่รูปเสียงซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น แต่จิตเห็นจะไปรู้ในทางปรุงแต่ง ไปรู้บัญญัติไม่รู้ปรมัตถ์ ขออาจารย์ขยายความตรงนี้ให้ด้วย
อ.สุภีร์ จิตรู้อารมณ์ๆ ที่ปรากฏกับทุกๆ คนก็คือรูปนั่นเองที่ปรากฏในชีวิตประจำวันมีรูปอยู่ ๗ รูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน จึงเรียกชื่อรูปเหล่านั้นว่า "โคจรรูป" หรือว่า "วิสยรูป" ก็คือรูปที่เป็นอารมณ์ตามปกติในชีวิตประจำวันมีอยู่ ๗ รูปด้วยกัน คือ รูปเสียงกลิ่นรสนี้ ๔ รูป แล้วที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นแล้วก็ทางกายอีก ๓ รูป ก็คือธาตุดิน ธาตุไฟ และธาตุลม อันนี้เป็นรูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน
หลังจากที่รูปเหล่านี้ปรากฏในชีวิตประจำวันแล้วปกติก็จะคิดในเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏเหล่านี้นั่นเอง ก็คือเมื่อเห็นแล้วเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คิดนึกเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตานั่นเอง เวลาได้ยินเสียงทางหูก็คิดนึกเรื่องเสียงที่ได้ยินทางหูนั่นเอง ฉะนั้น ก็เป็นปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันที่บอกว่าจิตมีลักษณะรู้อารมณ์แต่ว่าเหมือนกับว่าคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะเหตุว่าอารมณ์อื่นๆ ไม่ได้ปรากฏในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น อารมณ์ของภวังคจิตอย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้ปรากฏในชีวิตประจำวัน
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 061
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 062
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 063
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 064
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 066*
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 067
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 068
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 069
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 070
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 072
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 073
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 074
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 075
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 076
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 077
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 078
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 079
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 080
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 081
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 082
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 083
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 084
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 085
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 086
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 087
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 088
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 089
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 090
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 091
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 092
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 093
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 094
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 095
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 096
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 097
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 098
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 099
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 100
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 101
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 102
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 103
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 104
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 105***
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 106
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 107
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 108
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 109
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 110
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 111
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 112
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 113
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 114
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 115
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 116
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 117
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 118
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 119
- สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 120
