พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 774


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๗๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ปัญหาของชาติมีมาก เพราะอกุศลมาก

    ผู้ฟัง จะแก้อย่างไร ถ้าแป็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ กุศลมาก ปัญหาก็ค่อยๆ ลดลง

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น คนก็ต้องฟังธรรมให้มากขึ้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีคำสอนไว้เพื่ออะไร พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้ตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเชื้อชาติอะไร หรือความคิดเห็นต่างอย่างไร กุศลจิตเป็นกุศลจิต อกุลเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น อกุศลเกิดเมื่อไหร่ ก็เป็นปัญหา ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใครเกิดปัญหาให้รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล

    อ.ธิดารัตน์ ตราบใดที่ยังมีอกุศลอยู่ อกุศลก็จะทำให้เป็นปัญหาทุกอย่าง เมื่อไม่ได้ตามที่โลภะที่ต้องการ ก็เป็นโทสะ ก็คือความไม่พอใจ แล้วถ้าเกิดความไม่พอใจมากๆ ก็อาจจะทำให้คิดฆ่าตัวตายได้ คนที่จะถึงกับต้องฆ่าตัวเอง คือทนอยู่ไม่ได้ในโลกนี้ ไม่ว่าจะการไม่พอใจจากทุกข์ทางกายหรือ ทุกข์ที่เป็นไปเพราะสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ทำให้อกุศลธรรมเกิด นอกจากทุกข์กายแล้ว มีโทสะซึ่งทุกข์ใจ แล้วก็มีปริมาณมากๆ หรือว่าความเป็นตัวเราที่ยึดถือในสัตว์ บุคคล ตัวตน แม้กระทั่งตัวเอง และไม่ได้เข้าใจว่าเป็นเพียงการรับผลของกรรม ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทุกข์ทางกายเป็นการรับผลของกรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็จะโทษคนอื่นว่า เราได้รับทุกข์เพราะคนอื่น หรือมีใครมาทำให้เราทุกข์ จนกระทั่งทนไม่ได้ ก็ถึงขั้นที่ว่าคิดจะตาย แต่คิดไหมว่า การตายแล้วทุกข์เหล่านั้นจะหมดไปหรือ ไปเกิดใหม่ก็ต้องไปได้รับทุกข์อย่างนี้อีก ถ้าเป็นบุคคลที่เข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรม คงจะไม่หลีกหนีทุกข์ ด้วยการฆ่าตัวตายเพราะว่ามันไม่หมด แต่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะรักษาจิตของแต่ละท่าน ถึงแม้ได้รับทุกข์กายแต่ทุกข์ใจก็จะน้อยลง

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการศึกษาธรรม ก็จะคุ้มครองจิตผู้นั้นไม่ให้ได้รับทุกข์มาก ในขณะที่เข้าใจธรรม เพราะว่าขณะที่เข้าใจก็จะเป็นกุศลธรรม กุศลจิตก็จะคุ้มครองจิตให้พ้นจากอกุศล ปัญหาทั้งหลายในขณะที่กุศลจิตเกิด ปัญหาทั้งหลายไม่มี แต่เราไม่ได้มีกุศลเกิดตลอด มีอกุศลที่เกิดสลับในชีวิตประจำวันมากมาย เพราะฉะนั้น ปัญหาต่างๆ ก็จะมาจากกิเลสทั้งหลายนั่นเอง

    อ.กุลวิไล ท่านผู้ถามอาจจะแปลกใจว่า จะช่วยผู้นั้นได้อย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเขาไม่เข้าใจธรรมก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะว่าทุกข์ใจเกิดจากกิเลส

    ท่านอาจารย์ คนหนึ่งโกรธแล้ว บอกไม่ให้โกรธได้ไหม โกรธแล้วจะไปทำอย่างไรได้ จะไปแนะนำอย่างไร เชื่อหรือเปล่า ทุกคนได้รับคำแนะนำจากพระธรรมทั้งนั้น อกุศลทั้งหมดไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโลภะโทสะโมหะ ฟังเท่าไหร่ก็ยังโกรธ แล้วจะไปห้ามอะไรใครได้ นอกจากความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    การที่ชีวิตของแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงไป จะเป็นอย่างไรก็ตามการสะสม ไม่ใช่ว่ามีคนหนึ่งคนใดที่จะไปบันดาลได้ มีครอบครัวหนึ่ง ก็มีบุตรชายที่คิดจะฆ่าตัวตาย พ่อแม่ก็พยายามทุกทางให้ไปพบคนนั้น คนนี้ พูดถึงเรื่องธรรม อย่างนั้น อย่างนี้ แล้ววันหนึ่งเขาก็ฆ่าตัวตายจริงๆ

    อ.กุลวิไล เห็นถึงการสะสม เพราะท่านก็แสดงถึงอรรถของจิตประการหนึ่ง ก็คือสั่งสมสันดานด้วยสามารถแห่งชวนะวิถี เขาก็ต้องสะสมอัธยาศัยในการที่จะฆ่าตัวตาย

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด มิตรดี ผู้หวังดี รู้ว่าทุกคนต้องตาย แต่ก่อนตายควรจะเป็นกุศล แล้วถ้ายิ่งมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ก็ยิ่งมีสิ่งซึ่งได้ประโยชน์จริงๆ จากการเกิดมาที่แผ่นดินนี้ โลกนี้ ชาตินี้ ก็คือได้เข้าใจพระธรรม นอกจากนั้น ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสาระ เพราะว่าทุกอย่างก็หมดไป ไม่เหลือผ่านไปหมด ตั้งแต่เด็กมีอะไรเหลือ แม้แต่ทรัพย์สินเงินทองต่างๆ ที่เข้าใจว่ามี ก็สามารถที่จะอันตรธานไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อไหร่ก็ได้ ข้อสำคัญที่สุดคือ แม้แต่กายที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นแต่เพียงที่อาศัยเกิดของจิต ซึ่งมีกรรมเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเมื่อมีจิตที่จะเกิดที่รูปหนึ่งรูปใด กรรมก็ทำให้วิบากจิต และเจตสิก และรูปนั้น อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นเป็นไป นี่ก็คือวันหนึ่งวันหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าจะพูด จะทำ จะคิดใดๆ ทั้งหมดก็ตาม ก็คือว่า ถ้าไม่มีจิต กายนี้จะทำอะไรไม่ได้เลย กายไม่ใช่สภาพรู้ในขณะที่ไม่มีจิตฉันใด แม้ขณะที่มีจิต กายก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

    เพราะฉะนั้น ให้รู้ความจริงว่า เกิดมา กิน นอน ทำ ติดข้อง จริงหรือเปล่า ทำทุกอย่าง แล้วก็หายไป ทำอะไรไว้ก็ไม่รู้ และผลของสิ่งที่ทำเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อจากโลกนี้แล้ว แต่ก่อนที่จะจากก็ทำมากมาย ไม่รู้ทำอะไรบ้าง แล้วทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือเปล่า แต่สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือ ได้เข้าใจพระธรรม

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการเกิดมา ทุกท่านเกิดมาแล้วต้องตาย แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการเกิดมาก็คือ ความเข้าใจธรรม เพราะว่าถ้าเราไม่เข้าใจธรรม ก็มีชีวิตอยู่ไปวันๆ แล้วทำอะไรบ้าง ทำด้วยอกุศลจิต หรือกุศลจิต

    ผู้ฟัง อกุศลจิตง่ายเหลือเกินที่จะเกิด

    ท่านอาจารย์ เป็นบุญที่ได้ฟังพระธรรม และได้เข้าใจขึ้น เพราะแม้แต่ก่อนที่คุณนิรันดร์จะพูดคำนี้ อกุศลจิตเกิดแล้ว เห็นแค่นี้ หลังจากนั้นอกุศลจิตเกิดได้ แล้วเกิดแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ทุกคนเหมือนกัน เป็นผู้ที่มากด้วยอกุศล จึงเป็นปุถุชน ผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส อกุศล และความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นผู้ที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น ก็เป็นผู้ที่รู้จริงๆ ว่า เพราะได้ทำบุญไว้แต่ปางก่อน ถ้าคุณนิรันดร์จากโลกนี้ไป คุณนิรันดร์ก็ได้ทำบุญไว้แต่ปางก่อน เดี๋ยวนี้คือฟังธรรมแล้วเข้าใจขึ้น ที่ถูกต้องที่สุดคือรู้ว่า เป็นอนัตตา ไม่ใช่ยังคงเป็นเราห่วง กังวลอยู่ ว่าเราทำอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอกุศลใดๆ จะเกิดขึ้นก็ตาม ประโยชน์ก็คือว่าได้รู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ต้องไม่ลืม เพราะว่าทุกคนลืมเสมอว่า เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าจะไม่ลืมก็คือว่า แม้แต่อกุศลเกิด อกุศลนั้นก็ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะว่า ยังไม่หมดเหตุที่จะทำให้อกุศลนั้นๆ เกิด

    อ.กุลวิไล ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เราจะไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง ดูเหมือนมีผู้คนมากมายเลย อยู่กันในโลกนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับท่านสมิทธิว่า จักษุรูป จักษุวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด โลกหรือการบัญญัติว่าโลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ซึ่งก็ไม่พ้นโลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ อยู่ในโลกคนเดียว กราบเรียนท่านอาจารย์อีกครั้งถึงความเข้าใจสภาพธรรมที่ชื่อว่าโลก ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น กาย และทางใจ

    ท่านอาจารย์ ก็คือเดี๋ยวนี้ ฟังจนกว่าจะเริ่มเข้าใจ “เห็น” ที่กำลังเห็น ฟังมานาน แต่ว่ายังไม่น้อมมา ที่จะเข้าใจลักษณะของเห็น เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพระธรรมโดยประการต่างๆ เพื่อที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่า แท้ที่จริงแล้วขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏชั่วคราว เพียงเล็กน้อยแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น ก็ยากยิ่งที่จะรู้ และเข้าใจสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราวได้ แต่จากการอาศัยการฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ ได้ยินได้ฟัง แต่ว่าถึงใจ หรือว่า จรดเยื่อในกระดูก ที่จะไม่ลืมหรือเปล่า เพราะเหตุว่า ฟังแล้วก็หลงลืม ฟังแล้วก็หลงลืม แต่สิ่งที่ฟังบ่อยๆ ความหลงลืมก็น้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้เริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ทีละเล็กที ละน้อย โดยการที่ไม่หวังอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น แต่ว่า รู้ว่าขณะนั้นเป็นจริงแน่นอน เช่นแข็งเดี๋ยวนี้ มีจริงๆ เท่านั้นเอง เป็นแข็ง จะเป็นอะไรไปไม่ได้ ถ้ายังคงเป็นเรา เป็นแขนของเรา เป็นตัวของเรา ขณะนั้นชื่อว่าเข้าใจแข็ง ซึ่งเป็นเพียงแข็งรึเปล่า ซึ่งไม่ใช่ของใครด้วย และในขณะนั้นปรากฏเพราะเข้าใจจากการฟังว่า แม้แต่แข็งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็เป็นแต่เพียงธรรมหนึ่งที่ปรากฏให้รู้ว่า มีเพียงชั่วคราว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏว่ามีชั่วคราวทั้งหมด แต่ว่าสืบต่อจนกระทั่งต้องอาศัยการฟัง และค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย

    อ.กุลวิไล รู้ถึงความชั่วคราวของแข็งไหม แข็งมี แต่แข็งนั้นมีหรือเปล่าเวลาที่ได้ยิน ขณะที่ได้ยินเสียง ก็ไม่ใช่ขณะที่รู้แข็ง และ แข็งชั่วคราวมาก แล้วแข็งเป็นของเราหรือเปล่า ถ้าแข็งเป็นของเรา ก็ต้องอยู่นานๆ แต่ทำไมเวลาเห็น แข็งไปไหนแล้ว ก็ต้องเห็นในสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ไม่ใช่ขณะที่รู้แข็งที่ปรากฏทางกาย

    อ.อรรณพ ไม่รู้เพราะไม่เคยฟัง ไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริงเพราะไม่เคยฟัง อันนี้ก็อย่างหนึ่ง กับ ฟังแล้วก็ยังลืมเสมอ ว่าเป็นธรรม เพราะว่าผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มีแต่ความไม่รู้สภาพธรรม ขณะนี้มีสภาพธรรมปรากฏ แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย เพราะไม่ได้ฟังก็มี

    แต่ถ้าเป็นผู้ที่สะสมมา มีส่วนดีบ้างที่จะฟังธรรม ฟังแล้วเข้าใจตามว่าเป็นธรรม ในขั้นเรื่องราว แต่ก็ยังมีความไม่รู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ดี เพราะว่าการสะสมปัญญาขั้นฟัง ขั้นพิจารณายังไม่พอที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรม บางท่าน ท่านก็สะสมมาพอที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมบ้างนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ลืม แม้ท่านที่มีปัญญา สามารถรู้ ประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพธรรม ท่านก็ยังมีการหลงลืม เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน ก็เป็นเช่นนั้น

    แม้พระธรรมก็จะเตือนอยู่เนืองๆ แต่ก็ลืม ลืมเสมอว่าเป็นธรรม เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ฟังนานแต่ก็ไม่น้อม นี่คือคนที่ฟัง ถ้าคนไม่ฟังจะขนาดไหน ขนาดฟังไปยังไม่น้อม ใจน้อมไปทางโลภะ โลภะน้อม เพราะว่านามธรรมเป็นสภาพที่น้อม นามธรรมที่ไม่ดีก็น้อมไปในทางที่ไม่ดี โทสะก็ไปในทางที่เขาไม่พอใจ เพราะฉะนั้นการฟัง สะสมไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่น้อมที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรม และแม้บางครั้งจะน้อมไปบ้างที่จะรู้ธรรม ส่วนใหญ่ก็หลงลืม ลืมนี้แสดงว่าเคยฟังมาแล้ว รู้แล้ว แต่ไม่แล้ว รู้แค่การฟังแล้วก็ลืม แต่ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่รู้ ไม่ได้สะสมเลย

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องทราบตามความเป็นจริงว่า เป็นอย่างนี้จริงๆ ที่มีความไม่รู้ หรืออวิชชามากมาย ไม่รู้ขั้นฟัง ไม่รู้ขั้นพิจารณา ไม่รู้ขั้นที่จะระลึกตรงลักษณะสภาพธรรม แล้วก็ยังไม่รู้แจ้งแทงตลอด ในสภาพธรรมที่ละเอียดขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น ก็คือ มาเริ่มที่การสะสมการฟัง นานเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าที่จะน้อมไประลึกรู้ลักษณะสภาพธรรม แล้วก็มั่นคงขึ้น

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังก็ลืม เพราะว่า ลืมว่า เห็น เป็นธรรม กำลังเห็น และฟังเรื่องเห็น ได้ยินอยู่ตลอดเวลา เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง เห็นเกิดขึ้นเห็น เดี๋ยวนี้เลย เห็นเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นการฟังธรรมแต่ละคำ กว่าจะรู้ว่าคือเดี๋ยวนี้ และก็สามารถที่จะเข้าใจตามที่ได้ฟังด้วย ก็ยาก

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะคิดว่าธรรมเป็นสิ่งที่ง่าย ถ้าจะศึกษาเรื่องของบรรดาสาวกทั้งหลาย ตั้งแต่ปกติสาวก บำเพ็ญบารมีเท่าไหร่ มหาสาวกเท่าไหร่ อัครสาวกเท่าไหร่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องเปรียบเลย ก็จะรู้ได้ว่า เท่าที่ได้ฟังนี้ ก็บุญแล้ว เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ว่าจะทิ้งบุญ หนีบุญไปเมื่อไหร่ ก็แล้วแต่ว่าเป็นผู้ที่ได้สะสมความมั่นคง อธิษฐานบารมี รู้จริงๆ ว่า อยู่ที่ไหนก็มีธรรม หนีไม่พ้นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีธรรมอยู่ตลอดเวลา แล้วไม่รู้ในเมื่อสามารถที่จะรู้ได้ โดยการที่ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจโดยไม่ได้หวังอะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ถ้าฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ก็ปลอดภัยที่สุด เพราะเหตุว่าโลภะก็ไม่สามารถที่จะพาไปที่อื่นได้ หรือดึงไปที่อื่นได้ หรือหันเหไปที่อื่นได้ แต่ว่า กว่าจะเป็นอย่างนั้น ก็จะเข้าใจความหมายของพระธรรมที่ทรงแสดง ปริยัตติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ แล้วก็เป็นผู้ตรง ขณะไหนเป็นปริยัตติ ขณะไหนเป็นปฏิปัตติ หรือยังไม่มี และปฏิเวธ ถ้าไม่มีการฟังที่เข้าใจจริงๆ เพื่อละ เข้าใจจริงๆ เพื่อละ แต่จะรู้ได้เลย ประเดี๋ยวก็มาแล้ว ตัวเองบ้าง เพื่อนบ้าง คนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ไม่ได้ละอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นความติดข้องซึ่งชินที่จะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าฟังธรรมแล้วเริ่มเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกังวล ยังมีการคิดถึงเรื่องอื่น ยังเป็นห่วง เป็นกังวลทั้งหมด มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไปทั้งนั้น แต่ว่า สามารถที่จะค่อยๆ ไม่ลืม อย่าลืม “ไม่ใช่เรา” แต่เป็นสภาพที่ไม่ลืม ถ้าจะใช้คำภาษาบาลีก็คือ “สติเกิด” จึง (นาทีที่ ๑๖.๔๔ คำว่า"จึงเกินมา) ขณะนั้น แล้วแต่ว่าจะรู้ระดับไหน รู้ขั้นคิดว่าเป็นธรรม เช่นเดี๋ยวนี้ ลืมแล้วใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ขณะนี้ ก็เป็นคนนั้นคนนี้อยู่นานแสนนาน ตั้งแต่เช้า พอได้ยินใหม่ก็ตั้งต้นใหม่ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่แน่นอนที่สุด เปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ว่ากว่าจะเข้าถึงปฏิปัตติ หรือว่าแม้แต่เพียงจะเข้าใจขึ้น คือรอบรู้จริงๆ ในการฟัง และมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าจะเป็นอื่นได้อย่างไร ก็เป็นแต่เพียงสิ่งเดียวที่มีจริงๆ แล้วก็กำลังปรากฏความจริงด้วยว่า เห็นอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งถ้าเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เพียงหนึ่ง ในบรรดาสิ่งที่มีจริงหลาย ก็จะเริ่มรู้ว่า แม้แต่สิ่งอื่นๆ ที่มีจริง ก็เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของการที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเพียงชั่วคราว แล้วก็จากโลกนี้ไป แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏกับความไม่รู้ ปรากฏกับความติดข้อง ปรากฏกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คิด เป็นเรื่องของความไม่รู้ทั้งนั้น กับการที่แม้สิ่งนี้จะปรากฏ เหมือนเดิมเลย เมื่อวานนี้ห้องนี้ก็เป็นอย่างนี้ โต๊ะ เก้าอี้ก็เป็นอย่างนี้ แต่ว่าเริ่มเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ไม่ลืม ก็แสดงว่าความรอบรู้จากการที่ได้ฟังเพิ่มพอสมควร ซึ่งต้องเป็นผู้ตรงด้วย ขณะนี้แม้จะมีคน มีดอกไม้ มีโต๊ะ มีเก้าอี้เหมือนเดิม แต่ก็ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วคิด เพราะฉะนั้น ก็แต่ละขณะ ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งกว่าจะรู้ตามความเป็นจริง หนทางเดียวคือฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.กุลวิไล มีผู้ที่กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ท่านแสดงถึงสัจจะถึง ๔ อย่าง ๒ สัจจะแรกก็คือ ทุกขอริยสัจจ์ และทุกขสมุทยอริยสัจจ์ เป็นธรรมที่ลึกซึ้งเพราะเห็นได้ยาก ส่วนท่านแสดงถึง ๒ สัจจะหลัง ว่าเป็นธรรมที่เห็นได้ยากเพราะลึกซึ้ง กราบเรียนท่านอาจารย์สำหรับ ๒ สัจจะแรกก่อน อย่างไรจึงเป็นธรรมที่ลึกซึ้ง และเห็นได้ยาก

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ที่กำลังปรากฏจริงหรือเปล่า และสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏขณะนี้จริงหรือเปล่า เพราะไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้น อะไรจริงกว่า สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ที่กำลังปรากฏ กับ สิ่งที่ไม่ปรากฏว่ามีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าจริง แล้วก็เป็นผู้ที่แสวงหาความจริง ก็ต้องความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ก็คือว่า เมื่อวานนี้เราก็ได้พูดถึงเรื่องพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบเหมือนแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เกิดมา ยังไม่ได้ฟังธรรมเลย รู้จักอะไรบ้าง จะไม่รู้จักอะไรเลยสักอย่างเดียว แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้าเปรียบเทียบก่อนฟังพระธรรม กับ เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ต้องมีความต่างกัน คือก่อนฟังพระธรรม เหมือนรู้จักทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าคืออะไร ตอบไม่ได้เลยสักอย่าง ถ้าลงไปถึงว่า คืออะไร อย่างสิ่งที่มีจริงคืออะไร ทุกอย่างต้องตั้งต้นที่คืออะไร จึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงนั้นหรือเปล่า ถ้ายังไม่คืออะไร ก็อริยสัจจ์ ๔ ทุกขอริยสัจจะ สมุทยอริยสัจจะ เห็นยาก ลึกซึ้ง ลึกซึ้งจึงเห็นยาก ก็ไม่รู้ว่าลึกอย่างไร เพราะว่าทุกขอริยสัจจะ และบางคนก็บอกแต่เพียงว่า เกิดมาก็เป็นทุกข์ เดี๋ยวทุกข์นั่น เดี๋ยวทุกข์นี่ แต่ว่าตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เหมือนกันทุกพระองค์

    เพราะความจริงถึงที่สุดแล้ว จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การที่ไม่เคยได้เข้าใจธรรม ไม่เคยได้ฟัง แล้วเริ่มได้ยินได้ฟัง และก็มีความเข้าใจขึ้น ก็ต่างกับก่อน เพราะฉะนั้น ในความมืดสนิท ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดแล้วก็ต้องเป็นไป แล้วก็ต้องตาย แล้วก็ต้องไม่เหลืออะไรอีกเลย แล้วก็ทำอะไร อย่างที่บางคนก็ใช้คำว่า บ้าๆ บอๆ ตลอดชีวิตเลยก็ได้ เพราะว่าไม่รู้จะทำดีได้อย่างไร แต่ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ก็เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ ศึกษาโดยละเอียด แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.กุลวิไล ลึกซึ้งเพราะว่าเห็นได้ยาก ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้ว ก็ไม่พ้นจิต เจตสิก รูป เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งเหล่านี้เกิดแล้วดับไป เราเลยไม่เห็นถึงความเกิด และดับไปของธรรม

    ท่านอาจารย์ พูดคำว่าจิต ก็ไม่รู้จักจิต ได้ยินคำว่าจิต ได้ยินเรื่องของจิต แต่ว่าขณะนี้ จิตอะไร ทำกิจอะไร เกิดแล้วดับไปก็ไม่รู้จักสักจิตเดียว ซึ่งเกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้น จะมีคำพูดที่ ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ จนกว่าจะได้ฟังธรรม และความเข้าใจก็ต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ที่เข้าใจในสิ่งที่ฟังไม่ใช่สิ่งอื่น

    อ.กุลวิไล และจิตก็ต้องมีในขณะนี้ด้วย เพราะทรงแสดงความจริง

    ท่านอาจารย์ และก็ยังไม่รู้จักจิต ได้ยินแต่เรื่องของจิต แล้วจะรู้จักจิตได้อย่างไร เห็นไหม ไม่ใช่เรา แต่ปัญญา ความเห็นถูก เพราะฉะนั้น ชาวพุทธส่วนใหญ่ เข้าใจว่า ได้กระทำตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ด้วยปัญญา แล้วก็ทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกซึ่งเป็นปัญญาของผู้ฟังเอง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567