พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 734


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    อ.วิชัย ขณะนี้ทุกท่านก็รู้ว่ากำลังมีอยู่ แต่ว่าขณะนี้เพียงความเข้าใจว่ากำลังมี แต่ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ เพราะความรู้ความเข้าใจก็ต้องค่อยๆ อบรม ค่อยๆ มากขึ้น ถ้าพิจารณาว่าที่คุณกุลกล่าวถึงความเร่าร้อน ซึ่งถ้ากล่าวถึงโรค โรคทางกายบางท่านก็อาจจะไม่มี ตลอดทั้งปี ๑ บ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง แต่ถ้าจะกล่าวถึงโรคทางใจ ถ้าพิจารณาแล้วก็เป็นปกติเลยในชีวิตประจำวันที่จะต้องมีความชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง เป็นราคะ โทสะ โมหะ ประเภทต่างๆ บ้างก็เกิด

    แต่ทุกอย่างที่เกิดเพราะสั่งสมมาแล้ว เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้ ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นไปแล้ว และหนทางที่จะละต้องมีธรรมที่เกิดขึ้น ที่จะเป็นฝ่ายละธรรมที่เป็นอกุศลธรรมก็คือกุศลธรรม ถ้ามีความเข้าใจว่า การที่จะเพียงไม่รู้อะไรเลยแล้วก็จะไปละ ซึ่งก็ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องเริ่มจากความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง อบรมค่อยๆ มากขึ้นจึงจะละอกุศลที่จะกลุ้มรุมที่ทำให้เกิดความเร่าร้อนได้

    อ.กุลวิไล ในขณะที่ฟังไม่ต้องทำอะไรเลย ฟังให้เข้าใจ เพราะว่าความเป็นตัวตนมีมาก เมื่อไหร่ที่มีเราเมื่อไหร่ เร่าร้อน เชิญคุณแก้ว

    ผู้ฟัง วันนี้ได้ฟังความลึกซึ้งของคำว่าเอาตัวรอด ก็ทำให้คิดถึงหลายอาทิตย์ที่แล้ว ที่แก้วออกมาพูดถึงเรื่องกิเลสตัวเองแล้วก็ พูดอยู่คำหนึ่งว่า หลานตอบเอสเอ็มเอสมาว่า โรคเก่ากำเริบ ซึ่งอาจารย์คำปั่นก็มาบอกแก้วว่า คำนี้มีความสำคัญ ก็อยากจะกราบเรียนขออนุญาต อ.คำปั่นช่วยกรุณา

    อ.คำปั่น จริงๆ แล้วแต่ละคน แต่ละท่านที่เกิดมาก็เต็มไปด้วยอกุศล เต็มไปด้วยกิเลสโดยประการทั้งปวงทั้งนั้นเลย ซึ่งกิเลสตัวใหญ่ๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็คือโลภะ โทสะ โมหะ แต่ก็ไม่ใช่มีเฉพาะเท่านี้ มีมากกว่านี้ พร้อมที่จะเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจอยู่ตลอดเวลา

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า กิเลสเหล่านี้เป็นศัตรูภายใน เป็นข้าศึกภายใน เป็นอมิตรภายใน เป็นเพชฌฆาตในภายใน เป็นมลทินในภายใน เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโทษอย่างเดียว ถ้าเราจะพิจารณาว่า ข้าศึกภายนอกก็สามารถทำร้าย ทำอันตรายให้แก่เราได้เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่ว่ากิเลสอกุศลเหล่านี้พร้อมที่จะเบียดเบียน พร้อมที่จะทำลายได้ทุกภพทุกชาติเลย อันนี้คือเป็นความร้ายกาจของกิเลสประการต่างๆ

    แน่นอนว่า กิเลสที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมอยู่ในขณะนี้มาจากไหน ก็เพราะว่าเคยสะสมมาแล้วนั่นเอง ซึ่งเมื่อสักครู่นี้เองอาจารย์วิชัยได้กล่าวถึงโรคทางกายกับโรคทางใจ โรคทางกายเป็นผลของอกุศลกรรม ตราบใดก็ตามที่ถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้มีความทุกข์ทางกายได้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็ทรงประชวร ความเร่าร้อนทางกายของพระองค์มี เพราะว่าโรคทางกายเกิดขึ้น แต่ว่าพระองค์นั้นทรงดับความเร่าร้อนทางใจ ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์

    แต่ผู้ที่ยังไม่ได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ยังเป็นผู้มีโรคทางใจ ซึ่งก็มีข้อความที่บอกว่า คนที่ยังปฏิญาณตนว่าตัวเองเป็นผู้ไม่มีโรคทางกายตลอด ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง จนกระทั่ง ๑๐๐ ปีไม่มีโรคทางกายก็มี แต่ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ไม่มีโรคทางใจ หาได้น้อยมากเลย เพราะว่ามีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่หมดโรคทางใจ ก็คือพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า โรคเก่ากำเริบ ก็คือขณะที่อกุศลเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจนั่นเอง ซึ่งทางรอดก็คือต้องฟัง ต้องศึกษาพระธรรม

    อ.ธิดารัตน์ ทุกพระสูตรท่านก็แสดงเพื่อที่จะให้ละอกุศลธรรม และทุกพระสูตรก็เกื้อกูลต่อความเข้าใจสภาพธรรม ถึงแม้ในพระสูตรนี้ท่านก็แสดงให้เห็นว่า ทุกข์ในนรก ก็คือการรับผลของกรรม การที่จะมีการรับผลของกรรมทางตา จมูก ลิ้น กาย ใจมีได้อย่างไร มีได้เพราะว่าได้มีกิเลสเป็นปัจจัย แล้วก็ผู้ที่จะสามารถที่จะพ้นจากทุกข์เหล่านี้ได้ ก็คือจะต้องเป็นผู้ที่รู้ธรรมตามความเป็นจริง รู้ลักษณะของทุกขอริยสัจจ์ สมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้ว่าพระนิพพานมีจริง รู้ถึงธรรมที่สามารถอบรมหนทางที่จะให้ถึงความดับทุกข์ ทุกขณะที่มีการสนทนาธรรม ก็เป็นการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ก็คือเหมือนกับการเจริญหนทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์หรือความเร่าร้อนจริงๆ และทุกขณะที่เป็นกุศล รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เรียกว่าพ้นจากความเร่าร้อนไปชั่วขณะหนึ่ง แต่อกุศลธรรมในแต่ละวันมีมาก การศึกษาเพื่อที่จะให้รู้จักลักษณะของอกุศลธรรมในแต่ละขณะๆ ก็เป็นการค่อยๆ บรรเทาความเร่าร้อนได้ทุกๆ ขณะที่ชีวิตยังเป็นไปอยู่ ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากการฟังธรรม แล้วก็ศึกษาลักษณะสภาพธรรม จริงๆ ไม่มีทางอื่น

    ผู้ฟัง ก็อยากจะขอความอนุเคราะห์ท่านอาจารย์ เวลาเราศึกษาหรือเราอ่านพระสูตร ควรที่จะมีข้อคิดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ หาทางอีกแล้ว กำลังเป็นอกุศล แต่ฟังธรรมขณะนี้เพื่อหาทางรอดหรือว่าเอาตัวรอดจากอกุศล รอดจากอะไรต้องรอดจากอกุศล เพื่อที่จะได้เตือนตัวเองว่าเต็มไปด้วยอกุศล เมื่อไหร่เป็นกุศล เมื่อนั้นรอดจากอกุศล แล้วจะรอดจริงๆ ก็ต่อเมื่อเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งต้องอาศัยการฟังเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วหาทาง แต่ฟังแล้วเข้าใจ

    ผู้ฟัง ก็ได้รับคำแนะนำว่า เวลาศึกษาพระสูตร ควรพิจารณาถึงลักษณะของปรมัตถธรรม

    ท่านอาจารย์ นั่นสูงสุด เมื่อมีความเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วไม่ลืมด้วย แต่ถ้าลืมขณะนั้นก็ไม่เข้าใจว่า แม้ขณะที่กำลังเมตตา ปัญญาสามารถเห็นถูกว่าขณะนั้นเป็นธรรม แม้ขณะที่กำลังไม่ใช่เมตตา ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ที่ฟังมาแล้วว่าทุกอย่างเป็นธรรมก็ต้องทุกสถานการณ์ ทุกพระสูตรด้วยเป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง อย่างงั้นก็ต้องฟังต่อไป

    อ.วิชัย จริงๆ ถ้าเราเข้าใจสภาพธรรม ไม่ว่าจะเป็นคำไหน ถ้าเราเข้าใจว่า สภาพของอกุศลธรรมเป็นสภาพที่เป็นโรค แล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์ ส่วนกิเลสก็เป็นธรรมที่เศร้าหมอง และถ้าพิจารณาว่า ขณะที่ความติดข้องที่เป็นโลภะเกิดขึ้นเป็นอกุศลด้วย แล้วก็เป็นกิเลสด้วย เป็นธรรมที่เศร้าหมองด้วย ถ้าเราเข้าใจในลักษณะของธรรม ขณะนั้นเราก็รู้ว่าลักษณะอย่างนั้น สภาพอย่างนั้นแหละ เป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง แล้วก็เป็นโรค แล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์ ถ้าเกิดธรรมนี้ที่จะให้ผลในภายหลัง ถ้าเราพิจารณาเรื่องของ แม้การศึกษาพระธรรม คือพยายามที่จะเข้าใจในสภาพธรรมโดยอาศัยคำนั้นแหละ แล้วก็เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นก็จะเป็นการศึกษาที่ไม่ใช่เพียงศึกษาเพียงคำมากมาย เป็นคำต่างๆ มากมาย แต่ไม่รู้จักธรรมเลย

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ มีท่านที่เขียนมาถามถึงว่า ที่ว่าธรรมเป็นปกติ ปกติอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ อย่างไรจะตอบได้ไหม นอกจากเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรก็คือ เป็นปกติเพราะเกิดแล้ว เกิดแล้วเป็นอย่างนี้จะไม่เป็นปกติหรือ เดี๋ยวนี้เอง ใครไปทำ

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ก็ขณะนี้เอง ถ้ามีธรรมกำลังปรากฏก็เป็นปกติ บางท่านต่างก็รู้สึกจะติดอยู่ที่คำ คำว่าปรากฏก็ตาม หรือว่าปกติก็ตาม แม้แต่คำว่าปรากฏบางครั้งก็ยังสงสัยว่า ปรากฏนั้นคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งกระทบสัมผัส ไม่คิดนึกเลย มีอะไรปรากฏหรือเปล่า ไม่มี นี่ก็ต่างกันอยู่แล้วใช่ไหม เวลาเห็นก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เวลาได้ยินก็ต้องไปสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน แต่เวลาใดที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก จะกล่าวว่ามีอะไรปรากฏได้ไหม

    อ.กุลวิไล ขณะที่ไม่เห็น ก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นปกติธรรมดาไม่ใช่หรือ

    อ.กุลวิไล และที่ปกติคือ ปกติในขณะนี้เอง มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ชีวิตประจำวัน แต่ที่ผิดปกติเพราะว่าจะไปทำ ทำที่ต่างจากปกติ

    ท่านอาจารย์ เดินเป็นปกติ เดินอย่างไร

    อ.กุลวิไล เดินธรรมดา

    ท่านอาจารย์ แล้วเดินผิดปกติไหม

    อ.กุลวิไล มี

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละคือผิดปกติ

    อ.กุลวิไล จะเห็นถึงธรรมก็เป็นสิ่งที่มีจริงนั่นเอง ท่านอาจารย์แล้วก็คำที่ท่านอาจารย์ว่า ขณะที่ฟังไม่ต้องทำอะไรเลย ค่อยๆ เข้าใจขึ้นบางท่านฟังก็เหมือนกับว่า ดูเหมือนสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เลยละเลย

    ท่านอาจารย์ ใครทำ คิดว่าไม่มีใครทำ ธรรมทำแล้ว จะต้องมีใครไปทำอะไรอีก

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่ความเป็นธรรม แม้แต่ข้อความที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ขณะที่ฟังไม่ต้องทำอะไรเลย ค่อยๆ เข้าใจ นี่คือการทำงานของธรรมนั่นเอง ความเข้าใจคือปัญญาที่ฟังแล้วเข้าใจ ในธรรมที่เราได้ยิน ได้ฟัง ขอตอนท้ายอีกที ที่ท่านอาจารย์กล่าวอยู่เสมอเลยว่า ถ้าไม่มีปรมัตถ์ บัญญัติมีไม่ได้ กราบเรียน

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไร มีคนตอบว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้ไหมว่าเป็นอะไร เวลาเห็นแล้วรู้ไหมว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไร กำลังจะผิดปกติ ปกติธรรมดาพอเห็นแล้วรู้ไหมว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง คือเห็นสี

    ท่านอาจารย์ นึกถึงหรือ ความหลากหลายของสิ่งที่ปรากฏจึงกล่าวว่าสี นึกถึงแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ คิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่กล่าวว่า แม้สีก็เป็นบัญญัติ ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อไปจำคำนั้นเล่มนี้ ต่างกันอย่างไร เหมือนกันอย่างไร เรียกอย่างนั้นได้ไหม เรียกอย่างนี้ได้ไหม ธรรมไม่ต้องเรียกก็มี เป็นแล้ว เกิดแล้ว เห็นแล้วไม่ต้องเรียกว่าจักขุวิญญาณ ไม่ต้องเรียกว่าเห็น ก็เห็น แต่คำถามที่น่าคิด เพราะเหตุว่า ถ้ามีความเข้าใจถูกขึ้น ก็จะรู้ความจริงยิ่งขึ้น ถ้าถามว่าเห็นอะไร ก็จะจำมาตอบ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาทั้งๆ ที่กำลังมีสีหลากหลายใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ก็ตอบว่าเห็นสี ก็จำมาอีกว่าจะตอบอย่างไร แต่ความจริงเห็นเป็นธรรม มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแน่นอน ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะดับเร็วมาก การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วก็ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ตามมหาภูตรูปซึ่งเป็นที่อาศัยของสี คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังนึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นปัญญัตติหรือบัญญัติ เป็นจิตที่เกิดขึ้นเห็นแล้วรู้ในการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วเหมือนไม่ดับเลยว่าเป็นอย่างนั้น เป็นรูปร่างสัณฐานอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น เห็นแล้วก็ต้องคิด จึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นมีรูปร่างอย่างนั้น เพราะเห็นเพียงมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแสนสั้น และก็ดับไป ทุกขณะที่กำลังเห็น เห็นเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเมื่อเห็นแล้ว สัญญาความจำ ความคิด และก็มีสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะความรวดเร็วอย่างยิ่ง จึงทำให้เข้าใจว่าเห็นใคร เห็นอะไร แต่ตามความเป็นจริงที่ละเอียดยิ่งคือ ธรรมเกิดดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของบัญญัติ เพราะเหตุว่า ไม่ได้รู้ความจริงว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าความไม่รู้มากมายสักแค่ไหน แต่ก็เข้าใจแล้ว แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะละความไม่รู้ และความติดข้อง เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจความจริง จริงๆ ละความติดข้องไม่ได้เลย

    อ.กุลวิไล สำหรับผู้ที่เข้ามาฟังพระธรรม ประโยชน์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็คือต้องเข้าใจ พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง บางคนก็บอกว่าอย่าพูดว่ายากได้ไหม ประเดี๋ยวคนอื่นจะท้อถอย แต่ว่าง่ายๆ แล้วจะฟังทำไม ไม่ต้องฟังก็ได้ใช่ไหม คิดเองก็ได้ถ้าง่าย แต่ถ้ามีความเข้าใจก่อนฟังว่า สิ่งที่จะฟังเป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร เหนือเทพพรหมทั้งหลายในแสนโกฏจักรวาลทั้งหมด ไม่มีใครเสมอเหมือนในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ

    เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะได้ยินได้ฟังก็เป็นลาภเหนือลาภใดๆ ทั้งสิ้น เป็นลาภอันประเสริฐที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าฟังด้วยความเคารพว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก ด้วยการทรงแสดงพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ให้ผู้ที่ได้ฟังมีโอกาสเข้าใจถูก เห็นถูก มิฉะนั้น จะแสดงพระธรรมทำไม

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ทรงแสดงต้องเป็นสิ่งที่ชาวโลกที่ได้สะสมศรัทธามาแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ และก็สามารถจะเข้าใจได้ แต่ว่าไม่เหมือนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะคิดเองหรือเข้าใจเองได้ เป็นอีกโลกหนึ่ง ต่างจากโลกที่เคยปรากฏเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ เป็นเรื่องราวต่างๆ แต่เป็นโลกของความเป็นจริง ซึ่งอยู่เบื้องหลังของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมอย่างเร็ว เหมือนการหมุนไปของลูกข่าง ไม่มีใครสามารถที่จะจับขณะที่กำลังหมุนจนกระทั่งตั้งอยู่ด้วยความเร็วนั้นได้

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมในขณะนี้สำหรับผู้ที่ไม่รู้เลย จะคิดเองอย่างไรก็คิดไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้สะสมบารมีคือคุณความดี ไม่ใช่ความไม่ดีที่จะสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ แต่ต้องเป็นคุณความดีทุกประการ เพื่อที่จะได้มีโอกาสได้ฟัง เพื่อจะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตั้งใจมาแล้วที่จะฟัง ตั้งใจแล้วก็ฟังเสีย แล้วก็ฟังด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง

    เพราะเหตุว่า ประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรมมหาศาล เพราะเหตุว่า สามารถให้รู้ความจริงของสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย ใครจะรู้ว่าแท้ที่จริงทุกคนอยู่ในความมืดสนิท เวลาที่จิตเกิดขึ้นยังไม่มีอะไรปรากฏตา หู จมูก ลิ้น กาย แม้ใจก็ยังไม่ได้คิด คือขณะแรกที่เกิดขึ้นในโลก ต้องมีธาตุรู้เกิด มิฉะนั้นก็จะไม่เป็นสัตว์บุคคลใดๆ เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่สภาพรู้หรือธาตุรู้เกิดขึ้นในความมืดสนิท แล้วก็เจริญเติบโตจนกระทั่งถึง ณ วันนี้ ก็ไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรม จนกระทั่งได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ก็สามารถที่จะเข้าใจทุกคำที่พูดที่ได้ฟัง ว่าเป็นความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้น จะยากไหมในขณะนี้ ถ้าเพียงหลับตาหรือหลับไปเลย มีอะไรปรากฎบ้างไหมในห้องนี้ หลับไปเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ยังมีจิต ขณะนั้นไม่ปรากฏแม้ความมืด เพราะว่าไม่มีการที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น แต่จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เกิดแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลย ขณะเกิดเป็นอย่างไร ขณะที่นอนหลับสนิทไม่ฝัน ไม่คิดอะไรทั้งสิ้นก็เป็นอย่างนั้น นี่หรือคือเรา แล้วก็เพียงแต่ว่าตั้งแต่เกิดจนตายก็คือระหว่างที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วตื่นขึ้นมารู้เพียงชั่วสัก ๑๒ ชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านั้นเป็นวัน เป็นคืน แล้วก็กลับไปสู่ความไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น และก็ตลอดวันที่เริ่มมาตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ อะไรเป็นสาระจริงๆ เพราะเดี๋ยวก็หมดแล้ว พอถึงเวลาหลับสนิทก็ไม่มีอะไรเหลือเลยทั้งสิ้น แล้วก็เป็นอย่างนี้ตลอดทุกชาติในสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีการฟังพระธรรมก็จะมีความเข้าใจความเป็นไปทั้งหมดซึ่งเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นใคร ที่ไหน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดก็เป็นธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของธรรม ให้คนที่ได้ฟังเข้าใจถูกต้องว่า ทุกอย่างที่มีจริง เกิดแล้วปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ ชั่วคราวแล้วก็ดับไป และก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิด ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้ สิ่งที่กำลังเป็นขณะนี้ต้องตามปัจจัยที่ให้เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เริ่มรู้จักว่าฟังอะไร คือฟังเรื่องจริงๆ ที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ฟังเพื่อให้รู้ความจริงในขณะนี้จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จักคำว่า ธรรม ไม่ใช่เพียงชื่อว่าธรรม แต่รู้จักตัวธรรมจริงๆ ซึ่งขณะนี้ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏ ฟังแค่นี้ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะเป็นแต่เพียงการเริ่มต้นของผู้ที่ใคร่จะฟังพระธรรมก็ต้องรู้ว่าฟังเพื่ออะไร ฟังเพื่อเข้าใจความจริง

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามท่านอาจารย์ที่กล่าวว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แล้วจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ขยายความว่า อย่างนี้เป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีตัวแน่นอน เพราะไม่รู้ ธรรมเกิดแท้ๆ เป็นธรรมแต่ละขณะซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ก็ยังเข้าใจว่าธรรมอันนั้นเป็นตัว แล้วก็วันนี้ทั้งวัน หรือเมื่อวานนี้ และวันก่อน คิดที่จะเอาตัวรอดหรือเปล่า หรือว่าไม่มีอะไรที่จะต้องรอด ภัยอันตรายก็ไม่มีจะต้องรอดไปไหน บางคนอาจจะคิดอย่างนั้น เวลาที่พูดถึงรอด หมายถึง รอดจากภัยอันตราย ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ มีภัยเกิดขึ้นแล้วจะไม่เอาตัวรอดหรือ

    ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งท่านก็เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน บ้านเกือบถูกไฟไหม้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่กำลังรู้อยู่อย่างนั้น จะเอาตัวรอดไหม แค่รอดจากภัย แต่ว่าสิ่งที่รอดยากกว่าภัยอันตรายที่มองเห็นก็ถือว่าภัยของกิเลส ภัยของอกุศล แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมมาแล้วนานมากด้วย และมีความเข้าใจด้วย

    เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นก็รอดตามกำลังของความเข้าใจจากอกุศล เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าวันทั้งวันเป็นอกุศลหรือเปล่า เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าเราเข้าใจคำว่ากุศลวันนี้ทำหรือยัง ยังไม่ได้ทำกุศล แต่ก็ลืมว่าแล้วอกุศลทำหรือเปล่า ทางกาย ทางวาจา และก็ยังละเอียดไปกว่านั้นอีก แล้วกิเลสมีไหม จิตที่แม้ไม่ได้ทำแต่เศร้าหมองแล้วเพราะโลภะแม้เล็กน้อยนิดเดียว ในขณะที่กำลังคิด เพียงแค่คิดยังไม่ได้ทำ จิตขณะนั้นก็แปดเปื้อนเศร้าหมองด้วยกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เช้ามา คิดที่จะรอดจากอกุศล และกิเลสหรือเปล่า


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567