พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 742


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ผู้ฟัง ปัญญา ถ้ารู้ก็ต้องรู้ลักษณะของธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ ปัญญารู้ได้ทุกอย่าง ตามความเป็นจริง มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วไม่รู้ จะเป็นปัญญาได้อย่างไร แต่สิ่งที่มีจริงเป็นอย่างไร สามารถรู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น นั่นคือปัญญา เห็นถูกเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น แม้แต่ขั้นฟังก็ยังมี ใช่ไหม ฟังแล้วเข้าใจถูกตามที่ได้ฟัง ก็เพียงขั้นฟังเข้าใจ แต่ก็มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจะเป็นปัญญาได้ไหม ไม่ได้ แต่ฟังแล้วเข้าใจต่างกันไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่ใช่ไม่รู้ อวิชชาไม่รู้ แต่ปัญญารู้ รู้อะไร ในขณะที่ฟังก็มีความเข้าใจในคำ ในเรื่องของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้

    ผู้ฟัง อย่างลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางกายแน่นอน แต่ว่าธาตุรู้ ที่รู้ในทางแต่ละทาง

    ท่านอาจารย์ จิตไม่ใช่เจตสิก จิตหลากหลายมาก จำแนกออกเป็นวิญญาณธาตุ ๗ ประเภท แต่ก็ยังคงเป็นจิต จะเป็นอื่นไปไม่ได้ จะเป็นรูปไม่ได้ เป็นนิพพานไม่ได้ เป็นเจตสิกไม่ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็คือมีลักษณะเฉพาะของธาตุรู้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดขึ้นเห็น แม้มีจักขุปสาท มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้ แต่ไม่มีปัจจัยที่จิตจะเกิดขึ้น จิตก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ไม่ได้ ชั่วคราว ไม่เป็นอย่างอื่นไปได้เลยเป็นอย่างนี้ คือเกิดขึ้นก็เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นเองในสังสารวัฏฏ์ จิตเห็นเป็นอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นวิญญาณธาตุประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดเห็น แล้วก็ดับ

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจอีกครั้งหนึ่งว่า ธรรมเกิดขึ้นไม่เป็นของใคร และหากว่ามีก็คือขณะที่กำลังปรากฏนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ก็คือขณะนี้ อย่างไรๆ ก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่เกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น จะเป็นของใครเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป เมื่อวานนี้คุณนิรันดร์พูดถึงเรื่องการงาน คุณนิรันดร์ก็ทำงาน ไม่ทราบว่าผู้ที่ยังทำงานอยู่ อยากจะขอร่วมสนทนาธรรมด้วย ใครก็ได้

    อ.กุลวิไล คุณปลาทำงานอยู่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทำงานเยอะไหม

    ผู้ฟัง ไม่เยอะ

    ท่านอาจารย์ ไม่เยอะ ตอนเช้าไม่ได้ทำ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ทำ

    ท่านอาจารย์ แล้วตอนเย็น ตอนค่ำ มีงานทำไหม หรือว่าทำเฉพาะตอนบ่าย

    ผู้ฟัง มีงานทำตอนค่ำ

    ท่านอาจารย์ และความจริงใครทำ

    ผู้ฟัง ก็ยังคิดว่าเป็นงานที่เราต้องทำ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่เมื่อศึกษาธรรมแล้ว ความเข้าใจธรรมก็คือเข้าใจชีวิตจริงๆ แม้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้กำลังทำงานหรือเปล่า เพราะว่า เมื่อสักครู่บอกว่าทำงานตอนบ่ายใช่ไหม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ทำงานหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนนี้ไม่ได้ทำ

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ไม่ได้ทำ แต่ถ้าตอนนี้ศึกษาธรรมแล้ว กำลังทำงาน ใครทำ

    ผู้ฟัง ก็เป็นจิตเจตสิกที่ทำ

    ท่านอาจารย์ เป็นจิตเจตสิกรูป แล้วเวลานี้ทำงานหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็เป็นงานที่ทำ

    ท่านอาจารย์ งานอะไร เดี๋ยวนี้ ยืนอยู่ตรงนี้

    ผู้ฟัง เป็นกิจที่ทำตามเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วเราคิดว่า เราเกิดมาเราต้องทำงาน เพื่อที่จะมีชีวิตดำรงอยู่ แต่ลืมว่าขณะนั้น ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป ก็ไม่มีอะไรเลยที่จะทำงาน แล้วก็คิดว่าเป็นเราที่ต้องทำ แต่ความจริงก็เป็นกิจการงานหน้าที่ ไม่ว่าเราคิดว่ากำลังทำงานอยู่ หรือว่าขณะนี้ไม่ได้ทำงาน กำลังฟังธรรม แท้ที่จริงจิตเจตสิก็เกิดขึ้นทำกิจการงาน ไม่ได้ว่างเว้นเลย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่งานก็ต้องเข้าใจด้วยขณะไหนที่คิดว่ากำลังทำงาน ก็คือจิตเจตสิกรูป ขณะไหนที่เหมือนกับว่ากำลังพักผ่อนไม่ได้ทำอะไร ขณะนั้นก็ไม่พ้นจากการเกิดขึ้นทำกิจการงานของจิต และเจตสิก เพราะฉะนั้น แต่ละคน ลองคิดถึงความจริง เกิดมาแล้วเหมือนกันไหมคือต้องมีความเป็นไป ที่บางคนอาจจะคิดว่าว่างงาน ไม่ได้ทำงาน แต่ความจริงทุกคนต้องเป็นจิตเจตสิก ที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน โดยไม่ว่างเว้นเลย จะชอบหรือไม่ชอบจะคิดอย่างไรก็ตามแต่ แต่จิตเกิดขึ้นทำกิจการงาน เฉพาะกิจของจิตนั้นๆ เศรษฐีเข้าใจว่ามีเงินมากมาย ทำอะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ต้องทำ

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทำทุกคนใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ทำเหมือนกันด้วย ไม่ได้ต่างกันเลยคือเวลาหลับสนิท ก็ยังไม่จากโลกนี้ไป ขณะนั้นเหมือนไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีอะไรเลย เพราะว่าขณะนั้นจิตเจตสิกไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เหมือนกันหมดไหม ไม่ว่าเป็นเศรษฐีหรือว่าเป็นยาจกเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ หรือว่าไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย ก็เหมือนกัน แม้สัตว์แต่ละประเภท หรือคน หรือเทพ ขณะใดก็ตามที่เป็นภวังคจิต คือไม่รู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย เหมือนกันหมดเพราะเป็นสัตว์โลก เพราะฉะนั้น ความเป็นธรรม จะทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจความจริง เพื่อจะละการยึดถือ ละความสำคัญตน ละการที่เราคิดว่า คนนั้นดีคนนี้ไม่ดี เพราะความจริงก็คือเป็นธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ทุกคนเสมอกันหรือยัง

    ผู้ฟัง เสมอกัน

    ท่านอาจารย์ เสมอกันแน่นอน ปฏิสนธิจิตก็เสมอกัน เพียงแต่ว่า ต่างกันโดยที่ว่าเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม และสะสมความหลากหลายมามาก แต่ถ้าพูดถึงกิจของจิตที่ทำงาน จิตนั้นเกิดขึ้นดำรงภพชาติที่จะต้องเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล เหมือนกันหมด ต้องเป็นไปตามปัจจัย ในขณะที่ตื่นขึ้น มีสิ่งที่กระทบตา มีจิตเกิดขึ้นทำกิจการงาน เหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ภวังค์ และอตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ ปัญจทวาราวชน ไม่ใช่ของใคร ทั้งหมดเลยเป็นธรรม ซึ่งต้องเกิด ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้เลย แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ของใคร และสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่ของใคร จะว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นของเศรษฐี คนร่ำรวยมหาศาล หรือว่าคนยากไร้ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่เป็นของใคร เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และจิตก็เกิดขึ้นทำกิจเห็นเท่านั้นเอง แล้วก็ดับไป เหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เสมอกันไหม

    ผู้ฟัง เสมอกัน

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต่างกันเลยหลับแล้วตื่นแล้วเห็นยังไม่มีความต่างกันเลย จนกว่าจะถึงขณะที่คิด แล้วก็จำ ขณะนั้นก็จะมีความหลากหลายของการสะสมต่างๆ แต่แท้ที่จริงก็คือการทำกิจการงานตลอด โดยที่ไม่มีการหยุดเลย เหนื่อยไหม เป็นคนเราบอกว่าเหนื่อย จิตเหนื่อยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เหนื่อย

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่าเกิดแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ยับยั้งไม่ได้ ไม่ใช่ของใครจริงๆ เพราะฉะนั้น ที่ว่าไม่ใช่ของใคร ก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะรู้ตามความจริงว่า ผู้ที่เข้าใจว่ามีเงินมากมายเป็นเศรษฐี ขณะที่คิด แต่ขณะที่เห็นเป็นเศรษฐีหรือเปล่า ขณะที่ได้ยินเป็นคนยากจนหรือเปล่า เป็นเศรษฐี เป็นคนที่ยากจนเฉพาะขณะที่คิดเท่านั้นเอง ความจริงเหมือนกันหมด สุขก็เป็นสุข ทุกข์ก็เป็นทุกข์ โลภะก็เป็นโลภะ ปัญญาก็เป็นปัญญา ในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าใครทั้งนั้น ถ้าเกิดโลภะในสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้วไม่ใช่ของใคร เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีในขณะที่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ เป็นของใครหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้เป็น

    ท่านอาจารย์ แต่เกิดดับสืบต่อ ในเมื่อสิ่งที่ปรากฏไม่สามารถที่จะเกิดดับสืบต่อ สะสมให้เป็นของเราหรือของคนหนึ่งคนใด แต่กุศล และอกุศลจะสะสมสืบต่อไป เพราะฉะนั้น เศรษฐีมีโลภะมากไหม คนที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเลยมีโลภะมากไหม ในเมื่อเห็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความต่างอยู่ที่จิตแต่ละขณะ ซึ่งขณะใดก็ตามมีความติดข้อง หรือว่ามีกิเลสใดๆ เกิดขึ้น ก็เป็นของบุคคลนั้นซึ่งสะสมสืบต่อ ไม่ใช่ว่าจะเที่ยง แต่ว่าสะสมสืบต่อจนมีความยากที่จะสละหรือละได้ นี่คือการฟังธรรม เพราะว่ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าอกุศลทั้งหลายเมื่อวานนี้ และวันก่อนๆ และวันนี้ตั้งแต่เช้า จะละคลายไปได้ก็ด้วยปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น คุณปลามีงานประจำใช่ไหม งานสำคัญไหม อะไรสำคัญกว่า งานที่สำคัญที่สุด ใหญ่ที่สุด คืองานละกิเลส งานอื่นชั่วคราว เดี๋ยวก็เสร็จ ก็ทำได้ แต่ว่างานที่จะต้องทำทุกชาติ ถ้าสามารถที่จะมีปัญญาที่รู้ว่ากิเลสทั้งหลายที่สะสมมา ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถที่จะละอกุศลได้เลย แม้เล็กน้อยก็ละไม่ได้ เพราะว่าเกิดมากทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะฉะนั้น งานที่สำคัญที่สุด ในชีวิตทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ก็คืองานละกิเลส ด้วยความเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น งานอื่นก็ชั่วครั้งชั่วคราว แค่เช้าถึงกลางวัน บ่ายถึงเย็น แต่ว่างานนี้ทุกโอกาส และเป็นภาระหนักที่สุด ใหญ่ที่สุด และยากที่สุดด้วย แต่ถ้าไม่เริ่มทำ ก็ไม่มีทางที่จะทำงานนี้ได้สำเร็จ แต่งานนี้สำเร็จได้ ทีละเล็กชั้นน้อยด้วยการเข้าใจพระธรรม

    ผู้ฟัง อยากจะเรียนถามว่า ในขณะที่เราศึกษา ถึงแม้ว่าเราจะมีความเข้าใจจากการฟัง แต่ว่าในขั้นที่จะเกิดปัญญา ที่รู้ธรรมหรือว่าเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงมันก็ยังไม่เกิด สิ่งที่เราฟังจะเป็นเรื่องที่เราสะสมไหม

    ท่านอาจารย์ ลืมว่าขณะนี้กำลังทำงาน เห็นไหม ฟังธรรมต้องเข้าใจจริงๆ ขณะนี้ทุกคนกำลังทำงานเพื่อละกิเลส เป็นงานจริงๆ งานที่ใหญ่ที่สุดด้วย ไม่มีงานอะไรที่จะใหญ่ยิ่งกว่านี้ คือการที่เห็นโทษของอกุศล แล้วก็ทำงานเพื่อที่จะละอกุศล ให้หมดไม่เหลือเลย เพราะว่าพระธรรมก็ทรงแสดงไว้ชัดเจน ทุกข์ทั้งหลายต้องมาจากกิเลส ความไม่สะดวก อันตรายทั้งหลายทั้งหมดที่ไม่น่าพอใจต้องมาจากอกุศลกรรม

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เป็นกุศลก็มีญาติสนิทมีมิตรสหาย ที่จะทำให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลานี้ทุกคน ต่างคนต่างทำงาน ถูกต้องไหม เพื่อที่จะเข้าใจธรรม เพื่อที่จะละกิเลส เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ช่วยกัน เป็นมิตรสหายเกื้อกูลที่จะให้คนอื่นซึ่งอาจจะไม่รอดจากอบายภูมิ ใครจะรู้ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ นอกจากได้ถึงความเป็นพระโสดาบันแล้วไม่ต้องห่วงอีกเลย แต่ ณ วันนี้ ณ บัดนี้ ความเข้าใจธรรมที่มี มีมากพอที่จะไม่ไปอบายภูมิหรือเปล่า ก็ยังไม่เป็นเช่นนั้น ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น กำลังช่วยกัน ที่จะให้รอดพ้นจากอบายภูมิ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะถึงเมื่อไหร่ และวันไหน เพราะฉะนั้น ไม่ได้กำลังทำงานหรือว่าไม่ใช่ให้เลือกงาน ใช่ไหม ว่าจะเอางานอะไรมาที่จะทำให้กิเลสหมด แต่ว่าขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจธรรม อย่าลืม ไม่ใช่อ่านจบ ไม่ใช่ฟังจบ แต่ขณะที่ฟัง ศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจจริงๆ และไม่ประมาทในแต่ละคำ เพราะเหตุว่าปัจฉิมโอวาทของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะปรินิพพาน เป็นคำที่ต้องมีน้ำหนักมาก เพราะว่าเป็นวาจาสุดท้าย ก็คือว่าไม่ประมาทในกุศลทั้งปวง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่ใช่ไม่ทำงาน กำลังทำงานอยู่แล้วจะเลือกงานไหม

    ผู้ฟัง ไม่เลือก

    ท่านอาจารย์ คือเมื่อไหร่ฟังเข้าใจ ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรทั้งสิ้นเข้าใจได้ในสิ่งที่ฟัง เช่นธรรมขณะนี้ สิ่งที่มีจริงยังไม่รู้ความจริง อย่างที่คุณปลาสงสัย ได้แต่ฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นธรรม แต่ยังไม่เห็นธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ แต่ว่าจากการฟัง และเริ่มเข้าใจจะทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นสิ่งที่มีก็ตรงกับที่เข้าใจ เช่นขณะนี้ แข็งมีตรงกับที่ฟังไหม มีลักษณะอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ถูกต้องหรือไม่

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราเคยเข้าใจด้วย ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่ดินสอ นั่นเป็นเพียงสมมติ แต่ลักษณะที่แท้จริง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ถ้ากระทบสัมผัสสิ่งนั้นจึงจะปรากฏว่ามี เช่นแข็งที่ตัวทั้งตัว ถ้าไม่กระทบสัมผัสจะรู้ไหมว่ามี แต่เมื่อใดที่กระทบสัมผัสเมื่อนั้นจึงรู้ว่ามี สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเลย แล้วก็ไม่สามารถจะไปทำให้เกิดได้ เพราะเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็หมดไปแล้วด้วย เพราะฉะนั้น กว่าจะฟังจนกระทั่งเข้าใจ โดยไม่เลือกว่าจะต้องไปฟังอย่างนั้นหรือจะต้องไปฟังอย่างนี้ แต่ว่าขณะที่ฟังมีสิ่งที่ปรากฏแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนี้ทุกคนในห้องนี้จะเห็นคุณปลายืนอยู่ที่นี่ เกิดดับหรือเปล่าสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ วันนี้คุณปลากลับไปบ้านแล้ว ยังมีคุณปลาในความนึกคิดไหม มี ทั้งๆ ที่รูปก็เกิดดับ จิตเจตสิกก็เกิดดับ ทั้งรูป และจิตเจตสิกไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ก็ยังมีความจำว่ายังมีบุคคลหนึ่ง ซึ่งความจริงเพราะมีรูปมีเสียงมีกลิ่นมีรสมีโผฏฐัพพะที่ปรากฏ ให้คิดนึกเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่สิ่งนั้นก็ไม่เหลือ ถ้าสามารถที่จะมีความเข้าใจที่มั่นคง จึงสามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ถ้ามิฉะนั้น วันนี้เราต้องคิด เรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย ยังมีคนนั้นคนนี้ในความคิด ยังมีประเทศนั้นประเทศนี้เหตุการณ์ในประเทศนั้นประเทศนี้อยู่ในความคิด แต่ความจริงคิด เกิด และดับ มีชั่วคิด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือคนยากจนก็คิด แล้วแต่ว่าขณะนั้น มีโลภะมากมีโทสะมากหรือมีปัญญามากก็ไม่ได้ต่างกันเลย เป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น มีข้อความสั้นๆ ว่า สมบัติมีในมหรสพ คิดว่าหมายความว่าอะไร สมบัติมีในมหรสพ

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า ที่ว่าสมบัติมีในมหรสพ เหมือนกับว่ามีตัวเรามีสมบัติมีสิ่งของมากมาย เป็นบุคคลที่มีอาชีพการงานต่างๆ เป็นครูเป็นอาจารย์ มีบ้านมีบริวารมีสิ่งของมากมาย แต่เพียงในมหรสพเท่านั้นเอง เพราะสิ่งเหล่านี้มีเพราะคิด

    ท่านอาจารย์ ทุกคนเคยดูใช่ไหมมหรสพ หนัง ลิเก เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่ามีเงิน หรือว่าเป็นเศรษฐี หรือเป็นมหาเศรษฐีอะไรก็ตามแต่ เหมือนมหรสพไหม เพราะถึงเวลาก็แค่เห็นเหมือนกัน ได้ยินก็เหมือนกันหมด ได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หิวเหมือนกัน อิ่มเหมือนกัน รสอาหารก็ปรากฏเหมือนกันเท่านั้นเอง แต่ว่ามหรสพของความคิดเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้มากมาย แต่ว่าตามความเป็นจริงคือแค่คิดจริงๆ แล้ววันนี้กลับไปบ้าน สมบัติทั้งนั้นหรือว่ากิเลสทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ก็กิเลสเยอะ

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะของเรา ผิดละ เป็นเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จะจากบ้านนั้นที่นั่นหรือสมบัตินั้นเมื่อไหร่ ก็ได้ ไม่ใช่ของเราเลย แต่โลภะติดตามไป

    ผู้ฟัง ติดมาก

    ท่านอาจารย์ ยากที่จะสละใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ได้เลยสมบัติมากหรือกิเลสมาก เพราะว่าสมบัติจากไปทุกขณะ เพราะเกิดแล้วดับไป และไม่กลับมาอีกเลย แต่ว่ากิเลสสะสมอยู่ในจิตทุกๆ ขณะ ขณะนี้ก็กำลังทำงาน งานสำคัญ งานที่มีประโยชน์ยิ่งใหญ่ คืองานที่จะละกิเลสหรือดับกิเลส

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงสมบัติมากหรือกิเลสมาก ทำให้คิดถึงคำว่า ราคะหรือราคา ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า อะไรที่มีราคามากนั่นก็เพราะว่าเป็นที่ติดข้องมากนั่นเอง

    ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวันดูเหมือนจะเลือกได้ แต่จริงๆ แล้ว เลือกแล้วได้แค่เลือก ได้ก็ได้อีกอย่าง

    ท่านอาจารย์ เวลาเลือกงานใครเลือก

    ผู้ฟัง ก็เป็นจิตเจตสิก ใช่ไหม ความคิด

    ท่านอาจารย์ ไม่มีคุณวรศักดิ์แล้วแต่ ฉันทะเจตสิก โลภเจตสิกเป็นผู้วินิจฉัย งานนี้ไม่ชอบโทสะวินิจฉัย งานนี้ดีโลภะวินิจฉัย แต่ปัญญาวินิจฉัยธรรมที่กำลังปรากฏ โดยความถูกต้องว่าเป็นจิตที่คิด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ก็เป็นธรรมที่เราฟังบ่อยๆ และก็เข้าใจเผินๆ แต่ว่าตัวธรรมจริงๆ ละเอียดแล้วก็ลึกซึ้งมากด้วย ที่จะต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อได้ยินคำว่าธรรมไม่ใช่หยุดหรือพอใจเพียงคิดว่ารู้แล้วว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ไม่ได้รู้จริงๆ เลยว่าทุกอย่างเป็นธรรมจนกว่าการฟังจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ทุกคนกำลังเลือกทุกวัน ใช่หรือเปล่า รับประทานอาหารเลือกหรือเปล่า เลือกแล้วใครเลือก โลภะเลือก ใช่ไหม ไม่ชอบสิ่งนี้ไม่รับประทานสิ่งนี้ อะไรเลือก ก็โทสะเลือก เพราะฉะนั้น ก็เป็นไปอย่างนี้ตลอดเวลา ไม่ทราบว่าเพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม เป็นคำพูดมากหรือเปล่า พูดน้อยกับพูดมากมีสองอย่าง บางคนพูดน้อยบางคนพูดมาก นี่เป็นคำพูดมากหรือเปล่า ถ้าไม่มีคำพูดมากไม่มีไตรปิฏกแน่นอน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้น แม้มากแต่เป็นประโยชน์ แม้มากแต่ไม่เป็นประโยชน์ก็มี ด้วยเหตุนี้การฟังอะไรเลือก ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ก็แม้แต่ขณะนี้ก็ทราบว่าไม่มีเรา แต่มีสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นทำกิจการงานของสภาพธรรมนั้นๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่าไม่มีเรา มีแต่เพียงสภาพธรรมที่ต้องเกิด เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ยับยั้งไม่ได้ แล้วก็จะเป็นอย่างนี้จนกว่าจะดับกิเลสหมดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป

    ผู้ฟัง ถึงแม้คิดว่าจะเลือกได้ ก็ได้แค่เลือกใช่ไหม ส่วนจะได้อะไรนั่นไม่ใช่เพราะว่าเราเลือก

    ท่านอาจารย์ ต้องละเอียด จนกระทั่งว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย จักขุวิญญาณจะเกิดไม่ได้ถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตไม่เกิดก่อน จะไปทำอะไรจะไปเลือกอะไร ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต้องเข้าใจขึ้นแต่ละคำ ภวังคจิต ปฏิสนธิจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตทั้งหมดก็แสดงความเป็นปัจจัยทั้งนั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567