พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 737


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๗

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นสิ่งที่รู้ด้วยตัวเองว่า ฟังมาแล้วคงไม่ต้องคำนึงถึงว่า นานเท่าไหร่ แต่ว่า ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ฟังมาแล้วกำลังเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้คำว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จากครั้งแรกที่ได้ยินจนกระทั่งนับครั้งไม่ถ้วนแล้วใช่ไหม คงจะไม่มีใครนับ แล้วก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงฝั่ง คือ การที่จะละความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ จะอีกนานสักเท่าไหร่ แต่ก็มีฝั่งที่จะไปถึงได้ด้วยปัญญาที่สามารถที่จะเริ่มฟัง ลืมไปแล้วก็ของธรรมดาเพราะว่า เคยจำอย่างอื่นไว้มากจึงมีปัจจัยที่จะให้ไม่ลืมอย่างอื่น แต่ลืมธรรมที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ก็สะสมความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ขณะนี้จะน้อยมากสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็เริ่มเป็นความเห็นที่ถูกต้องว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เพื่อละความติดข้องเพื่อละการที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นว่า เที่ยง จนกว่าจะรู้ความจริง

    อ.กุลวิไล เห็นประโยชน์ของการรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้หรือเปล่า ถ้าเราไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ความจริง ก็ยังเป็นผู้ที่มีอวิชชาปิดบังธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ กิเลสมาก การที่จะไปถึงฝั่งที่จะไม่มีกิเลสเลยหรือดับกิเลสได้ ต้องอาศัยปัญญานั่นเอง เห็นถูกในฝั่งนี้ก่อน อย่าเพิ่งไปฟังโน้น เพราะว่า แม้แต่ฝั่งนี้เอง เราคุ้นเคยมากแล้วยึดถือว่า เป็นเราตลอด ทั้งๆ ที่ก็ไม่พ้น จิต เจตสิก และรูป ท่านอาจารย์บอกมีแต่ไป ไม่เหลือเลย นี่คือความจริง ธรรมเกิดดับ สืบต่อ ด้วยความที่ยังมีปัจจัยนั่นเอง เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

    เพราะฉะนั้น ธรรมขณะนี้เกิดดับสืบต่อกัน เราไม่เห็นถึงการเกิด และดับไปของธรรม เราเลยยึดถือสิ่งที่เกิดดับสืบต่อที่เป็นนิมิตว่า เที่ยง ยั่งยืน ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ว่างเปล่า จำเรื่องขันธ์ได้ใช่ไหม สภาพธรรมที่ว่างเปล่า เพราะสิ่งใดเกิดแล้วก็ต้องดับไป สาระมีที่ไหน หาสาระไม่ได้ แต่การที่จะเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง เป็นสิ่งที่สามารถที่จะเป็นสาระ จากสิ่งที่ไม่มีสาระได้

    ท่านอาจารย์ ยากไหม เพิ่งฟังไปเมื่อสักครู่นี้เองว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ก็เป็นคนนั้น คนนี้ กำลังเดินมา กำลังเข้ามา หรือกำลังทำอะไร นี้ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะรู้ความจริงได้ คือ เป็นผู้ที่มั่นคงในสิ่งที่ได้ฟังว่า สิ่งที่ได้ฟังไม่ใช่เท็จ แต่เป็นความจริง เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจถูกต้องว่า ความจริงต้องเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ว่า ยังไม่รู้อย่างนี้ แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็สามารถที่จะรู้ได้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เป็นความหวัง ความต้องการเพียงว่า “เมื่อไหร่จะรู้ได้” แต่ก็ขณะนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คงไม่ลืม นามรูป จริงหรือเท็จ คนที่ลืมจะตอบอย่างหนึ่ง แต่คนที่ไม่ลืม และเข้าใจก็จะตอบอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏ เห็นก็เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ นามรูป จริงหรือเท็จ

    ผู้ฟัง นามรูปเป็นเท็จ

    ท่านอาจารย์ เห็นด้วยไหม มีผู้ที่ตอบแล้ว นามรูปเท็จ เพราะดับแล้วยังปรากฏเสมือนว่า ยังมีอยู่ ใช่ไหม เกิดดับอยู่ตลอดเวลาแล้วไม่เหลือเลยด้วย แต่ปรากฏเสมือนว่ายังมีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความจริงว่า กว่าจะถึงการรู้ความจริงซึ่งเป็นสัจจะ สิ่งที่ปรากฏเท็จลวงให้เข้าใจผิดว่า เที่ยง ยังอยู่ ยังมีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งความจริงเป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ละอย่างซึ่งมีปัจจัยเกิด ดับแล้วไม่กลับมาอีก และมีแต่เกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลา นั้นจึงจะเป็นการรู้จริงๆ ว่า ที่กำลังปรากฏ ที่เคยเข้าใจว่า เป็นธาตุ เป็นนาม ขณะนี้มีเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทั้งหมดดับแล้วอยู่ตลอดเวลาด้วย นั่นคือ จะเป็นความจริง

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ลวงให้เข้าใจว่า เที่ยง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถึงฝั่งนี่ก็รู้เลยใช่ไหม ฝั่งของความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง สิ่งที่เป็นจริงมีอย่างเดียว คือ นิพพาน

    ท่านอาจารย์ ก็ต่อด้วยสิ่งที่มีจริงคือ นิพพาน แต่ว่าต้องมีผู้ที่มีความเห็นต่างกัน อย่างชาวโลกซึ่งไม่เคยฟังธรรมเลย เขาจะบอกว่า นามรูปจริง นิพพานเท็จ เพราะอะไร เพราะขณะนี้ “นี่ไงนาม” “นี่ไงรูป” “แล้วนิพพานอยู่ที่ไหน” เมื่อไม่ปรากฏก็ต้องไม่มี เพราะฉะนั้นใครบอกว่า มีก็ต้องกล่าวเท็จสำหรับผู้ที่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น โลกของปัญญากับโลกของอวิชชาจะเป็นโลกที่ต่างกันมาก และจากการที่ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ท้อถอย และไม่ละความเพียร เพราะไหนๆ ก็มีโอกาส มีศรัทธาที่ได้ฟังแล้ว จะทิ้งไปทำไม ในเมื่อสามารถที่จะให้ศรัทธานั้นเพิ่มขึ้นได้ด้วยกำลังของปัญญา เพราะเหตุว่า ที่มาฟังธรรมกันหรือว่าฟังทางวิทยุก็ตามแต่ มีศรัทธาที่ฟัง แต่ปัญญาที่เกิดจากการฟังยังไม่มากพอ

    เพราะฉะนั้น ต้องอินทรีย์เสมอกัน คือ เมื่อฟังแล้วก็มีความเข้าใจ ศรัทธาก็เพิ่มขึ้น เมื่อศรัทธาเพิ่มขึ้นก็ฟังอีก เข้าใจเพิ่มอีก ทั้ง ๒ อย่างนี้ก็จะทำให้เสมอกันได้ ในเมื่อสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติ เมื่อไหร่รู้จักปรมัตถสัจจะ สภาพธรรมที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง กำลังปรากฏกับสติสัมปชัญญะ และปัญญา เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจปรมัตถสัจจะ เป็นผู้ที่ฝึกตนแล้ว

    เพราะฉะนั้น เวลานี้กำลังฟัง ค่อยๆ รู้หนทางที่จะฝึกตน จากผู้ที่มีกิเลสมาก มีความไม่รู้มาก มาเป็น (นาทีที่ ๗.๓๔ ตัดทิ้ง) สู่ผู้ที่สามารถที่จะฟังเข้าใจ แม้ฟังก็ฟังแล้วเข้าใจว่า กำลังพูดความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ กำลังฟังคำที่แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงนัยของนามรูปเท็จด้วยความที่ไม่เที่ยง เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดแล้วดับไป หาสาระไม่ได้ จึงไม่จริงเพราะว่า ไม่เที่ยง แต่นิพพานไม่เกิด นิพพานเที่ยงเพราะว่า นิพพานไม่ดับด้วยจึงเป็นสุข และนิพพานนี้ก็เป็นจริงโดยนัยระหว่างนิพพานกับสภาพธรรมที่เป็นนาม และรูป แล้วอย่างกรณีปรมัตถสัจจะ ซึ่งก็คือความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ผู้ฟังอย่าสับสนคำว่า ความจริงของสิ่งที่จริงกับสภาพธรรมที่เป็นนามรูปว่าเป็นเท็จ

    ท่านอาจารย์ คุณธิดารัตน์จริงไหม

    อ.กุลวิไล ไม่จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวว่า คุณธิดารัตน์ไม่จริง ขณะที่มองไปที่นั่น อะไรจริง

    ผู้ฟัง ขณะที่มอง เห็นจริง

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไรจริง

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กว่าจะสามารถคลายการที่เคยยึดมั่นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่ปรากฏ ก็จะต้องค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจเป็นปกติว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้จริงๆ นั่นคือปรมัตถสัจจะ จะเห็นได้ว่า ทุกคนคิดมากๆ เลย คิดตลอดเวลา แม้แต่กำลังฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็ไม่ได้รู้เฉพาะธาตุที่เห็น ที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้น กว่าที่จะให้เป็นสังขารขันธ์แทนที่จะคิดนึกเรื่องอื่น ก็ในขณะที่พูดถึงสิ่งใด ก็สามารถมีปัจจัยที่จะเข้าใจเฉพาะสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ในขณะนั้น ตรงตามที่ได้ฟัง นี่คือ การฟังแต่ละครั้ง ตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพียงคิด และเข้าใจ

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น เราได้ยินคำว่า ปรมัตถสัจจะ เพราะฉะนั้น คือจริง เพราะเป็นธรรมแต่ละอย่างนั่นเองขณะนี้เอง เพราะต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตา เราศึกษาพระอภิธรรมคงจำได้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป ไม่ใช่คน ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่สิ่งของ เพราะฉะนั้น เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ขณะที่เราคิด รู้ได้ว่า เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เพราะว่า สิ่งเหล่านั้นไม่จริง ที่เป็นจริงคือ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองใช่ไหม ฟังมาแล้วจะต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะมีความเข้าใจขึ้นอย่างมั่นคงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วสภาพธรรมอื่นอีกตั้งมากมาย จนกว่าจะรู้ทั่วจริงๆ ว่า เป็นธรรมซึ่งเป็นปรมัตธรรม

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องของนามรูปว่า เป็นจริงหรือเป็นเท็จ ท่านอาจารย์กล่าวสักครู่ว่า เป็นเท็จเพราะเหตุว่า ดับไปแล้วแต่ว่า เสมือนว่ามีปรากฏอยู่ อย่างนี้เข้าใจถูกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.วิชัย เพราะฉะนั้น ลักษณะของความเป็นเท็จ คือ เป็นลักษณะอย่างไร คือ ไม่มีอยู่จริงหรือว่า มีแล้วดับไป

    ท่านอาจารย์ เกิดดับแต่เสมือนว่า ไม่เกิดไม่ดับ ความจริงคือ ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดดับ แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงใช่ไหม

    อ.วิชัย เพราะเหตุว่ายังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ลวง คือ ให้เห็นความไม่จริง คือเสมือนว่า ยังมีอยู่ทั้งๆ ที่ไม่มีเลย

    อ.วิชัย เป็นความลวงของ

    ท่านอาจารย์ ลวงคือเท็จ คือ ไม่จริง

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ขณะนี้เอง ต้องมีสิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถสัจจะ มีลักษณะแต่ละอย่าง แต่สิ่งเหล่านี้เกิดแล้วต้องดับไป ลวงให้เหมือนว่า สิ่งนั้นเที่ยง เพราะสิ่งนี้เกิดแล้วก็ต้องดับไปนั่นเองจึงเป็นเท็จ

    ผู้ฟัง อนุโมทนาท่านอาจารย์ และอาจารย์วิทยากร ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง แล้วก็ชี้ให้เห็นถึงสัจจญาณที่ต้องเจริญอีก และต้องได้ยินได้ฟังจากการสนทนาเพิ่มขึ้น อย่างนามรูปเป็นเท็จเพราะอะไร ต้องมีเหตุผล และเป็นสัจจะอย่างไรต้องมีเหตุผล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เห็นความต่างกันของความไม่รู้กับความรู้ ความไม่รู้ใช้ภาษาบาลี คือ “อวิชชา” แต่ภาษาไทยบอกว่า ไม่รู้ บางคนไม่เข้าใจไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ต่างกับความรู้ เพราะขณะที่ไม่ได้ฟังเลยรู้ไหมว่า สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ก็เป็นธรรมอย่าง ๑ มีจริงๆ ด้วยกำลังปรากฏด้วย แต่ว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น เกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้น ความรู้ต่างกับความไม่รู้ ซึ่งความไม่รู้ขณะนี้รู้ไหม ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น รู้ไหมว่า เกิดขึ้นแล้วดับไป ก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง คือ กำลังฟังสิ่งที่มีจริงๆ แล้วค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นในขั้นฟัง ซึ่งจะอุปการะ เป็นปัจจัย ทำให้สามารถเข้าใจตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กล่าวถึง ไม่คิดเรื่องอื่น พูดถึงอะไรกำลังมีสิ่งนั้นปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการตรวจสอบปัญญา ความเข้าใจว่า เข้าใจแค่ไหน ธรรมที่ฟังแล้วเพื่อวิจัยวิจารณ์ด้วยความคิดของเราเอง หรือว่าฟังสิ่งที่มีในพระไตรปิฎก แล้วก็รู้ว่า ทรงมุ่งหมายอย่างไรในการที่ตรัสคำนี้ เพื่อให้ระลึกได้ว่า ความไม่รู้มีมากแค่ไหน แม้แต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ลวงตลอดเวลา ว่ายังมีอยู่ ยังเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้อยู่ แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า แท้ที่ก็จริง คือ ต้องเป็นสภาพธรรมซึ่งมีชั่วคราว คือ เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วก็ไม่ปรากฏการเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น จึงลวงไม่ให้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงไม่เที่ยง เพียงแค่เกิดแล้วดับไปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น การฟังธรรม คือ เพื่อให้เข้าใจว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นจริงหรือเปล่า ธรรมขณะนี้เกิดเพราะมีเหตุปัจจัยแล้วก็ดับเร็วมากด้วย เพราะฉะนั้น ปัญญาของผู้ที่ฟัง เข้าใจแค่ไหน แม้แต่ที่จะน้อมไปสู่ความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่า สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็ว ประมาณไม่ได้เลย ขณะนี้เหมือนกับว่า มีคนมากมายแต่ว่า กว่าจะเป็นคน ลองคิดดู มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และมีการเกิดดับสืบต่อ ปรากกฏนิมิตสัณฐาน จนกระทั่งจำ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่ต้องเหมือนกับว่า ไม่คิดเลย แต่ความจริงถ้าไม่คิดก็ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร นี่คือความรวดเร็วอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้น การฟังเพื่อให้มีการรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า ความรู้ ความเข้าใจ ความจริงแท้ของสิ่งที่กำลังปรากฏมีแค่ไหน จึงได้ตรัสคำที่จะให้เข้าใจถึงความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เหมือนเท็จเลยเพราะลวงให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่เที่ยงแต่ความจริงไม่เที่ยงเลย และเป็นแต่ละอย่างด้วย เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ กำลังปรากฏให้เห็น จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้นเองแล้วดับ มีแขน มีขา มีปาก มีหน้า ที่ไหนหรือเปล่า เท่านั้นเองแต่ก็ไม่ใช่เท่านั้น ก็ลวงเหมือนกับว่า ยังคงมีอยู่ เป็นคนนั้น คนนี้ต่อไป

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมด้วยความเคารพ จึงเข้าใจในพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณ ซึ่งเมื่อได้ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วก็ ทรงเห็นว่า สิ่งที่เป็นจริง ยากที่ชาวโลกจะเข้าใจได้ แต่ทรงเห็นประโยชน์ที่ว่า ยังมีผู้ที่สามารถจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพระธรรมโดยประการทั้งปวง โดยหลากหลาย ใช้คำว่า “ธาตุ” ใช้คำว่า “อายตนะ” “อริยสัจจะ” จนกระทั่งถึงแม้คำว่า “นามรูปเท็จ” เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่อย่างที่กำลังปรากฏกับอวิชชาหรือความไม่รู้ เพราะเหตุว่า ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่เพียงขั้นเราคิด และเดา ว่าน่าจะเป็นอย่างนี้หรือควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง ว่าขณะนี้ไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ เพราะอะไร แม้แต่จะเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็ไม่ได้มั่นคงเลย แค่ฟังผ่านหูไป ได้ยินบ่อยๆ เหมือนจะเตือนให้ไม่ลืมว่า ความจริง คือ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะเป็นของเรา หรือจะเป็นเรา หรือจะเป็นคนหนึ่งคนใด สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย เป็นธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลายซึ่งไม่ปรากฏให้เห็น แต่ธาตุนี้ต่างจากธาตุอื่นเพราะว่า เป็นธาตุเดียวที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ เมื่อมีธาตุรู้ คือ จิต เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นเห็น ธาตุนี้ก็ไม่ได้ปรากฏว่า มีจริงๆ

    ผู้ฟัง การเกิดดับของสภาพธรรม จะได้ประโยชน์อย่างไร ที่เราฟังสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในเรื่องของการเกิดดับ เมื่อในชีวิตประจำวันเราฟังแล้ว เราก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ถึงเรื่องว่า สภาพธรรมเกิดดับ อันนี้จะได้ประโยชน์อะไร

    ท่านอาจารย์ มีคุณนิรันดร์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วไม่มี แต่ด้วยความเข้าใจผิดแล้วมี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ระหว่างความคิดว่า ไม่มีจริงๆ กับความคิดว่า มี อะไรถูก

    ผู้ฟัง ความคิดว่า ไม่มีจริงๆ ถูก

    ท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์ไหมที่รู้ถูกตามความเป็นจริง เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ และรู้อย่างนี้ เป็นประโยชน์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นประโยชน์ที่เป็นความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์ที่จะรู้ว่า ไม่มีเราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่มีธรรมแน่นอน ธรรมหลากหลายแต่ละอย่างด้วย แล้วก็สามารถจะปรากฏทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย หรือใจ ให้รู้ได้ว่า มีจริงๆ เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดชั่วคราวแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่ความยึดถือสภาพธรรมซึ่งลวงไม่ให้เห็นการเกิดดับ เหมือนกับเป็นลักษณะที่ยั่งยืน ทำให้มีความติดข้อง ยึดถือว่า มีเรา แล้วก็มีคนอื่น แล้วก็มีสิ่งอื่นด้วย แต่ว่า ตามความเป็นจริง คือ เมื่อมีความเห็นถูก ก็เข้าใจถูกต้อง แค่เพียงเข้าใจให้ถูกต้อง ก็ดีกว่าไม่เข้าใจเลย ใช่หรือไม่ หรือว่าเข้าใจผิด

    ผู้ฟัง แต่ว่าพอฟังเรื่องการเกิดดับ ในความเป็นจริงเหมือนฟังโดยผิวเผิน โดยไม่มีการเข้าถึงจริงๆ ว่า มันเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็ฟังๆ แล้วก็ผ่านไป แล้วในชีวิตประจำวันก็ยังยึดมั่นว่า เป็นตัวเราว่า เที่ยงจริงๆ ว่า ไม่ได้เกิด ไม่ได้ดับ แล้วประโยชน์จริงๆ คืออะไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้มีความทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง เมื่อวานทุกข์นิดหน่อย เจ็บไข้ร่างกาย ไม่ได้มากมายอะไร

    ท่านอาจารย์ ทุกข์นิดหน่อยแล้วก็หมดแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง หมดแล้ว

    ท่านอาจารย์ ดีไหมที่จะรู้ความจริงว่า ถึงจะเป็นทุกข์ หรือสุข หรืออะไรๆ เกิดแล้วก็หมดไป ถ้าสามารถจะเข้าใจในขณะที่กำลังเป็นทุกข์ เวลาเป็นทุกข์ไม่เข้าใจก็ทุกข์อยู่นั่นแล้วใช่ไหม เพราะไม่รู้ความจริงว่า ทุกข์เกิดแล้วก็ดับ และไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ลักษณะของความทุกข์ คือ ความไม่แช่มชื่น ใช่ไหม โทมนัส เสียใจ จะโกรธ จะเกลียด จะอะไรก็แล้วแต่ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ชอบทั้งนั้น ในขณะนั้นจึงเป็นทุกข์ ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ อยากจะให้มีทุกข์มากๆ ไหม

    ผู้ฟัง ไม่อยาก

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เวลาทุกข์เกิด เป็นเราทุกข์หรือว่าความจริงเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิด หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีปัจจัยก็ต้องเกิดเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ และไม่มีใครทำให้ด้วย นอกจากเป็นธาตุซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้น และดับไป รู้อย่างนี้ดีกว่าไม่รู้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ดีกว่าแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นคำตอบอยู่แล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง แต่โดยความเป็นจริงไม่ได้รู้อย่างนี้ เวลาทุกขเวทนาเกิด เป็นเราเต็มๆ ที่มีความทุกข์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ประโยชน์ยังไม่ได้

    ผู้ฟัง ประโยนช์ยังไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะขณะนั้นไม่ได้เข้าใจ เข้าใจเมื่อไหร่เป็นประโยชน์เมื่อนั้น ไม่เข้าใจจะให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง แล้วจะให้เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดดับได้อย่างไร เมื่อปัญญาของผู้ที่ตรัส คือ ผู้ที่ประจักษ์ คือ พระพุทธเจ้า แล้วเราคือ ปุถุชนผู้ที่ยึดมั่นเต็มที่ในเรื่องของความเป็นตัวตน

    ท่านอาจารย์ แล้วสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับสามารถจะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่เกิดดับได้เลย

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า เรา ความไม่รู้ การยึดถือ ไม่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรม ต่อเมื่อใดไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ความเห็นถูกซึ่งอบรมเจริญขึ้น จึงสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะคลายจากความเป็นเรา แม้สติที่เกิดกำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ยังมีความเป็นเรา ผู้ที่จะดับความเป็นเรา ไม่เกิดอีกเลย เป็นพระโสดาบันบุคคล แต่ก่อนจะถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ปัญญาต้องเจริญขึ้นตามลำดับ ไม่ใช่ว่า จะฟังเดี๋ยวนี้ วันนี้ ก็จะเป็นพระโสดาบัน หรือว่าไม่ใช่กำลังฟังอย่างนี้ ก็จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม โดยไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม โดยไม่ได้เข้าใจขึ้นๆ จนละคลายความยึดมั่น

    เพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วเราก็เห็นว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ส่วนการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพื่อที่จะคลายความติดข้อง และความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น กว่าจะคลายได้ ความรู้จะต้องแค่ไหน และก็ยังไม่สามารถที่จะถึงความเป็นพระโสดาบันได้เพียงเท่านี้ เพียงแต่เริ่มฟัง เริ่มค่อยๆ น้อมไป ไม่ใช่เราเลย สังขารขันธ์ ไม่ต้องไปทำความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะขณะนี้เป็นหน้าที่ของจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็นธรรม ซึ่งเป็นจิต และเจตสิก ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เป็นความรู้ ความเข้าใจ ขั้นการฟัง ขั้นการพิจารณา ขั้นการคิดตาม เป็นแค่ขั้นนี้จริงๆ ก็จะเป็นประโยชน์ในขั้นนี้

    ท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์ เพราะมั่นใจหรือยังว่า ไม่มีเราแต่มีธรรม

    ผู้ฟัง แล้วเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไป

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพียงฟังแล้วคิด แล้วไม่เชื่อ แต่ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567