พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 755


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๕๕

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกต้องในความเป็นแข็งซึ่งไม่ใช่ใคร และ สามารถรู้ลักษณะที่กำลังรู้แข็ง ในขณะที่กำลังรู้แข็งด้วย นั่นคือ แข็งปรากฏกับกายวิญญาณ แล้วก็ปรากฏกับปัญญา เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่ใช่ไปรู้อื่น แต่ว่า เมื่อแข็งปรากฏกับกายวิญญาณ ปัญญาก็เข้าใจแข็งที่ปรากฏนั้นตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีสภาพรู้แข็งให้ปรากฏลักษณะที่แข็ง ปัญญาจะไปรู้แข็งได้อย่างไรว่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น ปกติธรรมดา ธาตุรู้คือ จิต ก็แล้วแต่ว่า เกิดขึ้นรู้อะไร เพราะต้องรู้ เกิดแล้วต้องรู้ จะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็บังคับไม่ได้ เมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ก็เกิดขึ้นเห็น ขณะนั้นก็เป็นปกติ แต่ถ้าสามารถเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ความจริง คือ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ที่มหาภูตรูป แยกจากมหาภูตรูปไม่ได้เลย แต่ไม่ใช่มหาภูตรูปที่กระทบจักขุปสาท ต้องเป็นธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏให้เห็น เป็นสีสันวรรณะต่างๆ นั่นคือการที่เริ่มเข้าใจว่า ขณะนั้นสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่ใคร เป็นแต่เพียงธาตุอย่าง ๑ ซึ่งปรากฏ ขณะนั้นปัญญาก็เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นก็ปรากฏกับปัญญา เพราะฉะนั้น นี่ก็คือตามระดับขั้นของปัญญาจากการฟังจนกระทั่งรู้ลักษณะของสภาพธรรม แม้กระนั้นก็ยังไม่ถึงขั้นที่ละความติดข้อง นี่คือการเจริญขึ้นของปัญญาตามลำดับในสิ่งที่ปรากฏตามปกติ

    ด้วยเหตุนี้ ปัญญาจึงไม่ใช่จิต เห็นหรือไม่ เห็นความต่างไหม จิตเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เฉพาะรู้แจ้งแต่ไม่ได้เข้าใจในความเป็นธาตุแข็งหรือในความที่เป็นธาตุรู้ แต่ปัญญาไม่ใช่จิตแน่นอน เพราะว่า จิตที่เป็น อกุศลก็มี เป็นกุศลก็มี แต่ว่าใครจะเปลี่ยนลักษณะของปัญญาให้เป็นความไม่รู้ได้ไหม ก็ไม่ได้ นี่คือ “ปรมตฺถ” ธรรมที่เป็นจริงอย่างยิ่งซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้จริงๆ ก็คือ ธรรมดา มีแข็งปรากฏไหม มีแข็งปรากฏ ปัญญากำลังรู้ และเข้าใจลักษณะที่แข็งหรือเปล่า ผู้นั้นก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ ขณะที่เข้าใจกับขณะที่ไม่เข้าใจว่า เป็นขณะที่ต่างกัน ถ้าใช้ภาษาบาลี ภาษามคธี ก็บอกว่า ขณะนั้นจักขุวิญญาณเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา กายวิญญาณ จิตที่อาศัยกายปสาทเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบกายปสาท แล้วปัญญาไม่ใช่จิตที่กำลังรู้แจ้ง แต่ขณะที่เข้าใจก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นการเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้น ก็แยกโดยละเอียด จึงกล่าวถึงธรรมที่เป็นนามธรรมที่เกิดว่า นอกจากจิตก็มีธรรมอื่นเกิดร่วมด้วยหลากหลาย สภาพธรรมที่อาศัยจิต เกิดในจิต เกิดกับจิต ก็คือ “เจตสิกะ” คนไทยก็ใช้คำว่า “เจตสิก” เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็เป็นจิต และเจตสิก และรูปเท่านั้นเอง ทุกวันก็คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะรู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยตนเอง แต่ด้วยการฟังพระธรรม ด้วยการพิจารณา ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ แต่ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น คือ ถ้าไม่มีการฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ให้เข้าใจว่า คืออะไรแล้วก็เป็นสิ่งที่มีเมื่อเกิดขึ้น ปรากฏชั่วคราวแล้วก็ดับไป เพียงไม่กี่คำ ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ก็เพื่อที่จะให้แทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่นหรือเห็นว่า เรื่องอื่นสำคัญที่สุดในชีวิต แท้ที่จริงก็คือว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่า สำคัญไม่ใช่ปัญญาที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น อะไรสำคัญกว่ากัน และอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะว่า ทุกคนอาจจะคิดถึงเรื่องมากหลายเรื่องในแต่ละชีวิต แต่ก็ผ่านไปๆ โดยที่ไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็อย่าลืมว่า ทุกชีวิตย่อมเป็นไปตามภาวนา ภาวนาที่นี่ หมายความถึงการอบรม จะเห็นได้ อบรมจากอะไรจากสิ่งที่เห็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีการได้ยินได้ฟังเรื่องของความจริงที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ชีวิตที่จะเป็นไปข้างหน้าก็ย่อมเป็นไปตามภาวนาคือ การเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ตามที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มิฉะนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็เป็นไปตามความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จึงมีความยึดมั่นเพิ่มขึ้นๆ จนยากที่จะไถ่ถอนหรือดับให้หมดสิ้นไปได้ แต่ตราบใดที่มีพระธรรม คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงอยู่ให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้พิจารณา ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เป็นหนทางที่เมื่อมีวาจาสัจจะ กล่าวถึงคำที่มีจริงเป็นเหตุให้ผู้ฟังเกิดปัญญา “ญาณสัจจะ” และกำลังดำเนิน “มรรคสัจจะ” หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น การฟังในขณะนี้แล้วเข้าใจ จะไม่พาไปที่อื่นที่เป็นความทุกข์ ความลำบาก หรืออบายภูมิ หรือความไม่รู้ แต่จะเป็นการที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยๆ จนกระทั่งเดินไปตามทางของปัญญาที่ได้เข้าใจแล้ว ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมี และทรงอนุเคราะห์

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ คือ ปัญญานั่นเอง เพราะถ้าเราไม่อบรม ไม่ฟังธรรม ก็ไม่สามารถจะรู้ตามความเป็นจริงได้ เพราะว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง

    ท่านอาจารย์ แม้จะทรงดับขันธปรินิพพานไป ๒๕๐๐ กว่าปี แต่พระธรรมที่ทรงแสดงเรื่องความจริง ของเห็น ของได้ยิน ของได้กลิ่น ของลิ้มรส ของรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ของคิดนึก ในขณะนี้ ก็ยังมีอยู่ให้ผู้ที่ได้เห็นประโยชน์ และมีศรัทธาในอดีตกาลมาจนถึงบัดนี้ ได้มีโอกาสที่จะได้ไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่จะต้องไม่ขาดการอบรมปัญญา เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะทุกคนพิสูจน์ด้วยตัวเอง รู้ยาก เห็นยาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แม้แต่จะพูดเรื่องเห็นขณะนี้ ใจคิดถึงเรื่องอื่น ยังไม่ถึงกาลที่กำลังเข้าใจจริงๆ พูดเรื่องเห็นก็ไม่คิดถึงเรื่องอื่น แต่กำลังเริ่มเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ นี่คือกว่าจะมีการได้ฟังจนกระทั่งน้อมเข้ามาในตน “โอปนยิโก” พระธรรมคุณ ไม่ใช่ไปที่คนอื่น แต่พระธรรมทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟังเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มี และทุกคนก็ไม่รู้ความจริง และยึดถือว่า เป็นตัวตน จนกว่าได้เข้าใจขึ้น โลกก็คือ ขณะ ๑ ซึ่งกำลังปรากฏแต่ละทาง

    ในขณะที่แข็งกำลังปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นเลย นี่คือ สิ่งที่จะเก็บไว้ในหทัย คือ ในใจ ให้มั่นคงว่า ไม่มีอะไรเลย ที่คิดว่ามีเพราะเหตุว่า จิตเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ขณะใดก็ตาม สิ่งที่มีแล้วด้วย ขณะนี้แข็งก็มีเกิดแล้ว เห็นก็มีเกิดแล้ว ได้ยินก็มีเกิดแล้ว สิ่งต่างๆ ที่มีเหล่านี้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่า แท้ที่จริงเป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรู้แจ้ง “นิพพาน” การดับกิเลสที่จะเป็นไปได้จริงๆ เมื่อปัญญาได้อบรมเจริญแล้วก็คือว่า ค่อยๆ อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก แล้วก็จะรู้ว่า แม้ฟังมาก็เป็นความรู้ขั้นปริยัติ ฟังเพื่อที่จะสะสมความเห็นถูกว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่แม้กระนั้นถ้าไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ เป็นเครื่องยืนยัน ก็ไม่สามารถที่จะค่อยๆ เห็นถูกในสภาพธรรมนั้นตามที่ได้ฟัง เช่น ขณะนี้แข็งปรากฏ ปัญญาแค่ไหน ฟังมาแค่ไหน ค่อยๆ เข้าใจหรือเปล่าว่า แข็งเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นส่วนหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ เพราะว่า แข็งมีกำลังปรากฏ จะเอาแข็งออกไปจากขณะนี้ที่ปรากฏแล้วว่ามี ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สังสารวัฏฏ์คือ ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งปรากฏที่ละ ๑ สืบต่อกัน แต่ว่า ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย ก็เข้าใจว่า แต่ละ ๑ นั้นเป็นเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเห็น เป็นได้ยิน เป็นคิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ เพราะฉะนั้น ก็คือว่าเป็นผู้ที่ตรง ฟังธรรมเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นธรรมแค่ไหน แต่ว่า จะไม่พ้นจากความจริงเลย เป็นสัจจะวาจา เป็นสัจจธรรมที่จริงตลอด ไม่ว่าในสมัยก่อน อนาคตที่ยังไม่เกิด หรือขณะนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งที่มีโอกาสได้เห็นถูก เข้าใจถูก จากการที่ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้เลยในกาลที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อฟังแล้ว มีสิ่งที่เป็นธรรมจริงๆ ที่ปรากฏให้เข้าใจขึ้น

    อ.กุลวิไล ถ้าเราไม่ได้ศึกษาพระธรรม เราไม่รู้ว่า แข็งมีจริง อาจจะแข็งก็แข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปเลย เป็นโต๊ะ เป็นสิ่งของ เป็นข้าวของมากมาย แต่แข็งเป็นธรรม แล้วแข็งก็ปรากฏได้ทางกายเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น แค่แข็งเท่านั้นเอง ถ้าเราไม่รู้ลักษณะแข็งตามความเป็นจริง ความติดข้องในแข็งก็ย่อมมี และความไม่รู้ในแข็งก็ต้องมี

    ท่านอาจารย์ กระทบแข็งกันทุกคน บ่อยๆ ด้วยในแต่ละวัน แต่ขณะไหนที่กำลังเข้าใจแข็งว่า เป็นธรรม เท่านั้นเองขณะนั้น และไม่มีอย่างอื่น นี่คือ การเริ่มรู้ลักษณะของธรรม เพราะว่า ธรรมแต่ละธรรมต้องมีลักษณะที่ส่องถึงความเป็นธรรมนั้นๆ จนทั่ว ไม่ใช่เฉพาะแข็ง ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นเห็น ไม่ว่าจะเป็นโกรธ ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกอย่างที่มีจริงเป็นสิ่งซึ่งจะรู้ได้ รู้ลักษณะเมื่อไหร่ เป็นการเริ่มต้นของการที่จะศึกษา และเข้าใจธรรมขณะนั้นว่า เป็นธรรม ซึ่งธรรมดาปกติอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เป็นอย่างนี้เอง วันก่อนก็พูดอย่างนี้ วันโน้นๆ ก็พูดอย่างนี้ ต่อไปก็จะพูดอย่างนี้ เบื่อไหม เพราะยังไม่รู้แข็งใช่ไหม ถึงต้องพูดแล้วพูดอีก ยังไม่รู้เสียง ยังไม่รู้ได้ยิน ยังไม่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่รู้เห็น

    เพราะฉะนั้น จะเลิกพูดดีไหมในเมื่อยังไม่รู้กันเลย ก็ต้องพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ชั่วขณะที่เดี๋ยวนี้แข็งมีปรากฏ ลักษณะที่แข็งนี่แหล่ะเป็นธรรม เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็มีธรรมอื่นซึ่งยังไม่รู้ในแต่ละลักษณะ จนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องหาธรรมเลย มีธรรม แต่ไม่รู้จัก และไม่เข้าใจธรรม ก็เพียงฟังจนกว่าจะเข้าใจความป็นปกติของแข็งที่ปรากฏว่า เริ่มรู้ตรงแข็ง ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้เลย เริ่มรู้แล้วก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมอย่าง ๑ แต่ในขณะนั้นก็รู้ว่า มีธรรมอีกมากในวันหนึ่งซึ่งไม่ได้รู้ เหมือนกำลังรู้แข็งที่กำลังปรากฏ แล้วแต่ไม่ใช่เฉพาะแข็ง อะไรก็ได้ เสียงก็ได้ กลิ่นก็ได้ และไม่มีการบังคับแต่ต้องเป็นไปตามภาวนา คือ การอบรมของแต่ละคนการเหตุตามปัจจัย

    อ.กุลวิไล เพียงแข็งเท่านั้นเอง เป็นเราได้อย่างไร และขณะที่แข็งปรากฏต้องไม่มีสิ่งอื่นด้วย ไม่ใช่ขณะที่เสียงกำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ก็มีเสียง มีตลอดเลย แล้วรู้เสียงที่ปรากฏหรือเปล่า มีใครบ้างที่กำลังรู้เสียง ด้วยความเข้าใจตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมมีมากมายหลากหลาย ไม่เว้น ไม่ขาดไปเลย ที่จะปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งต่างๆ กันไป แต่ก็ยังไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นที่กำลังปรากฏ แต่สามารถจะรู้ได้ไหม ถ้ารู้ไม่ได้พระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงความต่างของอวิชชากับวิชชา อวิชชารู้ไม่ได้แน่ๆ ผ่านไปแล้วเมื่อสักครู่นี้กี่เสียงใช่ไหม นับได้ไหมว่าเท่าไหร่ นับไม่ได้เลยมากมายก็ไม่รู้มากมายเท่านั้นตามเสียงที่ปรากฏ กำลังเห็นขณะนี้ ไม่ได้เข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมของสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ชั่วขณะที่เห็น รู้อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็อวิชชาทั้งนั้นเลย

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นวิชชาซึ่งตรงกันข้ามก็ไม่ได้รู้อื่น แต่จากการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ทีละเล็กทีละน้อยก็จะทำให้ แม้ขณะนั้นแทนที่จะเป็นไม่รู้ ก็เป็นรู้ คือ เริ่มรู้ลักษณะของเสียง ตรงเสียงที่กำลังปรากฏ และก็เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นปรากฏ มีจริงเพียงชั่วคราว ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริง เพราะเสียงเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เสียงเมื่อสักครู่นี้แล้ว เสียงต่อไปก็ไม่ใช่เสียงเดี๋ยวนี้แล้ว

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่เพียงชั่วคราว เย็นปรากฏหรือเปล่า ค่อยๆ ไปทีละลักษณะของสภาพธรรม เย็นกำลังปรากฏ สามารถที่จะรู้เฉพาะเย็นในขณะนั้น ยังไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย ได้ไหม ในเมื่อเวลาที่อย่างอื่นปรากฏหรือเย็นปรากฏ คิดถึงเรื่องอื่นได้ทันที แต่ไม่คิดถึงเรื่องอื่นได้ไหม ลองคิดดู เป็นไปได้ไหม แทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น ก็กำลังรู้เย็นที่ปรากฏ ต่างกับเวลาที่เย็นปรากฏแล้วก็ผ่านไป เสียงปรากฏแล้วก็ผ่านไป เป็นการที่ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ รู้ลักษณะนั้น แทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้ ทำไมคิดถึงเรื่องอื่นคิดได้ แต่ทำไมจะรู้ตรงนั้นแทนคิดไม่ได้หรือ แต่ต้องมีเหตุปัจจัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไรถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เป็นธรรม เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้ว่า ขณะนั้นเองลักษณะของธรรมปรากฏ

    เพราะฉะนั้น กำลังรู้ลักษณะที่ปรากฏสั้นมาก แล้วก็หมดไปแล้ว เพราะฉะนั้น การที่ได้ฟังแล้วฟังอีกไม่ว่าจะบ่อยเท่าไหร่ ในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไหน ก็คือ เพื่อสะสมความเห็นถูก ทันทีที่รู้ลักษณะนั้นที่ปรากฏ สามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นเพียงลักษณะธรรมอย่างหนึ่ง โดยที่ว่า เวลาที่สภาพธรรมอื่นเกิดก็ยังรู้ว่า สภาพธรรมที่เกิดต่อไม่ใช่สภาพธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้น เรื่องของความเข้าใจถูก และความเห็นถูกที่เป็นปัญญา ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามการอบรบคือ ภาวนา ไม่มีหนทางอื่นเลย เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า นานเท่าไหร่ที่จะเริ่มเข้าใจได้ แม้เพียงขณะที่กำลังเห็นว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เป็นอย่างอื่นนี่ถูกไหม สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ เป็นอย่างอื่น ถูกต้องไหม หรือว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏให้เห็นเมื่อจิตเห็นเกิดเท่านั้นเอง สะสมความเห็นถูกจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ วันหนึ่งค่อยๆ สะสมความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนเป็นผู้ที่คุ้นเคยต่อลักษณะของสภาพธรรมว่า เป็นธรรม มิฉะนั้น จะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ปัญญา” ความเห็นถูก คือ ความเข้าใจความจริงของลักษณะนั้น ไม่ใช่ไปเป็นอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นความอดทนอย่างยิ่งที่ฟังโดยไม่หวังว่า เมื่อไหร่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แทนที่จะเป็นการไม่รู้ และคิดนึกถึงเรื่องอื่น

    ผู้ฟัง พอได้ยินคำว่า เป็นเพียงสิ่งที่ระลึกเท่านั้น หมายความว่า ในการที่ระลึกก็พอแล้วที่จะรู้เกี่ยวกับสี เกี่ยวกับรูปหยาบนี้เพื่อที่จะให้เข้าใจธรรมเจริญต่อไปหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเหตุว่า สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้มีแน่ๆ

    ผู้ฟัง มีแน่ๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ก็หมดไปแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีในขณะนี้เพียงอาศัยระลึก เพราะฉะนั้น เพียงอาศัยระลึก ยังไม่ดับไป ยังไม่หมดไปเพราะว่า การเกิดดับไม่ได้ปรากฏ แต่ว่า ตราบใดที่ยังเกิดดับสืบต่อ ปรากฏเป็นลักษณะ ๑ ไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย แต่ภาษาไทยจะใช้คำว่า ระลึกหรือรู้ตรงลักษณะนั้นก็ได้ ขอให้ได้เข้าใจว่า ขณะนี้สภาพธรรมที่ปรากฏ เกิดแล้ว ดับแล้ว หมดแล้วก็ไม่รู้ อวิชชาเต็มเพียบ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว แต่ว่า ตามความเป็นจริงคือ เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น อาศัยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงแสดงหนทางที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี แม้สั้นเพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป ว่าสิ่งที่มีนี้ เป็นสิ่งที่เพียงอาศัยระลึกแล้วดับ เพราะฉะนั้น การสะสมความเห็นถูกที่จะเข้าใจว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา เพื่อที่จะได้ละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเรา เพราะว่าพระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงเพื่อละความติดข้อง เพราะความไม่รู้ จึงยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตาหรือเป็นสักกายะ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจความจริงว่า สภาพธรรมที่มี มีจริง แต่เพียงอาศัยระลึกแล้วก็ดับ ปัญญาต้องอบรมไป จนกว่าจะเข้าถึงความหมายที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง มิฉะนั้น จะไม่เข้าใจอริยสัจจ์ ๔ เช่น ทุกขอริยสัจจะ และสมุทยอริยสัจจะ ลึกซึ้งเพราะเห็นยาก ว่าขณะนี้สภาพธรรมที่มีเพียงชั่วคราว ถ้าจะรู้ความจริง ก็เพราะเหตุว่า กำลังรู้ตรงนั้น จะใช่คำว่า “ตามรู้” คนที่ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดก็จะคิดว่า ตามห่างๆ ใช่ไหม แต่ความจริงในขณะที่สิ่งนั้นมี รู้สิ่งที่กำลังมีจึงชื่อว่า ตามรู้สิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งอื่นที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องฟังให้เข้าใจความจริง ไม่ใช่เพียงแต่คิดว่า พยัญชนะนี้แปลว่าอย่างนี้ หรือหมายความว่าอย่างนี้ ก็เข้าใจว่าอย่างนี้ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะแม้แต่คำว่า “เพียงอาศัยระลึก” เตือนให้รู้ว่า เพียงระลึกก็หมดแล้ว ปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงอย่างนั้นจึงชื่อว่า รู้อริยสัจจะ ทุกขอริยสัจจะ การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม

    เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง จากการได้ยินได้ฟังหรือเปล่าว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เท่านี้จะละความติดข้องไหม จะละความไม่รู้ไหม จะละการที่เคยยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไหม ยังไม่ละ แต่ว่าเริ่มเข้าใจถูกใช่ไหม มั่นคงหรือยัง ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้ววันหนึ่งกี่ครั้งหรือไม่มีเลย ๗ วันมีสักครั้งหรือเปล่า มีบ่อยหรือเปล่า ไม่มั่นคงเลยใช่ไหม ต่อเมื่อใดมั่นคงก็จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เข้าใจไม่ใช่จำ เข้าใจจริงๆ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังมี เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นเสียงขณะนี้ก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง อาศัยคำทำให้เข้าใจได้ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินเท่านั้นเอง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567