พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 776


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๗๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ แล้วจะเป็นที่ใช้คำว่าสติปัฏฐานหรือไม่ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ว่าฟังเข้าใจเรื่องรูป ๒๘ รูป เรื่องจิต ๘๙ ประเภท เรื่องเจตสิก ๕๒ แล้วเดี๋ยวนี้ อะไรก็ไม่ปรากฏสักอย่าง ที่จะให้รู้ตามความเป็นจริงตรงตามที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่เห็นความต่างของปริยัติกับปฏิปัตติ แล้วก็เป็นผู้ที่รู้ได้ด้วยตัวเอง ว่าเริ่มที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอนัตตา นั่นจึงจะเป็นปัญญา แต่ด้วยความจงใจที่เราจะรู้ ผิดอีกแล้ว ไม่ใช่อีกแล้ว ความรู้ไม่มั่นคงแล้ว เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า แม้อย่างนั้นก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา เพราะฉะนั้น วิปัสสนาจะเป็นเมื่อไหร่ ขณะไหน ต้องเป็นความรู้ชัดก่อนการที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ผู้ฟัง ก็ฟังๆ ๆ ๆ ซ้ำๆ แต่ก็ความเข้าใจก็ยังไม่มี เกิดช้ามาก

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความจริง ต้องเป็นผู้ตรง ช้าอย่างนี้ถึงจะถูก

    ผู้ฟัง ช้าอย่างนี้ถึงจะถูก ไม่ทันใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ก็จะทันใจได้ไง ทันใจคือ “อกุศล”

    ผู้ฟัง แต่ก็มีคำถามที่ว่า ทำไมท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านถึงสามารถที่ได้ดวงตาเห็นธรรมโดยเร็วนัก

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนเป็นโลกุตตรปัญญาจะเกิดได้เมื่อไหร่ ถ้าไม่มีโลกียปัญญา ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งหมด เพราะฉะนั้น ปัญญาที่กำลังประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานเป็นโลกุตตรปัญญา แต่เวลานี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นโลกุตตรปัญญาหรือเปล่า ไม่ใช่ กำลังฟังให้เข้าใจ จนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะเป็นความรู้ชัดซึ่งใช้คำว่าวิปัสสนาญาณ ตามลำดับด้วย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามลำดับ

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์กล่าวถึง ปริยัติ แล้วก็ ปฏิปัตติ ปริยัติคือ ความรอบรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง คือ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง คือจากฟังเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา และเรื่องของการเห็น เรื่องของแข็ง การรู้แข็ง ก็เข้าใจว่าแสดงถึงสิ่งที่มี แล้วก็มีการน้อมไปที่จะนึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนั้น ซึ่งความรู้ความเข้าใจไม่ใช่คิดแค่เรื่อง แต่ว่ามีการที่จะรู้ว่าขณะนี้ก็มีเห็น ซึ่งก็ยังไม่ใช่ขณะที่สติระลึก ความรู้ของความต่างกันว่า การเพียงนึกถึงว่า มีธรรมที่กำลังปรากฏกับการที่จะรู้ในลักษณะของธรรมนั้นคือ ความรู้ต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า ยังไม่ถึงปริยัติที่รอบรู้ เวลานี้ทุกคนตอบได้มีเห็น

    อ.วิชัย ใช่

    ท่านอาจารย์ แน่ๆ กำลังเห็นแล้วตอบว่าไม่มีนี่หมายความว่าอย่างไร เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะฉะนั้น ไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็ตอบได้ ไม่รู้ว่าเห็นเป็นอะไรก็ตอบได้ว่า มีเห็น กำลังเห็น ไม่ใช่ปริยัติ เพราะไม่ได้เข้าใจเห็น แข็งไหม แข็งก็ไม่ได้เข้าใจอะไร ไม่ใช่ความรอบรู้ในแข็ง

    อ.วิชัย แล้วความรอบรู้คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความรอบรู้ คือ ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะมั่นคง ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน เมื่อมีสิ่งนั้นแล้ว รู้ไหมว่าสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน รูปหนึ่งที่สามารถกระทบตาปรากฏได้ขณะนี้ก็คือ “วรรณรูป” จะใช้คำว่าสี จะใช้คำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้ ก็ได้ทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ไหน ต้องอยู่ที่มหาภูตรูป พอจะคลายไหม อย่างคุณวิชัยเป็นคุณวิชัย แต่พอฟังแล้ว ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่นรส โอชา อยู่ตรงนั้น ทำให้มีรูปที่สามารถกระทบจักขุประสาท แล้วก็ดับเร็วมาก แต่การเกิดดับสืบต่อก็มีรูปร่างสัณฐาน ซึ่งจำได้ ไม่ต้องเรียกชื่อด้วยซ้ำไป พอเห็นก็จำได้เลย

    เพราะฉะนั้น กว่าจะ คุณวิชัย ก็คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่ไม่มี มี มีอะไร มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วธาตุดินที่แข็งที่ตัวคุณวิชัยเป็นอะไร ก็เกิดดับ และก็ไม่เป็นอย่างอื่นด้วย นอกจากลักษณะที่แข็ง เพราะฉะนั้น เรายึดถืออะไร ยึดถือคุณวิชัยว่ามีจริงๆ เพราะไม่รอบรู้ว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่มีจริงที่เป็นรูปธรรม รูปไหนปรากฏได้เพราะอะไร แม้แต่เพียงการที่จะปรากฏว่ามีจริงๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีจักขุปสาท จะใช้คำว่ารูปที่ตัวทั้งหมด มีรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เหมือนกระจก อะไรผ่านไปก็สามารถจะเห็นได้ แต่ถ้าเป็นเหล็กเป็นไม้อะไรผ่านไปก็เห็นไม่ได้ ไม่มีอะไรที่จะกระทบให้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น รูปนี้กระทบได้กับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แล้วก็ยังต้องมีปัจจัยคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว สิ่งนั้นที่กระทบ เป็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นกรรมเป็นปัจจัยให้ผลของกรรมเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เลือกไม่ได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ความรอบรู้จนกว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ละหนึ่ง หาความเป็นสัตว์ บุคคล ไม่ว่าในสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย แล้วจะค่อยๆ คลาย คุณวิชัยเป็นวิทยากร แล้วก็มีความรู้ และก็พูดเรื่องธรรม ช่วยให้คนอื่นเข้าใจ แล้วคุณวิชัยก็เป็นลูกของคุณแม่คุณพ่อ คุณพ่อคุณแม่ก็ผูกพัน คุณวิชัยมีจริงๆ นี่ลูกฉัน ใช่ไหม และเมื่อไหร่จะละคลายความที่เคยยึดถือว่าเป็นเพื่อน เป็นวิทยากร เป็นผู้มีความรู้ หรือว่าเป็นบุตรหลานก็ตามแต่ โดยเป็นแต่เพียงธาตุที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรอบรู้จริงๆ อะไรจะไปน้อมใจที่จะละการที่เคยติดอย่างเหนียวแน่นมาก แม้แต่ขณะที่เป็นคุณวิชัย ก็ต้องมีการเห็น ถ้าไม่มีการเห็นจะไปมีรูปร่างสัณฐานที่ปรากฏให้จำว่าเป็นคุณวิชัยได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น โลกเป็นโลกของธรรม ซึ่งสืบต่ออย่างรวดเร็วแล้วไม่ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะว่าเกิดดับปรากฏเพียงเงา แต่ถ้าไม่มีรูปร่างกาย ก็จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องเข้าใจ อย่างคำว่า กาย ที่ประชุมมีทั้งที่ประชุมของรูป ที่ประชุมของนาม และก็ประชุมกันทั้งนาม และรูป ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นคน เป็นสัตว์ กว่าจะค่อยๆ สละละคลายความติดข้อง เพราะเข้าใจขึ้นๆ

    เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ที่ชาวพุทธละเลยคือ ไม่สนใจที่จะเข้าใจพระธรรม แต่สนใจที่จะทำอย่างอื่น ที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ขาดประเพณีที่สำคัญที่สุดในครั้งพุทธกาล ประเพณีของชาวสาวัตถี ซึ่งพระวิหารเชตวันก็อยู่ไม่ไกล อยู่ในเขตพระนครสาวัตถี ชาวเมืองสาวัตถีพอเสร็จกิจธุระยามเย็น ก็ถือดอกไม้ธูปเทียนไปเฝ้าฟังพระธรรม นี่คือประเพณี และทำไมไม่สืบต่อประเพณีฟังธรรม ไปสืบต่อประเพณีไม่เข้าใจธรรม นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ก็แล้วแต่การสะสม เพราะว่าการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ง่าย นานๆ แสนนานก็จะมีสักพระองค์หนึ่ง แล้วเมื่อตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรม พระธรรมก็อันตรธานด้วย ไม่ใช่ว่าจะยั่งยืนตลอดไป อันตรธานจากใจที่ไม่เข้าใจธรรม เมื่อไหร่ที่ไม่เข้าใจเมื่อนั้นก็อันตรธาน

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ปริยัติ ฟังเพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ประมาทว่า อวินิพโภครูป ในภาษาบาลีหมายความถึง กลุ่มของรูป ซึ่งประกอบด้วยรูป ๘ รูป ซึ่งแยกจากกันไม่ได้ หรืออะไรอย่างนี้ แค่นั้นไม่พอเลย แล้วเดี๋ยวนี้ ความเข้าใจทั้งหมดแม้แต่ในขั้นคิดพิจารณา ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจแล้วก็จะรู้ความต่างของขณะที่คิด กับขณะที่ไม่ต้องคิด ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะคุ้นเคย อย่างคนที่เห็นคุณวิชัยครั้งแรกจำไม่ได้ เห็นบ่อยๆ ไม่ต้องบอกก็จำได้ ไม่ต้องเรียกชื่อก็รู้ว่า อะไร สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ก็อย่างนี้แหละ แต่ว่าสะสมความไม่รู้มานานแสนนานมาก แล้วก็เพิ่งได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังนิดเดียวก็จะไปปฏิบัติ หรือว่าจะไปรู้ลักษณะของสภาพธรรม ลืมคำว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เข้าใจความหมายของปัญญาด้วยความรู้หรือความเห็นถูกว่าหมายความถึง เข้าใจสิ่งที่มีตามปกติ

    เพราะเหตุว่า ได้ฟัง และก็ได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้ายังคงอยากก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย แต่พอละความติดข้อง ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้นโดยไม่ใช่ว่าเราไปอยากให้ประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับในขณะนี้ แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ความเข้าใจมากแค่ไหน เรามีเรื่องที่เราสนใจมากกว่าธรรมหรือเปล่า เรื่องนั้นก็ใหญ่โต เรื่องนั้นก็สำคัญ เดี๋ยวเช้าทำอะไร กลางวันทำอะไร บ่ายทำอะไร ว่างๆ ก็ฟังธรรมซักหน่อยหนึ่ง หรืออะไรอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ฟังกับสิ่งที่เราเข้าใจว่าสำคัญมากที่ยึดติดมา ห่างไกลกันแค่ไหน เพราะฉะนั้น ปัจจัยที่จะให้ผูกพันกับธรรม แทนที่จะผูกพันกับ กาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ต่างกัน เป็นอุปนิสัยซึ่งกว่าจะค่อยๆ สะสมจนกระทั่งมากพอที่จะเห็นประโยชน์ว่า ทั้งชีวิตที่เกิดมาแล้ว สิ่งที่ประเสริฐสุดคือ “ได้เข้าใจพระธรรม” มิเช่นนั้นแล้วมีอะไร ตอนเป็นเด็กก็สนุกมาก เรียนหนังสือ ไปเที่ยวอะไรต่างๆ ไม่มีใครคิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน ไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิดเดียว แต่ก็เห็นได้ว่าต่างกันมาก ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มา ยังเป็นของเราตลอดไปหรือเปล่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แค่ทรัพย์สินที่อยู่ห่าง กายทั้งกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก็ไม่ใช่ของเรา และก็ไม่ใช่ของใคร เพียงไม่มีจิตเกิดที่รูปนี้เท่านั้น เป็นไง ถ้าไม่มีจิตกายนี้ก็คือ รูปที่เหมือนท่อนไม้ แล้ว เป็นของเราหรือเปล่า ตาสวย เอาตาไปได้ไหม ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้สักอย่างเดียว แม้แต่การศึกษาอย่างสูงมาก จบปริญญาหลายปริญญาก็ตามแต่ ความชำนาญเชี่ยวชาญทั้งหมดตามไปได้ไหม ก็ไม่ได้เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น จะเข้าใจความหมายของชั่วคราวว่า จิต แต่ละหนึ่งขณะ เกิดตามเหตุตามปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ต้องเป็นไป เกิดแล้วก็แค่ปรากฏแล้วหายไปเลยไม่กลับมาอีก ทั้งหมดเป็นอย่างนี้ทุกวัน ทุกชาติ ไม่มีอะไรเลยที่พอที่จะมาเป็นของเราได้สักอย่างเดียว แล้วก็ยังคงหลงติดสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ หรือ ไม่มีวันจบด้วย และไม่ใช่มีแต่ความสุข ความทุกข์มากมาย แต่มองไม่เห็นเลย เพียงแค่ไม่มีอาหารสักมื้อ สองมื้อ สามมื้อ ต่อๆ ไปเป็นไง ก็อยู่ไม่ได้แล้วใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดประเสริฐที่สุดแต่ละชาติ เกิดที่ไหนก็ตาม แผ่นดินไหนก็ตาม โลกไหนก็ตาม ประโยชน์แท้จริงสูงสุดคือ ได้เข้าใจพระธรรม แต่ก็ยาก อบรมเพื่อละ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดถึงว่าวันไหน เสมือนท่านโกณฑัญญะ หรือว่าจะเหมือนบุคคลนั้น บุคคลนี้เลย เข้าใจไม่ใช่ของใคร ปัญญาเกิดแล้วปัญญาก็ดับ แต่ก็สะสม ที่สามารถที่จะเข้าใจ ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่จะรู้ความต่างของขณะที่กำลังเริ่มมีลักษณะที่เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งอย่างปรากฏ ขณะนั้นก็รู้ได้ว่าต่างกับที่ไม่เคยได้ฟัง ก็ยังอีกไกล นี่เพียงขั้นเริ่ม ยังไม่คุ้นกับการที่จะรู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ชั่วคราว แล้วจึงค่อยๆ ละคลาย

    อ.คำปั่น ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมมาวันนี้ ก็เป็นประโยชน์มากเลย ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความจริง ซึ่งก็เป็นการกล่าวตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีจริงนั้นก็มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่ายุคนั้นสมัยนั้นจะมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกหรือไม่ ที่จะมีการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็ทรงแสดงธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งก็มีข้อความที่ปรากฏในอรรถกถา ที่แสดงถึง พระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์นั้นทรงมีพระนามต่างๆ ก็เกิดขึ้นจากพระคุณของพระองค์ โดยที่ไม่มีใครแต่งตั้งให้ พระนามหนึ่งของพระองค์คือ “ตถาคต” ซึ่งความหมายของตถาคตนี้ ก็มีหลายความหมายหลายอรรถ แต่ก็มีอยู่อรรถหนึ่งก็ควรแก่การพิจารณาจริงๆ ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ตรัสซึ่งคำจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่า หลังจากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม เริ่มตั้งแต่ วันเพ็ญเดือน ๘ ที่ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก โปรดพระภิกษุปัญจวัคคีย์ เรื่อยมา จนกระทั่งถึงวาระที่พระองค์ใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ตรัสเฉพาะวาจาจริง หรือว่าวาจาสัจจะ หรือว่าคำจริง ซึ่งคำจริงเป็นคำที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่มีจริงโดยแท้ เพราะว่าไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่มีศรัทธาเห็นประโยชน์ที่จะฟังที่จะศึกษาให้เข้าใจ ซึ่งเมื่อวานท่านอาจารย์ก็ได้ใช้คำที่ไพเราะ ว่าเป็นการเพาะปัญญา

    เพราะเหตุว่า การฟังพระธรรมในแต่ละครั้งก็เป็นการสะสมความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ จากที่ไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อได้ฟังจากครั้ง ๑ เป็นครั้งที่ ๒ เพิ่มเป็นครั้งที่ ๓ เป็นต้น ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาในที่สุด ซึ่งในอรรถกถา ท่านก็ได้อธิบายขยายความไว้ว่า ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก ก็มีข้ออุปมาที่น่าพิจารณาทีเดียวว่า เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ผักกาดถูกบังด้วยภูเขา นี่แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้มีมากมาย การที่จะเห็นธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงนั้น เป็นสิ่งที่ยากจริงๆ ซึ่งก็จะขาดเหตุไม่ได้เลย ก็คือเหตุแห่งการเจริญขึ้นของปัญญาก็คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ฟังสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ นี่แหละคือเหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ไม่ว่าจะเกิดในภพใดมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวก็คือ เพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้น

    อ.กุลวิไล ยังมีอีก ๑ คำถาม มีผู้เขียนมาถามว่า “เมื่อเพื่อนประสบปัญหาในชีวิต จะแนะนำอย่างไรดีจึงจะถูกต้องเป็นไปตามพระธรรม”

    อ.วิชัย ปัญหาก็คงมีมาก แต่ที่สำคัญคือ เข้าใจพระธรรมหรือเปล่า เมื่อเข้าใจพระธรรม ปัญหาทุกอย่างก็สามารถที่จะรู้ว่า จริงๆ แล้วคือไม่มีอะไร ก็เป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย จะห้ามไม่ให้ประสบกับการเห็นที่ไม่ดี การได้ยินที่ไม่ดี การได้กลิ่นไม่ดี ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า เพราะกรรมได้กระทำมาแล้ว ต้องได้ประสบความทุกข์ เพราะมีเหตุคือ กระทำกรรมที่ไม่ดีมาแล้วจึงได้รับผลอย่าง เห็นไม่ดีบ้าง ได้ยินไม่ดีบ้าง แต่เพราะผลของกุศลกรรม การเห็นที่ดีจึงมีขึ้น เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดคือ การได้เข้าใจพระธรรม

    อ.กุลวิไล อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า เกิดมาแล้วประเสริฐสุด คือ ความเข้าใจพระธรรม

    ผู้ฟัง คำถามก็คือว่า สัจจะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร เพราะว่าการที่ได้ศึกษาพระสูตร เวลาพระพุทธเจ้าแสดงพระสูตร พอจบพระสูตรแล้ว ก็จะมีผู้ที่บรรลุเป็นพระอริยะบุคคลมากมาย เพราะฉะนั้น การที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ก็คงจะต้องเป็นวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ฟังความจริง ฟังสัจจะ เกี่ยวโยงไปทางวิปัสสนาได้อย่างไรกราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาต้องเป็นปัญญาที่รู้ชัด รู้ชัดในอะไร ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง หมายความว่าพอฟังสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ วิปัสสนาญาณเกิดขณะนั้น ถือว่าเป็นความสมบูรณ์ของปัญญาที่มีอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ รู้ชัดตรงตามที่ได้ฟัง ทุกอย่าง เกิดขึ้น และดับไป ได้ยินคำนี้แล้วก็กำลังรู้ชัดในการเกิดขึ้น และดับไปของธรรมที่กำลังปรากฏ

    อ.กุลวิไล ก็เหมือนกับที่ท่านอัสสชิแสดงกับพระสารีบุตรด้วยข้อความที่ว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตแสดงเหตุเกิด และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น ซึ่งท่านก็แสดงอริยสัจจ์ ๔ นั่นเอง เพราะว่าขณะนี้ก็มีสภาพธรรมที่เกิดจากเหตุ ซึ่งก็คือชีวิตประจำวันในขณะนี้เอง

    อ.วิชัย หมายความว่า การรอบรู้ในปริยัติทั้งหมด เพื่อรู้สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปริยัติ จะมีปฏิปัตติไม่ได้ จะมีปฏิเวธไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามีปฏิบัติก่อนแล้วมารู้ปริยัติ แล้วก็จะไปมีปฏิเวธก่อนก็ไม่ได้เหมือนกัน ต้องตามลำดับจริงๆ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า สีเกิดที่มหาภูตรูป ๔ แต่ว่าขณะที่สีปรากฏ ก็คิดถึงว่าเกิดที่มหาภูตรูป ๔ เข้าใจว่าเกิด แต่ว่าไม่ได้รู้อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นไม่ใช่ปฏิปัตติ แต่เป็นการคิดเรื่องของสิ่งที่ปรากฏ เพื่อให้เข้าใจในความไม่ใช่ใครสักคน แต่ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเป็นอนัตตา กว่าจะคุ้นเคยกับคำว่าธรรม และ อนัตตา ก็ต้องอาศัยการฟังโดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะน้อมไปเข้าใจถูกจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะแม้จะได้ฟังว่า จิตเห็น เห็นอะไร ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ไม่พอ แต่ถ้ายิ่งมีความละเอียดขึ้นให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้มีจริง แต่ว่าอยู่ที่ไหน

    อ.วิชัย หมายถึงว่า เป็นความรอบรู้จริงๆ แม้ขั้นการฟังก็ต้องรอบรู้อย่างละเอียด

    ท่านอาจารย์ แน่นอน มิฉะนั้นแล้วก็ไปหวังว่าจะปฏิบัติ แต่ไม่ใช่อนัตตา ไม่ใช่ปัญญา เป็นตัวตนที่ทำ อย่างนั้น

    ผู้ฟัง ในพระสูตรที่ได้กล่าวว่า ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ โลกมืดทั้งหมดหรือว่าแม้แต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติแล้ว ตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรมแล้ว แต่เราก็เกิดในที่ ที่ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม หรือเมื่อได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วแม้พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ หรือยังไม่เข้าใจธรรม ไม่ได้ฟัง จริงๆ แล้วโลกก็สว่างตลอดเวลา มีสิ่งต่างๆ สว่างอยู่ตลอดเวลา ทำไมถึงได้กล่าวว่า มืดตลอดเวลาเมื่อไม่ได้เข้าใจพระธรรม

    ท่านอาจารย์ สว่างแล้วรู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้ว่าเป็นสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ รู้อะไร ขณะนี้สว่างอย่างนี้ รู้อะไร

    ผู้ฟัง ก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ เป็นท่านอาจารย์ เป็นสิ่งต่างๆ ก็เป็นความเข้าใจแต่เดิมๆ ที่เราเคยรู้มา

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรา แล้วก็เป็นดอกไม้

    ผู้ฟัง งั้นแม้จะสว่าง แต่เราก็ยังอยู่ในความมืดของความไม่รู้ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ ความรู้ต่างกับความไม่รู้ไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ จากไม่รู้เลยทั้งสิ้น มาเป็นความเข้าใจขึ้นทีละเล็กที่ละน้อย เริ่มสว่าง ที่จะเห็นสิ่งที่เป็นจริง มีจริง ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามที่ลวงให้เห็นว่าเป็นดอกไม้ หรือว่าเป็นคน หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ผู้ฟัง ขณะที่ฟังพระธรรม ได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็เริ่มสว่างจากความมืด

    ท่านอาจารย์ ลวงว่าเป็นคุณนิรันดร์เห็น ใช่ไหม สิ่งที่สว่าง แต่ความจริงเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่คุณนิรันดร์ รู้ว่าเห็นเป็นเห็น ไม่มืดเหมือนอย่างที่เห็นแล้วเข้าใจว่าเป็นเรา ถ้าไม่สว่างก็มองอะไรไม่เห็น ไม่สามารถที่จะเห็นความจริงได้ เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงแล้วเข้าใจขึ้น จึงจะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งไม่เคยรู้เลยว่าความจริงแล้วเป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง การได้เข้าใจความจริง คือการที่เริ่มสว่างจากความมืด

    ท่านอาจารย์ เพราะเข้าใจขึ้น แต่ก่อนเป็นคุณนิรันดร์เห็น เดี๋ยวนี้ก็มีเห็น แต่เห็นเป็นคุณนิรันดร์ หรือ เห็นเป็นเห็น

    ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น จากการฟัง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้นแล้วใช่ไหม มีคุณนิรันดร์เห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ นั่นคือ ยิ่งชัดเจนขึ้น ถ้าได้รู้ความจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เพียงเห็น

    ผู้ฟัง อย่างนี้ทุกคนก็ไม่มีใครที่จะอยากอยู่ในโลกที่มืด

    ท่านอาจารย์ คนที่ไม่ฟังธรรม พอใจที่จะอยู่ในความมืด


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567