พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 771


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๗๑

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕


    ผู้ฟัง ทุกคนก็รู้ว่าสะสมความไม่รู้ และความติดข้อง เมื่อฟังแล้วปัญญาดีก็อยากจะได้ปัญญาซึ่งถ้ายังเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นเครื่องกั้นให้ไม่สามารถให้รู้ความจริงได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือ "วจีสัจจะ"ที่จะนำไปสู่ "ญาณสัจจะ" และนำไปสู่ "มัคคสัจจะ"

    อ.วิชัย เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เริ่มที่จะมีสติ ที่จะระลึกได้ในสิ่งที่ปรากฏ อย่างเช่น ขณะที่กำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เริ่มที่จะรู้ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งความรู้ความเข้าใจก็รู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแต่ความรู้ รู้ได้เท่านี้เอง อย่างอื่นก็ไม่สามารถที่จะรู้ละเอียดกว่านี้ได้

    ท่านอาจารย์ มากกว่านี้ ทีละน้อยๆ ได้ไหม

    อ.วิชัย ถ้าเพิ่มขึ้นทีละนิด ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยลองกระทบแข็ง แข็งปรากฏ

    อ.วิชัย แข็ง

    ท่านอาจารย์ เหมือนสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ หรือยัง เพียงปรากฏแม้ว่าลักษณะต่างกันแต่ปรากฏความต่างว่า ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน และเวลาที่แข็งปรากฏฉันใด ขณะนี้เพียงปรากฏค่อยๆ สั้นลง เหมือนแข็งที่เพียงปรากฏ เหมือนเสียงที่เพียงปรากฏ เหมือนสิ่งที่กำลังเพียงปรากฏให้เห็น ถ้ายังไม่มีความเสมอกันอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป เพราะไม่ใช่เห็นอะไรแล้วไม่รู้ เกิดดับแล้วไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เป็นความเข้าใจจนคลายความติดข้องสภาพธรรมนั้น จึงสามารถจะปรากฏเพราะเข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้น ความเข้าใจคือ ปัญญา สำคัญที่สุด พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ไปรู้อะไรโดยความไม่เข้าใจ แต่ที่ถูกต้องก็คือว่า เมื่อเข้าใจขึ้นจึงรู้ตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้น โดยมากส่วนใหญ่จะไม่ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ แต่ฟังเพราะอยากจะรู้ และปฏิบัติให้รู้ซึ่งความเข้าใจอยู่ที่ไหน ไม่ถึงระดับขั้นที่จะทำให้เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ปรากฏตามปรกติ

    เพราะฉะนั้น จะรู้ได้ว่า ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ขณะนี้เป็นปรกติ แม้ว่าจะกำลังฟังธรรม ความเข้าใจสามารถจะเข้าใจลักษณะที่กำลังมีในขณะนั้นตามปรกติ และก็ไม่กังวลว่าจะมากหรือจะน้อย เมื่อไม่กังวลย่อมแสดงถึงความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นแต่ถ้ายังห่วงใย ยังไม่รู้นั่น ยังไม่รู้นี่ก็คือว่า ความเข้าใจยังน้อยมาก และก็ยังคิดว่าจะรู้ได้หรือ ก็มีจริงๆ แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไร

    อ.วิชัย บางครั้งเคยสนทนาว่า เขาสามารถรู้แล้ว เข้าใจว่ารู้แล้วอีกก็ยิ่งห่างไกลอีกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนซึ่งสะสมความไม่รู้ จึงคิดอย่างนั้น และก็ห้ามหรือไปเปลี่ยนแปลงความคิดของใครก็ไม่ได้ ความที่ใครเข้าใจผิด ความเข้าใจผิดมีจริงๆ เพราะสะสมมาที่จะเข้าใจอย่างนั้น ก็ไปเปลี่ยนแปลงความคิด ความเข้าใจของคน คนนั้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่งแต่ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องคือ ปัญญาคือความเข้าใจถูก ไม่อย่างนั้นก็ไปติดคำว่า ปัญญา แต่ไม่รู้ว่าปัญญารู้อะไร เพราะฉะนั้น จึงยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้หรือให้ได้ยินได้

    ผู้ฟัง ผู้ฟังได้ ฟังวจีสัจจะที่จะให้เข้าใจความจริง เหตุใดที่ผู้ฟังจะต้องมานั่งฟังเป็นเวลานานแสนนาน เพื่อที่จะเข้าใจความจริง และเพื่อที่จะให้คลายความไม่รู้ว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล อย่างนั้นหรือ ที่จะต้องฟังอย่างละเอียดโดยนัยประการต่างๆ ที่ต้องเป็นวจีสัจจะด้วย

    ท่านอาจารย์ ทุกคนรู้ว่า ไม่สามารถที่จะคิดเองเพราะที่เข้าใจว่าเข้าใจ ผิด ถ้าไม่ได้ฟังจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง นี่เป็นความต่างกัน ฟังใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ความเข้าใจมีหรือไม่ และเข้าใจอะไร เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ การฟังสิ่งที่มีจริงแล้วเข้าใจขึ้น จากผู้ที่ตรัสรู้เท่านั้น ที่สามารถที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงโดยนัยประการต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นวจีสัจจะ แต่ผู้ฟังคิดว่าผิดให้บอกมาว่า ตรงไหนผิด ตรงไหนไม่จริง เชื่อไม่ได้ แต่ถ้าพิจารณาแล้วถูก ก็รู้ว่าผู้ที่กล่าววจีสัจจะต้องเป็นผู้ที่รู้ ถ้าไม่รู้ก็กล่าวไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ละคำที่ทรงแสดงมาจากการทรงบำเพ็ญพระบารมีที่สามารถจะอนุเคราะห์สัตว์โลกอัธยาศัยต่างๆ ให้ฟัง และก็ให้พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกที่เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง การฟังวจีสัจจะเท่านั้น ใช่ไหม ที่จะเป็นหนทางไปสู่การที่จะหมดกิเลส ละคลายความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้

    ท่านอาจารย์ วจีสัจจะ ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นคำที่มีความหมายที่ถูกต้อง มีจริงๆ และเป็นจริงตามคำนั้นด้วย เช่น สิ่งที่มีจริง ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ขณะนี้สิ่งที่มีจริง ความจริงของสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างไร ใครรู้ รู้ว่าเห็นมีจริง ได้ยินมีจริง คิดมีจริง โกรธมีจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริงนั้นคืออะไร ใครรู้ ใครคิดออกได้ เพียงแต่แม้เข้าใจว่า เพราะเกิดจึงมีสิ่งนั้น ถ้าไม่เกิดขึ้นจะมีสิ่งนั้นได้อย่างไร และเกิดตามปัจจัยที่เหมาะควรที่จะให้เป็นอย่างนั้นด้วย ไม่เป็นอย่างอื่น ความโกรธมีหลายระดับ แค่รำคาญ แค่ขุ่นใจ แค่เดือดร้อน แค่กังวลกับความที่โกรธอย่างรุนแรง ก็ต่างกันตามปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นอย่างนั้น ในขณะนั้นไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ก็เข้าใจว่า แท้ที่จริง ที่ว่าเป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้จริงก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดรวมกัน ติดต่อกัน สืบต่อกันจนแยกออกไม่ได้ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งต่างกัน เช่น เห็นกับได้ยิน จะรวมกันไม่ได้เลยแต่ละขณะ เห็นกับคิดแต่ละขณะเพราะเห็นทำอย่างอื่นไม่ได้ เห็นคิดไม่ได้ เห็นเพียงเห็นเท่านั้นจริงๆ นี่คือ ได้เห็นความจริงของสภาพธรรมซึ่งคิดเองไม่ได้

    ผู้ฟัง เพราะเหตุนี้ ผู้ฟังจึงต้องฟังธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะคลายความไม่รู้ที่ย่อมเห็นผิดว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล

    ท่านอาจารย์ ถึงได้มานั่งฟังกันอย่างที่คุณนิรันดร์สงสัยใช่ไหม

    อ.กุลวิไล ขันธ์ ๕ ก็มีในขณะนี้ และขันธ์ ๕ ก็เป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่เราก็ยังเป็นผู้ที่ติดกับสภาพธรรมที่ว่างเปล่า กราบเรียนท่านอาจารย์สำหรับความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ ทุกคนได้ยินคำจริงคือ คำที่พูดถึงสิ่งที่มีจริง และก็รู้ด้วยว่า ความรู้จากขั้นฟังยังไม่รู้ลักษณะตรงตามที่เราได้ฟังว่า ขณะนี้แม้กำลังเห็น เห็นก็ต้องเกิดขึ้น และเห็นก็ดับไป เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง สัจจบารมี มีอธิษฐานบารมีที่จะมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย วิริยะบารมี ขันติบารมีก็คือว่า สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ตามที่ได้ยินได้ฟัง รู้ยาก ไม่ใช่ง่ายเลย ต่อให้จะได้ฟังสักกี่ครั้งก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ตามที่คิด ตามที่หวัง ตามที่ต้องการ ตามที่พยายามอย่างมากมายเหลือเกินก็ว่างเปล่า

    เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังมีที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วก็จะรู้ได้ว่า สิ่งที่กั้นไม่ให้สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแม้ว่ากำลังฟังเพราะเหตุว่า เห็นไม่ใช่มีแต่เฉพาะเดี๋ยวนี้ และวันนี้ แต่เห็นมีมานานแสนนานด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ และนอกจากเห็นแล้ว ก็ยังนำมาซึ่งเรื่องราวมากมายที่ติดข้องบ้าง ขุ่นเคืองใจบ้าง ริษยาบ้าง มานะบ้าง สำคัญตนบ้าง มากมายจนกระทั่งจิตขณะนี้ของแต่ละคน ใครรู้ตามความเป็นจริง เพราะว่าสะสม ซับซ้อนมากมายแล้วแต่ว่ามีปัจจัยเกิดเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้นว่า สภาพธรรมนั้นมีจึงได้เกิดขึ้นเป็นไป ยังไม่ได้ดับทางฝ่ายอกุศลไปเลย เป็นผู้ที่มีอกุศลอย่างมากมายนับไม่ถ้วนประมาณไม่ได้ ชาตินี้เยอะไหม อกุศลใครรู้ดีนอกจากตัวเอง แล้วชาติก่อนๆ เท่าไหร่ ก็จะให้เป็นผู้ที่สามารถฟังธรรมแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคผู้ทรงหยั่งรู้อัธยาศัยของผู้ที่ไปเฝ้าฟังพระธรรม จึงรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง บางคนสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะที่ฟัง เพราะว่าได้สะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก การละคลายอกุศลมากพอที่จะเข้าใจได้ แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมก็เป็นประโยชน์คือ เป็นอุปนิสัยที่จะสะสมสืบต่อไป จะเป็นที่อาศัยที่มีกำลังจากการที่ฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกในทุกเรื่องที่ทรงแสดงเพราะว่า ไม่ได้ทรงแสดงเพียงเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ยังแสดงถึงกิเลสทั้งหมดที่ได้สะสมมาในจิต ซึ่งถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจความจริง มุ่งแต่เพียงที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ทรงแสดงทุกกาล และทุกสถานที่ ทรงตรัสถึงเรื่องที่กำลังมีกำลังเป็นในขณะนั้น กับบุคคลที่กำลังอยู่ในที่นั้น เพื่อเขาจะสามารถเข้าใจความจริงได้ ด้วยเหตุนี้ นอกจากการที่ได้ฟังธรรม เรื่องของสิ่งที่มีจริงเป็นวาจาสัจจะ ทำให้เกิดญาณสัจจะ ทำให้ค่อยๆ โน้มไปสู่การที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแล้ว ก็ยังต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล และรู้จริงๆ ว่า ถ้ายังคงมีอกุศลมากมายในวันหนึ่งๆ และฟังเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพียงเล็กน้อย ไม่มีทางที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้

    เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดทุกคำ เกื้อกูลอุปการะให้ผู้ที่ได้ฟังได้เข้าใจสภาพธรรมที่มีตามความเป็นจริง และเห็นโทษของอกุศลด้วย มิฉะนั้นแล้ว ฟังไปแล้วก็เพียงอยากที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ประจักษ์แจ้งอริยสัจจะโดยไม่คำนึงว่า มีอกุศลที่ยังมากมายเท่าไหร่

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เพียงแต่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะที่กำลังฟังได้ แต่ยังต้องรู้ด้วยว่า ความเข้าใจนี้ต้องติดตามไป ไม่ว่าสภาพธรรมใดเกิดขึ้นปรากฏ ปัญญาที่ได้ฟังเข้าใจแล้วก็ต้องติดตามไปเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อนั้นก็แสดงถึงกำลังของปัญญา ความเห็นถูก ที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วก็จนถึงการสามารถละคลายความติดข้อง มีความหน่ายในการที่เป็นแต่เพียงธาตุที่เกิดขึ้นทำกิจการงานเท่านั้นทั้งหมดตลอดชีวิต ไม่มีขณะไหนเลยซึ่งไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้น การฟังก็เป็นเรื่องของการสะสมความเห็นถูก เพื่อละอกุศลจนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    อ.กุลวิไล ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวว่า การที่จะไปมุ่ง ที่จะรู้ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นไปได้ ลองบอกมา ใคร กำลังรู้ มีไหม เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพราะฉะนั้น ทุกคำก็พิสูจน์ความจริงว่าในขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ แล้วใครเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏมากน้อยแค่ไหน

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องของแข็ง เรื่องของเห็น เรื่องของการได้ยิน เรื่องของเสียง การที่จะรู้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่เราคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าเริ่มคิดว่า “เป็นเราที่จะรู้” ก็ผิดตั้งแต่ต้น นิดเดียว เห็นไหม เพียงแต่คิดว่าเป็นเราที่จะรู้ก็ผิด แต่ฟังธรรมเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็รู้ได้เลยจับด้ามมีดเมื่อไหร่แม้แต่ตัวเองที่กำลังจับ จะรู้ว่าด้ามมีดเริ่มสึกหรือยัง ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น การฟังเข้าใจค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็จะรู้ไหม วันไหน เวลาไหน ที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ทีละเล็กทีละน้อยด้วย และการเริ่มเล็กน้อยมากนี้ ใครจะสังเกต และเข้าใจรู้ได้ จนกว่ารู้ความต่างกันของขณะ ซึ่งหลงลืมอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้นึกถึงแม้เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ จะด้วยคำพูดก็ได้ หรือว่าจะไม่พูดก็ได้ ไม่ต้องคิดเป็นคำก็ได้แต่ส่วนใหญ่ อดคิดเป็นคำไม่ได้ เช่น “สิ่งที่ปรากฏทางตา” เห็นไหม ก็มีการคิดก่อน แต่ความจริงสิ่งนี้ปรากฏแล้ว แต่ความไม่รู้ เพราะการไม่เคยได้ยินได้ฟังก็จะต้องสะสมความเข้าใจ ซึ่งไม่ง่าย และคิดว่า เพียงประโยคสั้นๆ รู้ได้เร็วหรือ เช่น “สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้” แต่ละคำเป็นคำจริง ไม่ได้พูดถึงคน ไม่ได้พูดถึงดอกไม้ ไม่ได้พูดถึงโต๊ะเก้าอี้ แต่พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ การฟังที่จะเข้าใจแม้เข้าใจในขณะที่กำลังฟังก็เล็กน้อยแล้วก็ลืม แล้วก็ พอไม่ได้ฟังแล้วเมื่อไหร่จะคิดได้ แม้แต่คิดเป็นคำว่า “เพียงปรากฏให้เห็นได้” เพราะฉะนั้น กว่า“เพียงปรากฏให้เห็นได้” จะมั่นคงจนกระทั่งค่อยๆ รู้ว่า แม้ไม่คิดก็สามารถละการที่เคยถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยการที่จะเริ่มเห็นด้วยปัญญาว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นจริงๆ นี่คือความละเอียด ความยากที่สุดเพราะเหตุว่า อวิชชามีมาก ความไม่รู้มีมากแล้วจะให้อวิชชาค่อยๆ หายไปโดยไม่รู้อะไรเลยเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่แม้ความรู้ก็มีหลายขั้น เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ละตั้งแต่ต้น คือฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง

    อ.วิชัย เป็นสิ่งที่ยากจริงๆ จากความไม่รู้อะไรเลยแล้วก็จะค่อยๆ รู้ขึ้นเพราะเหตุว่า ความรู้ยังไม่เกิด แต่ถ้าเกิดเริ่มแม้บุคคลที่ไม่เคยรู้มาก่อนจะเริ่มว่า “เป็นเพียงธรรมแต่ละอย่าง” ความเข้าใจก็เล็กน้อยจริงๆ ต้องมีความอดทนอย่างไรว่า เป็นหนทางนี้แต่ความหวังก็ยังมีอยู่ ความต้องการก็ยังมีอยู่

    ท่านอาจารย์ หวังอะไร

    อ.วิชัย จะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ หวังเข้าใจ หนทางเดียวก็คือ ไม่เว้นการฟัง เพราะเป็นการละความไม่รู้ และเป็นการละความต้องการ ถ้ารู้ว่าอีกนานแสนนาน หวังไหม ก็ค่อยๆ สะสมเหตุไปเรื่อยๆ แต่ถ้าคิดว่าใกล้ก็ยังหวังว่าจะถึงได้เร็ว แต่ความจริงถ้ารู้ว่าไกลแสนไกลเพราะว่า แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ปัญญาสามารถที่จะรู้ความละเอียดของความต่างกันของประเภทของธาตุแต่ละธาตุ เช่น เห็น สั้นมาก ๑ ขณะ และลองคิดถึงความคิดนึกที่ติดตามมามากแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ละความหวัง อริยสัจจะที่ ๒ ถ้ายังคงมี ก็การศึกษาจะยากมากที่จะทำให้ฟังด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความต้องการก็กั้นแม้แต่เพียงว่า ฟัง เข้าใจ แล้วก็ดับ และแล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องเป็นผู้ที่อาจหาญมั่นคงอย่างมากที่จะไม่ลืมว่า ธรรมก็คือว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วแต่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น แต่ก็เป็นผู้ที่ยังสามารถเข้าใจได้ คิดดู กับผู้ที่ไม่มีโอกาสในชาตินี้ที่จะได้ยินได้ฟังหรือแม้แต่จะเข้าใจถูกต้องก็ไม่มีแต่ว่าจะหลงทางมีมาก

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แทนที่โลภะความหวังจะทำให้หลงทาง ก็ยังเข้าใจถูกต้องว่า แม้จะเป็นหนทางที่ยาวไกลสักเท่าไหร่ก็อาศัยการละความหวัง และการเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น นี่เป็นหนทางเดียวจริงๆ และจะเป็นหนทางที่ทำให้รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เห็นความละเอียดอย่างนี้ ไม่มีทางเลยที่จะเห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่ใช่มุ่งที่จะอบรมเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศลด้วย จึงมีข้อสงสัย เช่น ยกตัวอย่างในชีวิตประจำวัน ปกติครอบครัวผมจะทำร้ายร่างกายผมอยู่เรื่อย ครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมต้องย้ายบ้านหนี ก็ยังตามมาทำร้าย ครั้งสุดท้ายผมก็ไม่ยอม มีการต่อสู้กลับ พอเห็นหน้าทีไร ผมก็ต้องหลบเข้าบ้าน ทุกวันนี้ไม่คุยกับใคร กลายเป็นว่าผมเก็บตัวอยู่เงียบๆ ผมไม่สามารถที่จะมีเมตตาได้แน่ๆ ผมมีความรู้สึกอย่างเดียว กลัว กลัวที่จะทำร้าย กลัวการมีเรื่องมีราว ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ผู้ที่เห็นโทษของอกุศล ไม่ใช่ว่าไม่เห็นโทษ ผมพยายามเจริญกุศลทุกอย่างในชีวิตประจำวัน แต่บางครั้ง เพราะยังมีปัจจจัยที่อกุศลยังไม่ได้ดับ อกุศลยังมีกำลัง กุศลไม่มีกำลังมากพอ ผมก็ยังเห็นว่า ความเข้าใจธรรมนั่นเองที่จะเป็นที่พึ่งที่จะเข้าใจความจริง และที่จะออกไปจากสังสารวัฏฏ์นี้ ที่จะไม่เกิดอีกเลย ขอให้ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจด้วยว่า ผมยังไม่เห็นโทษของอกุศล ยังเมตตาไม่พอที่ต้องเป็นอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ มีเมตตา แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ยังเป็นเรากับการที่สามารถที่จะเข้าใจว่า เป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยก็ต้องเกิด คุณนิรันดร์คิดว่า จะมีใครทำร้ายแต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผล เกิดไม่ได้เลย ดูฟัง (นาทีที่ ๒๑.๕๑ คำสลับกัน แก้เป็น "ฟังดู") ยาก ถ้าคิดถึงขณะนี้แม้เห็น “เพียงแค่เห็น” ยังไม่ต้องทำร้ายอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ขณะนี้ ถ้ามีกรรมที่ทำให้ไม่เห็นอีกต่อไปก็จะไม่เห็นอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมั่นคงจริงๆ ในเรื่องของสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้น ต้องมีเหตุที่ได้กระทำแล้วแน่นอน ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะตาย มีคนเล่าเรื่องที่รอดพ้นจากอุบัติเหตุทั้งๆ ที่มีรถชนกันอย่างแรงมาก แต่คนนั้นก็รอดมาได้ ลองคิดดูใครสามารถจะทำอะไรได้นอกจากกรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความมั่นคงในกรรมจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่เขาจะทำร้าย แม้แต่เพียงเห็น ได้ยิน ก็เกิดไม่ได้ ถ้าถึงเวลาที่กรรมนั้นจะให้ผล

    เพราะฉะนั้น ก็มีความมั่นคงจริงๆ จะทำให้คลายความหวั่นวิตก และความกลัว แต่ข้อสำคัญที่สุด ใครไม่รักเรา ใครชังเรา ใครจะทำร้ายเราแต่เราไม่โกรธ ไปโกรธเขาทำไมในเมื่อใจเขาร้าย ใจเขาไม่ดี ก็เรื่องใจของเขา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567