พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 749


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ การที่จะเป็นคนดีไม่ง่าย หรือแม้จะเพียงการอยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ด้วยโลภะ เพราะว่าไม่ได้เห็นคุณของความดีว่า ขณะใดที่ความดีเกิด ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เคยสะสมอกุศลมามาก แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมหรือจะเข้าใจธรรมโดยง่าย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ารู้ว่าสะสมอกุศลมามาก และการที่จะเข้าใจธรรมได้ ก็ต้องขณะที่อกุศลจิตไม่เกิด จึงเป็นผู้ที่เห็นคุณของความดีคือประโยชน์ของคุณความดีทุกประการ ไม่รั้งรอ ไม่รีรอ เพราะรู้ว่าเป็นหนทางที่จะทำให้เข้าใจธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ว่าถึงเวลาก็ฟังธรรม หวังว่าจะฟังธรรมเข้าใจ แต่ตลอดทั้งวันก็ไม่ได้มีเมตตาเพิ่มขึ้น หรือว่าไม่ได้มีการช่วยเหลือสงเคราะห์คนอื่นแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เคยทำ และก็ไม่ทำต่อไปเพราะว่าสะสมมาที่จะไม่ทำอย่างนั้น ก็ไม่ทำอย่างนั้นไปอีก เพื่อไม่ประมาทที่กล่าวถึงทั้ง ๒ อย่างให้คิดว่าจะเป็นคนดี หรือว่าจะเข้าใจธรรมซึ่งขาดไม่ได้ทั้ง ๒ อย่าง ต้องอาศัยกัน และกัน

    ผู้ฟัง ความคิดที่จะเป็นคนดี จริงๆ แล้วก็เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย เพราะว่าถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่คิดอย่างนี้ เพราะถ้าคิดอย่างนี้ได้เป็นเพราะศึกษาธรรมมานานแล้วก็น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่า ควรที่จะละๆ กิเลสไปบ้าง ไม่ควรที่จะเคียดแค้น ไม่ควรที่จะผูกโกรธอะไรต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถที่จะคิดได้อย่างนั้น เพราะว่า ไม่มีเหตุปัจจัย ไม่มีการเข้าใจธรรมเพียงพอที่จะมีเหตุปัจจัยที่จะเป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แม้แต่คิดก็ยาก ใช่ไหม คิดจะเป็นคนดีก็ยาก แสดงให้เห็นว่า ถ้าได้เป็นคนดีจริงๆ ต้องยากกว่าที่เพียงคิด เพราะว่าคิดง่ายกว่าทำใช่ไหม แต่ว่าคิดตั้งหลายทียังไม่ได้ทำสักที ก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคนที่มั่นคง และเห็นประโยชน์จริงๆ ของกุศลธรรม และเห็นโทษของอกุศลธรรม ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้รู้ได้ว่า ตราบใดที่ยังมีอกุศลมากๆ และหวังจะเข้าใจธรรมได้มากก็เป็นไปไม่ได้ เพราะอกุศลมีกำลังเพราะเกิดบ่อย

    เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่จะฟังธรรมโดยไม่เป็นคนดีก็จะได้คิดได้ ว่าฟังธรรมเพื่อเป็นคนดียิ่งขึ้น หรือว่าคนที่จะเป็นคนดีโดยไม่ได้ฟังธรรมก็รู้ได้เลยว่าไม่พอ เพราะอย่างไรๆ ก็มีอกุศลที่จะทำให้เกิดบ่อยกว่ากุศล เพื่อความไม่ประมาท ก็ต้องทั้ง ๒ อย่าง ขณะใดที่คิดดีไม่ใช่คุณนิรันดร์ วิตกเจตสิก แล้วก็มีสติเจตสิก มีหิริโอตตัปปะเจตสิก มีวิริยเจตสิกเกิดขึ้นในขณะนั้นจึงดีได้

    ผู้ฟัง เพราะว่ามีเหตุปัจจัยที่จะเป็นอย่างนั้น มานึกดูอย่างพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านไม่ได้อบรมบารมีเพียงวันเดียว ไม่ใช่ชาติเดียว ไม่ใช่ ๑๐๐ ชาติ ไม่ใช่ ๑,๐๐๐ ชาติ ไม่ใช่ ๑๐๐,๐๐๐ ชาติ ไม่ใช่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ชาติ แต่ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อจะได้ตรัสรู้ความจริงนี้คือหนทาง เพื่อที่จะมาทรงแสดง แต่เราคิดว่าชาตินี้ เราจะเข้าใจธรรมได้ เพราะฉะนั้น ดูเหมือนว่า เปรียบเทียบไม่ได้กับที่พระองค์ได้สั่งสมมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่หวังแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่หวังแน่นอนเพราะรู้ว่าหนทางนี้ กว่าที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้มา มันช่างยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่หวังแล้วทำอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ตั้งใจที่จะฟังให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพียรต่อไป วิริยะบารมีอดทนต่อไป ขันติบารมีมั่นคงต่อไป อธิษฐานบารมี สัจจบารมี ตรงต่อการที่มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจธรรม เพราะอะไร ทุกคนเกิดแล้วต้องเป็นไปตามกรรมตามเหตุ ตามปัจจัย ตามการสะสม ตามกุศล และอกุศลที่สะสมมา บังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรของใครแต่ละคน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามปัจจัย เปลี่ยนแปลงไม่ได้คือ มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นวันไหน อย่างไร เห็นอะไร คิดอะไร ทำอะไรก็แล้วแต่ ตามการสะสมที่ได้สะสมมาแล้ว แต่เมื่อเห็นประโยชน์สูงสุดของการที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพื่อเห็น เพื่อได้ยิน และก็ติดข้อง แล้วก็โกรธ แล้วก็ไม่ชอบ แต่ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้น ค่าของชีวิตที่มีอยู่ ไม่ใช่เพียงแต่เพื่อที่จะเห็นสิ่งที่พอใจ อยากจะได้สิ่งที่พอใจ ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความที่ต้องการ แต่เพื่อเห็นถูก เพื่อเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนมีความเข้าใจถูกต้องว่าประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่ อย่าเพิ่งไปจากโลกนี้ด้วยความอยาก จากโลกนี้ไป แต่ว่ารู้ประโยชน์คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ว่า ตราบใดที่ยังมีโอกาสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจพระธรรมเป็นการสะสมต่อไป

    ผู้ฟัง วิตกเจตสิกที่ว่าเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลก จะเที่ยวไปในทางผิดหรือทางถูก หรือว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ความสำคัญของวิตกเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดถึงวิตก แล้ววิตกอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็ทราบว่าเกิดกับจิตเกือบทุกประเภท แต่ว่าปัญญายังไม่สามารถรู้ตรงลักษณะได้

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า เดี๋ยวนี้ก็ต้องมีวิตกใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้วิตกอยู่ตรงไหน อยู่เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ขณะที่ตั้งใจฟังธรรมให้เข้าใจ วิตกก็จะเป็นไปเมื่อได้ยินเสียงแล้วก็เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้าคิดอะไรไปที่เป็นเรื่องอกุศล ดอกไม้สวยหรืออะไร คิดถึงคนโน้นคนนี้ในทางอกุศล ก็วิตกไปกับอกุศล

    ท่านอาจารย์ ก็วิตกเป็นเจตสิก โลกที่เราอยู่เป็นโลกของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จิตที่ไม่มีวิตกเจตสิก ก็คือจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นอกจากนั้นแล้ว มีวิตกเจตสิกเกิด แสดงว่า เราคิด เกิดมาคิด ตื่นมาคิด หรือไม่ เพราะว่าตื่นมาต้องเห็น แต่ที่เห็นแล้วไม่คิดไม่มีเลย ตื่นมาแล้วก็ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ระหว่างนั้นทั้งหมด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏเล็กน้อยแล้วดับ มีแต่ความคิดในเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่มี จนกระทั่งไม่สนใจในสิ่งที่ปรากฏ อย่างเวลานี้คุณอรวรรณกำลังคิด ไม่ได้สนใจสิ่งที่ปรากฏทางตาใช่ไหม หรือว่าอาจจะได้ยินเสียงแต่ว่าไม่สนใจ ใครได้ยินเสียงพัดลม ใครสนใจเสียงพัดลมบ้าง ก็ไม่มีใครสนใจเสียงพัดลมแต่คิด แสดงให้เห็นว่าเกิดมาเพื่อคิด แล้วก็คิดทั้งวัน ไม่คิดตอนหลับ ตื่นมาคิดอีก เกิดมาเพื่อคิดจริงๆ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามเรื่องวิตกเจตสิก ก็หมายความว่าขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นคิดสารพันเรื่องแล้วแต่จะคิดเรื่องอะไร จนกว่าจะหลับ ตื่นมาก็คิดอีก เพราะฉะนั้น เกิดมาเพื่อคิดหรือไม่ เกิดมาคิดแท้ๆ เลย คิดมาก ทุกวัน เมื่อวานก็คิดตั้งเยอะ ตอนหลับก็ไม่เหลือ แล้ววันนี้ก็เกิดมาลืมตาตื่นก็คิดไปอีกจนกว่าจะหลับ และความคิดทั้งวันก็ไม่เหลือเลย เป็นอย่างนี้ทุกวัน เพราะคิดเป็นเพียงจิตซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว แล้วก็ไม่สนใจในสิ่งที่ปรากฏ แต่คิดถึงเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าลืม ขณะที่คิดเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น การที่จะฟังธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่มีทางที่จะลดคลายความทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าเข้าใจว่าทุกข์เกิดเพราะน้ำท่วม แต่กำลังเป็นข่าวน้ำท่วม ขณะนั้นจิตที่คิดเป็นอะไร ท่วมแล้วใช่ไหม ด้วยกิเลส เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเราไม่มีความเข้าใจธรรมจริงๆ และเราก็คิดแต่เพียงเรื่องที่จะดับกิเลส หรือ จะไปทำอะไรที่จะละคลายกิเลส โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และไม่เห็นความละเอียดของธรรม ไม่มีทางที่จะดับได้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็ให้ทราบว่า เวลาคิดเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เพราะว่าจะต้องมีสิ่งที่เป็นข่าวจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และก็ใจก็คิด ที่โต๊ะอาหารมีข่าวไหม ที่ห้องครัวมีข่าวไหม ตื่นขึ้นมาก็มีข่าวทั้งนั้นเลย เพราะคิดถึงแต่เรื่องราวของสิ่งต่างๆ แล้วเราก็ไปคิดเพียงบางข่าว แต่ความจริงทุกครั้งที่พูดถึงอะไร ด้วยความคิดถึงสิ่งนั้น อย่างนั้นๆ ก็เป็นข่าวในขณะนั้น แต่จิตที่คิดเป็นกุศล และอกุศล ที่สำคัญที่สุด และเป็นประโยชน์ที่สุด คือรู้ว่าเกิดมาแล้วก็คิด และก็จากโลกนี้ไป แต่เรื่องที่คิดไม่ได้ตามไปได้เลย แต่อกุศลที่คิดหรือกุศลที่คิดจะติดตามไป

    เพราะฉะนั้น วิตกเป็นสภาพที่ตรึกหรือคิด และความคิดก็ต้องมีที่เป็นทั้งกุศลหรืออกุศล และเราสามารถที่จะรู้ได้ไหม ว่าวันนี้เป็นอกุศลที่คิดเท่าไหร่ แต่ขณะนี้ที่กำลังฟังธรรมเปลี่ยนเรื่องแล้วใช่ไหม เปลี่ยนคิดแล้วใช่ไหม แทนที่จะคิดเรื่องอื่น เรื่องน้ำท่วม คนเดือดร้อน ก็มาคิดถึงกิเลสท่วม จนใจเดือดร้อน ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ฟังธรรมด้วยความละเอียดจริงๆ เพื่อเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น บางคนเขาก็บอกว่าเขาก็เกิดคิดได้ ถึงว่าขณะนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และก็คิดเรื่องราวต่างๆ รู้ไหมว่าขณะนั้นพระธรรมเริ่มเข้าไปในจิต อย่างละเอียดเลย อย่างที่ไม่รู้เลยว่าแม้ขณะที่คิดถูกอย่างนั้น ถ้าเพิ่มกำลังขึ้น มีมากขึ้น ก็สามารถที่จะทำให้เข้าใจธรรมทุกขณะที่ปรากฏได้ อย่างเวลาได้ฟังข่าวน้ำท่วม ขณะนั้นคิดอย่างไร เห็นไหม น้ำท่วมที่จังหวัดนั้นตั้งเยอะไหลไปทางนั้น ไหลมาทางนี้ แต่จิตที่คิดเป็นไง ไม่รู้ แต่ถามถึงวิตกเจตสิก และถามถึงสภาพคิด

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าคิดอยู่แล้ว แล้วก็คิดตลอดเวลา แล้วก็คิดทุกวัน เว้นหลับแล้วความคิดไม่ได้ติดตามไปโลกไหนเลย อยู่ในโลกนี้ทั้งหมด เพราะว่าเป็นเรื่องคิดของโลกนี้ แต่ถ้าเกิดอีกก็เป็นโลกอื่น แล้วก็คิดเรื่องอื่นอีก เหมือนจากโลกก่อนมา คิดแต่เรื่องของโลกก่อน ไม่รู้เลยว่าโลกที่จะมาสู่คือโลกนี้เป็นอย่างไร แล้วแต่ละวันที่มีชีวิตในโลกนี้ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในโลกก่อน ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างนี้ มีอะไรเกิดขึ้น มีน้ำท่วม มีคนพบปะกัน สนทนากัน ก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้นใช่ไหม เพราะว่ายังไม่เกิดขึ้นฉันใด โลกหน้าคือความคิดในโลกหน้า ก็จะเปลี่ยนจากความคิดในโลกนี้ แต่ว่าจะคิดด้วยกุศลจิตหรือด้วยอกุศลจิต ก็เป็นสิ่งที่จะสะสมสืบต่อไป ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็เป็นเรื่องที่เข้าใจจริงๆ ว่าทุกอย่างที่เกิดชั่วคราว สั้นมาก ไม่ต้องคอยถึงชาติหน้าก็หมดไปแล้ว และก็ไม่กลับมาอีกด้วย

    ผู้ฟัง เมื่อฟังก็จะคิดว่า พอเห็นข่าวน้ำท่วมก็จะลืมไปแล้วใช่ไหมว่า กิเลสท่วมจิตชนิดที่ว่าถ้าไม่อบรมปัญญาก็จะต้องท่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมากมายจริงๆ ยิ่งกว่าความเป็นมหาศาลของน้ำที่เราเห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกข่าวจะพ้นจากอกุศลวิบาก (ผลของอกุศล) หรือว่ากุศลวิบาก (ผลของกุศล) และกุศลจิต และอกุศลจิตได้ไหม ทุกข่าวพ้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ถ้าจะเข้าใจความจริงก็คือข่าวของกุศลหรืออกุศล มีผู้ที่ช่วยเหลือขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต มีผู้ที่เบียดเบียนแม้ผู้ที่ถูกน้ำท่วมขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต แล้วก็ใครที่จะจากโลกนี้ไปอย่างรวดเร็ว ก็ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลที่จะทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น ก็เป็นผลของกรรมที่จะทำให้ไม่ต้องคิดเรื่องน้ำท่วม กำลังเดินข้ามแม่น้ำแล้วถูกน้ำพัดไป ก็ไม่ต้องคิดแล้ว เพราะว่าอีกโลกหนึ่งแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็ไม่ว่าจะเป็นข่าวใดๆ ทั้งสิ้นก็คือ ธรรมทั้งหมดที่สามารถจะเข้าใจได้ ถ้ามีปัจจัยพอก็จะรู้สภาพจิตซึ่งเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ฟังแล้วก็เห็นใจก็เป็นธรรม ฟังแล้วก็มีเรื่องราวที่คนอื่นทำร้ายคนอื่น ก็เดือดร้อนไปด้วย ขณะนั้นก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น จะพ้นจากธรรมไม่ได้เลย จนกว่าจะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกขณะเดี๋ยวนี้เป็นธรรม นี่คือประโยชน์ที่เราฟังธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องเห็น ก็ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบ และคิดนึกด้วย เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า การเข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยไม่ได้สูญหายไปไหน เราหวังจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ บางคนก็ใจร้อนมาก อยากจะรู้ลักษณะของเห็นซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น นี่คือความอยาก คือความต้องการแต่ไม่ใช่หนทาง เพราะเหตุว่า ถ้าพิจารณาแล้วเมื่อสักครู่ น้ำท่วมใจ คือกิเลส แล้วจะออกไปได้อย่างไร ทุกขณะเวลานี้ด้วยเป็นของจริง ถ้าขณะใดที่เห็นแล้วไม่รู้ การสะสมของอกุศลที่มีอยู่ในใจ ถึงเวลาที่จะออกมาแล้ว เพียงแค่เห็น เป็นโอกาสหรือเป็นกาลที่กิเลสจะออกมาซึ่งก่อนเห็นไม่ออก กำลังนอนหลับสนิท กิเลสมิดชิดมาก คือไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสอะไรที่จะเป็นทวารหรือที่จะเปิดทางให้กิเลสออกมาได้ แต่พอมีการเห็น ก็เป็นการเปิดทางให้กิเลสที่สะสมมาออกมาได้ทันที

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ก็รู้ได้ว่า เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ ซึ่งจะหมดได้จริงๆ ก็เพราะความรู้ เพราะฉะนั้น ก็เกิดมาไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อที่จะเข้าใจธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้ตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพราะอย่างไรๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่จะไปพร้อมกิเลสมากๆ หรือว่าจะไปพร้อมปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น

    ผู้ฟัง เมื่อเป็นอกุศลซึ่งก็รู้ว่าแต่ละวันก็มากมาย ในตรงนี้คือต้องอาศัยการฟังธรรมให้เข้าใจเท่านั้น ถึงจะแก้ปัญหากิเลสที่ท่วมจิตได้ ในตรงนี้เหมือนว่าก็เข้าใจยาก

    ท่านอาจารย์ น้ำยังไม่ทันท่วมที่นี่เลยใช่ไหม แต่กิเลสท่วมแล้ว เห็นไหม แล้วจะทำอย่างไรมัวแต่ไปคิดเรื่องน้ำท่วมอื่น แต่ว่าน้ำยังไม่ทันท่วมกิเลสก็ท่วมแล้ว ทุกครั้งที่เห็น ทุกครั้งที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึกที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก อกุศลก็ละเอียด แล้วก็ปัญญาก็ต้องละเอียดตาม เพื่อที่จะละอกุศลแม้แต่เพียงการไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก่อนที่จะละว่า ในขณะนี้ มีกิเลสอะไรบ้างที่ท่วม อวิชชาไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ความติดข้องต้องการสิ่งที่ปรากฏโดยไม่รู้เลยว่าติดแล้ว นั่นก็เป็นเหมือนกับกิเลสท่วมทุกวัน ไม่ต้องคอยน้ำท่วม ภัยอันนั้นแม้ยังไม่มาถึง แต่ภัยที่มาถึงทุกเวลาก็มาถึง ถ้าไม่มีปัญญา

    ผู้ฟัง ประเด็นว่าใครเป็นผู้ถูกผูก

    ท่านอาจารย์ มีใครหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีธรรม และก็เครื่องผูกก็คือโลภะ ซึ่งต้องมีอวิชชาจึงมีโลภะในความติดข้อง ความเพลิดเพลินได้ เกิดมาคุณนิรันดร์เกิดหรือว่าธรรมเกิด ทั้งนามธรรม และรูปธรรม แต่เพราะไม่รู้ตอนนั้นก็คงจะไม่ได้ชื่อคุณนิรันดร์ แต่ก็มีธรรมแล้ว มีความติดข้องแล้วด้วย

    ผู้ฟัง แล้วเราถูกผูกไว้ด้วยอะไร

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์อยากได้อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง มากมายเลย

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละเครื่องผูกทั้งนั้น ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม ติดข้องในอะไร ซึ่งสรุปได้ว่าตามความเป็นจริงคือ ในรูปที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้ ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึงไหว มีไม้ตั้งเยอะแยะ แต่ไม้เป็นบ้านหรือไม่ รูปร่างสัณฐานเป็นบ้านหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงไม้ อยากได้ไม้จิ้มฟันไหม

    ผู้ฟัง อยากได้บ้าง

    ท่านอาจารย์ เป็นบ้านหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะบ้านนี้ ไม้ต้องเท่าไหร่ ไม่ใช่เพียงแค่ไม้จิ้มฟันใช่ไหม เพราะฉะนั้น ความอยากได้ก็ต้องเพิ่มขึ้นๆ จนปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นบ้าน และบ้านอย่างนี้ก็ไม่ชอบ ต้องบ้านอย่างนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าโลภะเครื่องผูก ผูกไว้มากมายแค่ไหน ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เกิดมาตื่นเป็นอกุศลทั้งนั้น ทุกวันสะสมไป แล้วก็หลับไป แล้วก็ตื่นมาอีกก็เป็นอกุศลทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ตลอดชาติเกิดมาเพื่อสะสมอกุศลจนกว่าจะได้เข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าเรายอมที่จะให้ถูกผูก เราก็ไม่มีโอกาสที่จะมาศึกษาธรรมเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขอโทษ ไม่มีคุณนิรันดร์ที่จะยอม หลงเข้าใจว่าเป็นเรา แล้วก็หลงเข้าใจว่ายอมได้ แต่ไม่มีใครยอมหรือไม่ยอมได้เลย คุณนิรันดร์จะยอมอะไร ลองบอกมาสักอย่าง

    ผู้ฟัง คือ ช่วงเวลาหลายสิบปีที่ศึกษาธรรม มีเป็นช่วงปีๆ หลายๆ เดือนระหว่างนั้น ไม่ได้มาเลย

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์จะยอมอะไร และจะไม่ยอมอะไร ประเด็นอยู่ที่นี่ เพราะคุณนิรันดร์เข้าใจว่าจะยอมหรือจะไม่ยอม

    ผู้ฟัง ยอมที่จะยินดีรูป รส กลิ่น เสียง ความเพลิดเพลินมากกว่าที่จะมาฟังธรรม

    ท่านอาจารย์ ยอมที่จะยินดีในรูป รส กลิ่น เสียงไหน เกิดหรือยัง รูปนั้นเกิดหรือยัง

    ผู้ฟัง เกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดจะไปยอมยินดีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เมื่อเกิดแล้ว ยินดีเกิดขึ้นไม่ใช่คุณนิรันดร์ยอม

    ผู้ฟัง แต่ถ้าเรายินดีที่จะติดข้องในสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่มี ไม่มีคุณนิรันดร์ ยินดีหรือยอมที่จะติดข้อง ถ้ารูปนั้นยังไม่เกิดจะมีการติดข้องในรูปที่ยังไม่เกิดไหม

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ยอมหรือเปล่า หรือไม่ยอมก็ไม่ได้ เพราะยังไม่เกิดขึ้นใช่ไหม เวลาที่รูปเกิดปรากฏให้เห็น เป็นดอกไม้ เป็นบ้าน เป็นอะไรก็แล้วแต่ เกิดแล้วปรากฏแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นคุณนิรันดร์ยอมหรือไม่ยอมเพราะติดข้องแล้ว

    ผู้ฟัง งั้นผู้ที่ยังติดข้องอยู่ สามารถที่จะแบ่งเวลาที่มาศึกษาธรรมได้

    ท่านอาจารย์ เพราะติดข้อง และเข้าใจ จึงรู้ว่ามีหนทางที่จะทำให้พ้นจากความติดข้อง และการศึกษาธรรมก็เป็นทางที่จะทำให้เข้าใจถูกเห็นถูกว่าทางนั้นมีจริงๆ คืออะไร

    ผู้ฟัง แล้วหนทางไหนที่จะแก้เครื่องผูกเหล่านี้ ไม่ติดข้องแล้วก็พ้นจากการเกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าคุณนิรันดร์ประจักษ์ว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับไม่กลับมาอีกเลย คุณนิรันดร์จะติดข้องในสภาพธรรมนั้นไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจถูก จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริง เมื่อนั้นจึงจะละความติดข้องได้

    ผู้ฟัง ยังเห็นว่าผู้หญิงสวย คิดว่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คุณนิรันดร์คนเดียว ทุกคน เพราะเป็นธรรม ไม่ใช่ใครทั้งนั้นเลย ธรรมต้องเป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาที่น่าพอใจมี ที่ไม่น่าพอใจมี เสียงที่ปรากฏทางหูที่น่าพอใจมี ที่ไม่น่าพอใจก็มีทั้งหมดเป็นธรรมที่หลากหลายมาก ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จะไม่ชอบได้ไหม ถ้าเกิดติดข้องในสิ่งนั้นแล้ว เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือฟังให้เข้าใจว่าไม่ใช่คุณนิรันดร์ ไม่ใช่ใคร แต่ธรรมหลากหลายมาก ธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้กับธรรมที่เพราะเกิดขึ้นรู้ และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นให้รู้ และไม่รู้ความจริงก็ติดข้อง

    ผู้ฟัง ตั้งแต่เกิดมาเราก็ต้องการสิ่งต่างๆ ในชีวิต เราคิดว่าเครื่องนุ่งห่มบ้าง การงานต่างๆ เป็นที่อาศัยของเรา ความหวังในชีวิตที่ยังมีอยู่ เราก็คิดว่าอันนี้แหละที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะได้มาจากไหน

    ผู้ฟัง จะได้มาจากไหน ต้องทำงานหาเงินต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม จะได้อย่างที่ต้องการที่น่าพอใจหรือไม่ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็เกิดขึ้น และก็ไม่ติดข้องแม้ว่าได้มา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567