พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 780


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๘๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ มีหูจะให้เห็นก็ไม่ได้ แต่ว่า เมื่อมีตาคือ รูปที่ร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จะมีรูปที่มีลักษณะพิเศษต่างกับรูปอื่นๆ คือ รูปนั้นสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดปฏิเสธไม่ได้เลย มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นว่า มีจริงๆ สิ่งที่ปรากฏขณะนี้มีจริงๆ แต่ว่าถ้าไม่มีรูปที่กายซึ่งเป็นรูปพิเศษ ที่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็ไม่มีการที่ ธาตุรู้จะเกิดขึ้น แล้วเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วก็ดับไป แค่เห็นอย่างเดียวเป็นหน้าที่ของธาตุรู้ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมไม่ใช่ให้เราไปทำ ไม่ใช่ให้เราไปสร้าง แต่ว่า เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ใครก็สร้าง ใครก็ทำ ใครก็หวัง ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นตามใจชอบไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดแล้วนี่แหล่ะ ต้องมีปัจจัยที่สมควร ที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นชั่วคราว ชั่วคราวจริงๆ แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น จะเป็นใคร จะเป็นคน จะเป็นสัตว์ จะเป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น และสิ่งที่มีจริงในชีวิตก็จะไม่พ้นจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หรือว่า เสียงที่ปรากฏให้ได้ยินได้ กลิ่นที่ปรากฏให้รู้ได้ รสต่างๆ ที่ปรากฏ และการคิดนึก และความจำ สารพัดอย่าง ซึ่งเป็นจริงทั้งหมด แต่ก็เกิด ไม่ใช่ให้เราไปนั่งสงสัยว่า ใครไปทำให้เกิด นั่งสงสัยอย่างนี้มีประโยชน์ไหม แต่สิ่งที่เกิดแล้ว เกิดได้เพราะอะไร มีเหตุปัจจัยที่สมควรสิ่งนั้นที่จะเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด “จากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่” นี่คือ ความหมายของอนัตตา ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชา แต่ไปหลงยึดถือสิ่งที่มีชั่วคราวว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เที่ยง

    เพราะฉะนั้น จะรู้ความจริงหรือไม่รู้ความจริง จะรู้ได้โดยวิธีไหน ไม่มีใครที่สามารถจะคิดเองได้เลย คิดเองได้ก็ต้องเป็นปัญญาระดับพุทธ แล้วแต่ว่า จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่า มีกี่พระองค์

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคหนึ่ง สมัยหนึ่ง ในกาลหนึ่ง ทั่วทั้งสากลจักรวาล มีได้เพียงพระองค์เดียว เพราะว่า ทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งมีจริงๆ ปรากฏว่ามีแต่ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งสามารถที่จะแสดงธรรม อนุเคราะห์คนฟังซึ่งฟังก็ยากที่จะเข้าใจ แม้ว่าสิ่งนี้กำลังมี แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรง และรู้ว่า ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ที่จะเข้าใจสิ่งที่มี เพราะไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย

    เพราะฉะนั้น ชีวิตที่ไม่รู้ความจริงก็ดำเนินไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ในวันหนึ่งๆ แต่ก็ยังคงเป็นเราเพราะไม่รู้ว่า ความจริงแล้วก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพียงเท่านี้ รับฟัง พิจารณา เห็นด้วย หรือว่าไม่เห็นด้วยอย่างไร ก็สนทนาธรรมกันได้เพราะเหตุว่า ต้องเริ่มจากความเข้าใจที่มั่นคงว่า สิ่งที่มีจริง มีจริงแน่ๆ ใครจะบอกว่า เห็นไม่มี คนตาบอดก็บอกว่า เห็นไม่มี แต่คนตาดีจะบอกว่า เห็นไม่มี ได้ไหม ก็ไม่ได้ เมื่อเห็นมีก็ต้องว่ามี สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีไหม ก็ต้องมี แต่ว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ จึงต้องฟังเพื่อให้มีความเข้าใจถูกต้องว่า หลงยึดถือสิ่งที่เพียงเกิดขึ้น ปรากฏชั่วคราวแล้วดับไปแล้วก็ไม่กลับไปอีกว่า เป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ซึ่งเป็นความเห็นผิด

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า “ธรรมเกิดเพราะเหตุ และปัจจัย” ท่านอาจารย์ได้ยกตัวอย่างธรรมประการ ๑ ก็คือ การเห็น ขอความกรุณาท่านอาจารย์ เห็นขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเกิดเพราะเหตุปัจจัยคือ เหตุปัจจัยอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าเปลี่ยนคำเป็น “เห็นมีจริง” ไม่ต้องใช้คำว่า “ธรรม” เข้าใจไหม

    อ.วิชัย เข้าใจว่า มีจริง

    ท่านอาจารย์ เห็นขณะนี้มีจริง เห็นขณะนี้เกิดหรือเปล่า

    อ.วิชัย เกิดกำลังเห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วดับหรือเปล่า

    อ.วิชัย เกิดก็ต้องดับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจักขุปสาท เห็นได้ไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่ได้แน่นอน คือตาทั้งหมดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ตาทั้งหมด หมายความถึง

    อ.วิชัย ก็คือเฉพาะที่ตา

    ท่านอาจารย์ หมายความถึง ไม่ใช่ตาดำตาขาวทั้งหมด แต่รูปที่กลางตา ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ใช่กระทบกับรูปอื่น กระทบแข็งไม่ได้ แต่กระทบได้กับสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ในขณะนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ที่ตัวก็มีรูปหลายรูป รูป ๑ ก็คือ สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ อีกรูป ๑ ก็สามารถกระทบกับเสียง เพราะฉะนั้น มีธาตุที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง เกิดแล้ว ไม่มีใครไปบังคับให้เกิด แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

    อ.วิชัย แสดงว่า การเกิดของธรรม คงไม่ใช่ปัจจัยอย่างเดียวเท่านั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ทรงแสดงเรื่องของปัจจัยในอภิธรรมคัมภีร์สุดท้ายคือ “ปัฏฐาน”หลังจากที่ได้เข้าใจธรรมแล้ว ก็ควรที่จะละคลายด้วยความเข้าใจที่ละเอียดขึ้น แม้ในขั้นของการฟัง

    อ.กุลวิไล จะเห็นได้ว่า จากการศึกษาก็เป็นปัจจัยให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งธรรมทั้งหลายเกิดเพราะปัจจัย สิ่งเหล่านี้ก็ไม่พ้นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จิต เจตสิก และรูป และสิ่งเหล่านี้สามารถรู้ได้ ถ้าผู้นั้นมีการสะสมความเห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในขณะนั้นเอง

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กรุณากล่าวถึง “ตา” ซึ่งคนฟังใหม่ก็อาจจะคิดว่า เป็นดวงตาทั้งหมด แต่จริงๆ ก็คือ เป็นรูปๆ หนึ่ง ซึ่งขณะนี้สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ เป็นรูปที่เกิดจากกรรม ไม่มีบุคคลใดที่จะสร้างได้เลย แต่เพราะมีกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดตา ตาเป็นรูป ดังนั้นตาจะไม่เห็นอะไรเลย สิ่งที่เห็นเป็น “จิต” แต่ว่าจิตที่เห็นนั้น ต้องอาศัยตาจึงจะเกิดขึ้นได้ นี้เป็นความละเอียดของธรรมทีละอย่างว่า ถ้าบุคคลที่ตาบอด เราคงจะเข้าใจว่า ไม่มีโอกาสที่จะเห็นอย่างแน่นอน เพราะเหตุว่า ไม่มีตา คือ “จักขุปสาทรูป” ซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากกรรม แต่เพราะมีตาเกิดแล้ว มีแล้วเกิดเพราะกรรม แต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นอีกมากมาย เช่น ถ้าไม่มีรูปที่ปรากฏทางตาที่มากระทบ การเห็นก็เกิดไม่ได้ แต่เพราะมีตาด้วย และมีสิ่งที่ปรากฏด้วย มีการกระทบกันขณะนั้นมีปัจจัยพร้อมที่จะให้จิตเกิดขึ้น โดยอาศัยตา เป็นทางให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องค่อยๆ ที่จะศึกษาเพื่อรู้ความจริงว่า จริงๆ แล้วขณะที่เห็น ไม่ใช่ตัวเราเลย แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ

    อ.กุลวิไล และตานี้ก็เป็นที่เกิดของ “จิตเห็น” จิตเห็นไม่ได้เกิดที่หู ไม่ได้เกิดที่แขน แล้วก็ไม่ได้เกิดที่ด้านหลังด้วย แต่ต้องเกิดที่ตานั่นเอง เพราะว่า ที่ตาก็ต้องมีรูปที่เป็นที่เกิดของจิตเห็น นี้คือ ความจริง และขณะที่เห็น ก็ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งก็มีอยู่ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาจึงเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ขณะที่เรารู้ว่า เห็นอะไร เพราะขณะที่เรารู้ว่า เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นไม่ใช่จิตเห็นแล้ว แต่เป็นเพราะคิด เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ท่านแสดงความจริงใจขณะนี้ และ “ธรรมทนต่อการพิสูจน์” เพราะว่า เป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน นั่งที่นี่ก็มีเห็น ไปที่บ้านก็มีเห็น อยู่ที่ไหนก็มีเห็น แต่รู้หรือเปล่าว่า “เห็นไม่ใช่เรา”

    ผู้ฟัง ในชีวิตของคฤหัสถ์ถ้าไม่ได้มาฟังธรรม แต่ละคนก็ย่อมมีกิจการงาน มีกิจธุระ มีเรื่องที่ต้องทำ มีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู มีบริวารที่ต้องคอยเกื้อกูล เขาไม่ได้ว่าง แล้วชีวิตก็ต้องเป็นไป จำเป็นต้องทำธุรกิจ ดูแลการงาน ดูแลครอบครัว หรือว่า เป็นคนที่ดีของสังคม ก็มีกิจการงาน มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลา แล้ว ที่ผู้ถามๆ ว่า เหตุผลอะไร ที่เราต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งของชีวิตมาฟังเพื่อเห็นว่า เป็นความจริงของธรรม

    ท่านอาจารย์ มีใครบอกให้มาหรือเปล่า มีใครบอกให้คุณนิรันดร์มาฟังธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ ไม่มีใครบอก

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร งานก็เยอะ ธุระก็มาก แล้วอย่างไรถึงได้ฟังธรรม และจริงๆ แล้วคุณนิรันดร์ต้อง “ว่าง” ที่จะมาฟังธรรม แทนที่ “ว่าง” แล้วไปทำอย่างอื่น ว่างแน่ๆ ใช่ไหม ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ที่ฟังธรรม แล้วการว่าง ไม่มาฟังก็ได้ นอนก็ได้ แล้วทำไมมาฟัง ไม่มีใครบังคับด้วย เพราะมีเหตุปัจจัยหรือเปล่า คุณนิรันดร์ไม่รู้ใช่ไหม แม้แต่เห็นก็ไม่รู้ว่า เกิดเพราะมีปัจจัย คิดก็เกิดเพราะมีปัจจัย ทุกอย่างที่จะเกิดโดยไม่มีปัจจัยเป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าขณะไหนก็ตามแต่ซึ่งตามความเป็นจริงที่เข้าใจว่า คุณนิรันดร์มีงานเยอะแล้วก็มีเวลาว่าง ขณะที่ว่างคือ ไม่ได้ทำงานอย่างที่ทำอยู่ใช่ไหม แต่ความจริงธรรมไม่ว่างเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าง เกิดก็ไม่ว่างแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง เกิดไม่ว่างอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เกิดเห็น ว่างไหม กำลังเห็นนี้ว่างหรือเปล่า

    ผู้ฟัง “กำลังเห็นนี้ว่างหรือเปล่า” ก็ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วต้องเห็น เพราะเดี๋ยวนี้เห็นแล้ว เห็นแน่ๆ ไม่ให้เห็นเดี๋ยวนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นั่นหมายความว่า เกิดแล้วต้องทำกิจเห็น แต่ไม่ใช่คุณนิรันดร์เกิด จิตประเภทหนึ่ง เกิดแล้วทำกิจการงาน เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่า เป็นเราว่างบ้าง ไม่ว่างบ้างก็คือจิตทั้งหมดไม่ขาดเลยตั้งแต่เกิดจนตาย และจิตแต่ละหนึ่ง ที่เกิดทำกิจหน้าที่ของจิตนั้นๆ เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นอนหลับว่างไหม

    ผู้ฟัง ว่างเพราะหลับอยู่ ไม่ได้ทำอะไร

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์ไม่ได้ทำใช่ไหม แต่จิตเกิดขึ้นทำกิจการงาน แม้ในขณะที่เข้าใจว่าว่าง เพราะหลับ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าเราจะเข้าใจธรรมว่า ไม่ใช่เรา ต้องฟังแล้วพิจารณา แล้วก็เข้าใจจริงๆ เพิ่มขึ้นจนกว่าจะมั่นคงว่า เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ตามเหตุตามปัจจัยด้วย ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นนั้น ก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ แม้แต่การที่จะฟังธรรม ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะฟังก็ไม่ฟัง ฟังไม่ได้ ไม่มีการฟัง ไม่ได้บังคับอะไรเลยทั้งสิ้น คิดที่จะฟัง ก็ไม่มีใครบังคับ คิดแล้วจะฟังหรือไม่ฟังก็ไม่มีใครบังคับ

    เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เกิดแล้ว กว่าจะรู้ว่า เป็นสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ก็ต้องอาศัย การอบรม การฟัง ความเข้าใจให้เพิ่มขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่า ให้เราไปหวังการที่จะหมดกิเลส การที่จะประจักษ์สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับโดยไม่เข้าใจอะไรเลย นั่นผิด แต่ต้องเป็นความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นจนมีกำลัง จึงสามารถที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วในชีวิตประจำวันก็ยังเป็นเราทั้งนั้นเลยที่ทำงาน กิจการงานที่ดูแลเรื่องต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะสะสมความไม่รู้ และความเป็นเรามานาน

    ท่านอาจารย์ ก็เพราะไม่รู้ ก็ต้องมีเหตุทั้งนั้นเลย

    ผู้ฟัง แล้วการมาฟังแบ่งชั่วโมงว่า อาทิตย์หนึ่ง เสาร์ อาทิตย์ หรือว่า อยู่บ้านฟังวันละครึ่งชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ฯลฯ แล้วอย่างนี้จะไปทำอะไรกับกิเลสได้

    ท่านอาจารย์ กิเลสคืออะไร

    ผู้ฟัง โลภะ โทสะ โมหะ

    ท่านอาจารย์ โมหะมีไหม

    ผู้ฟัง ก็มี

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เข้าใจมีโมหะไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีโมหะ

    ท่านอาจารย์ มีโลภะไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีโทสะไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่า การฟังเข้าใจเมื่อไร ขณะนั้นไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ระงับ ขจัด ชั่วคราวหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ชั่วคราว

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะมีกำลังขึ้น ปัญญาไม่ใช่มีเพียงเท่านี้ ปัญญาแค่นี้ทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง แต่ความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริงก็ยังมีความเป็นเราอย่างเต็มเปี่ยมเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะไม่รู้ หมดไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่รู้ก็ยังคงเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ผู้ฟัง ฟังเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ อย่างนี้แล้วจะไปอะไรได้

    ท่านอาจารย์ นิดๆ หน่อยๆ เพิ่มขึ้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้มากๆ ได้ไหม เข้าใจขึ้นได้ไหม เพราะเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ได้ อีกนานแสนนาน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องหรือผิด

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนให้รู้เร็วๆ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้ ดังนั้นขณะนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยังต้องเป็นเราแน่ๆ เพราะยังมีความไม่รู้มากมาย

    ท่านอาจารย์ จนกว่าลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ แล้วก็มีความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น ไม่ต้องไปทำอะไรเลย สภาพธรรมปรากฏแล้ว ฟังแล้วเข้าใจ จนกระทั่งสามารถจะเห็นถูกในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง แต่ว่าถ้าไม่เริ่มฟังตั้งแต่ตอนนี้ ไม่มีปัจจัยที่จะมาฟังเพื่อเข้าใจความจริงขณะนี้ ก็จะไม่มีโอกาสที่จะละคลายความเป็นเราไปได้เลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ อย่างนี้สมแล้วกับที่ว่า พระพุทธเจ้าได้อุบัติมา ๒๕๐๐ กว่าปี แล้วก็ได้ตรัสรู้ มีท่านพระองค์เดียวที่จะทรงแสดงให้เห็นว่า เป็นความจริง เป็นธรรมได้ เพราะว่า ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะดูทีวี ทำการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เวลาที่ไม่มาฟัง แล้วเขาแสดงเรื่องของความเป็นเรา เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องน่าสนใจต่างๆ แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่แสดงว่า “เห็นเป็นธรรม”

    ท่านอาจารย์ เป็นบุญไหม

    ผู้ฟัง รู้สึกว่า ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐขนาดนี้อีกแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อนจะมีขณะนี้ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ และขณะนี้ก็กำลังเป็นชาติก่อนชาติหน้า เพราะฉะนั้นบุญที่ได้กระทำแต่ปางก่อนก็คือ เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ดังนั้นทุกคนที่ได้ฟัง มีเหตุปัจจัยที่จะฟัง ก็เป็นผลบุญของปางก่อน

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง เพราะเหตุใดการได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจว่า เห็นเป็นธรรมจึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด มากกว่าสิ่งใดๆ ในชีวิตที่เราคิดว่ามันสำคัญ

    ท่านอาจารย์ เวลาโกรธ คุณนิรันดร์มีความสุขไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีความสุข

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไม่ให้โกรธเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เศรษฐีมั่งมีมหาศาลจะซื้อขณะนั้น เปลี่ยนจากโกรธขณะนั้น ให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีความเข้าใจ ในขณะนั้นไม่โกรธ เป็นคนรวยยิ่งกว่ามหาเศรษฐีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ยิ่งกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจได้ใช่ไหม ประโยชน์ของการเข้าใจธรรม สามารถที่จะรู้ความจริงในขณะนั้น ไม่ใช่เราแต่เป็นอกุศลธรรม ธรรมฝ่ายชั่ว ฝ่ายเลว เกิดแล้ว มีแล้ว ขณะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาที่มีความเห็นถูกก็ไม่สามารถที่จะละคลายหรือดับได้เลย

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่มีปัญญา มั่งมีมหาศาลหรือเปล่า เพราะว่า ขณะนั้นจากโกรธสามารถที่จะเป็นไม่โกรธ ซึ่งเงินไม่สามารถที่จะซื้อได้ และสามารถจะเป็นไปได้ คนที่เคยโกรธมากๆ หลายคนก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง จากการที่เป็นคนใจร้อนมากเขาก็รู้ตัวว่า ดีขึ้น แม้แต่ยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้หมด แต่ความเข้าใจธรรมที่สะสมขึ้นก็สามารถที่จะเห็นโทษของธรรมที่เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สิ่งซึ่งเลิศประเสริฐกว่าเงินทอง ทรัพย์สินมหาศาลใช่ไหม เพราะว่า เงินทอง ทรัพย์สินมหาศาล ก็ทำให้เกิดความสงบไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญา

    อ.กุลวิไล จะเห็นได้ว่า ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะปัจจัยนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น เห็น ได้ยิน หรือความโกรธ ก็ต้องมีปัจจัยให้เกิดขึ้นไม่มีผู้ใดสร้างได้ เพราะว่า แม้แต่การที่ได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็เพราะว่า ต้องมีการสะสมเหตุปัจจัย ในการฟังพระธรรมมาก่อน จึงเป็นปัจจัยให้ได้ยิน หรือแม้แต่ความโกรธเกิดขึ้น ก็ต้องมีปัจจัยนั่นเอง ถ้ายังไม่ได้สะสมความโกรธมาก่อนหรือสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดี สภาพธรรมที่เป็นความโกรธก็เกิดขึ้นไม่ได้นั่นเอง

    ท่านอาจารย์ แล้วก็คงยังไม่ต้องถึงความโกรธ เพียงแค่มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้ ก่อนอื่นคือ ต้องมีความเห็นถูกต้องก่อน

    ผู้ฟัง การที่ผมมีศรัทธาตรงนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนชวนให้มาผมก็ไม่มา แสดงให้เห็นว่า การได้ฟังพระธรรม ค่อยๆ มีความเข้าใจมากขึ้น ศรัทธาก็ค่อยบ่มเพาะมากขึ้น จนมีเหตุปัจจัยวันหนึ่ง ศรัทธาก็ค่อยๆ มีกำลังขึ้น แสดงให้เห็นเลยว่า ศรัทธาของพระอรหันต์บุคคลเวลาที่ท่านได้ฟังว่า “พระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว” “พระธรรมเกิดขึ้นแล้ว” ท่านปีติอย่างมากเลยว่า ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงว่า ศรัทธาของแต่ละคน สามารถที่จะค่อยๆ สะสม ค่อยๆ มีกำลังขึ้นมาได้ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ไม่มีใครที่จะห้ามผมจากการฟังพระธรรมได้

    ท่านอาจารย์ แต่ว่ายังไม่พอ จนกว่าจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่า ศรัทธาอย่างเดียวโดยที่ไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เมื่อเข้าใจมากเท่าไหร่ ศรัทธาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้นตามปัญญาที่เข้าใจด้วย

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่เพียงฟัง แล้วจะเข้าใจเรื่อง แล้วก็มีศรัทธามั่นคงขึ้นระดับหนึ่ง แต่จะรู้ว่า มั่นคงระดับไหน คือ ขณะนั้นสามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง นั้นก็แสดงถึงศรัทธาอีกระดับหนึ่ง และศรัทธาก็จะเพิ่มขึ้นจนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ทางที่จะรู้ว่า ศรัทธาเพิ่มขึ้นมีไหม เช่น กำลังโกรธ ไม่มีศรัทธาแล้วใช่ไหม ขณะใดที่อกุศลเกิดขึ้นทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นจะกล่าวว่า เป็นศรัทธาไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ศรัทธาจะเจริญเพราะความเข้าใจ และขณะใดก็ตามซึ่งอกุศลเคยเกิด แต่ว่าขณะที่กุศลสามารถเกิดขึ้นแทนอกุศล ก็แสดงถึงศรัทธาที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องให้คนอื่นบอก สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง กำลังพอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นศรัทธาหรือเปล่า ก็ไม่เป็น ก็แสดงว่า ศรัทธาเพิ่มขึ้นจริง แต่ถ้าเทียบกับอกุศล ศรัทธาที่จะเพิ่มขึ้นอีกก็ยังน้อย เพราะฉะนั้น ก็ต้องไม่ประมาทจริงๆ

    อ.กุลวิไล พระสูตรที่จะนำมาสนทนากัน คือ เรื่องปฐมโพธิกาล จากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ซึ่งจะมีข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระคาถา ที่กล่าวถึงการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ผู้ที่ถาม ถามว่า การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่รู้ว่า การเกิดเป็นทุกข์ แล้วยังต้องเกิดบ่อยๆ ด้วย แสดงว่า ต้องเป็นความเข้าใจหรือความเห็นถูก ตั้งแต่ว่า “อะไรเกิด” ก่อน และบังคับบัญชาไม่ได้ที่จะไม่ให้เกิด สบายดีไหมเกิดมาเห็น สบายดีไหมเกิดมาได้ยิน สบายดีไหมเกิดมาได้กลิ่น สบายดีไหมเกิดมาลิ้มรส แล้วก็ทำธุรกิจเยอะแยะมากมาย หน้าที่ต่างๆ ซึ่งแต่ละคนก็คิดว่า เป็นภาระหนัก สบายไหม ไม่เกิดไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น ดีกว่าหรือเปล่า หรือว่า ทำอะไรๆ เยอะๆ ดีกว่า

    อ.กุลวิไล เพราะว่า ผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ท่านต้องรู้ถึงโทษของการเกิดนั่นเอง ท่านถึงหาหนทางที่จะไม่เกิด แต่ผู้ที่เป็นปุถุชนก็ยังเห็นว่า การเกิดเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความยินดี แต่ความตายไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นปุถุชนต่อไป

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ธรรมที่เป็นทุกข์ จะไม่เห็นโทษของการเกิด เพราะว่า ถ้ายังต้องเกิดก็ยังไม่พ้นทุกข์ และทุกข์ในที่นี้ไม่ใช่เฉพาะทุกข์เพราะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่แม้ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เห็นในขณะนี้ซึ่งเราก็สนทนากันมาตลอดว่า เห็นเป็นทุกข์ ที่เป็นทุกข์ก็เพราะว่า เกิดแล้วก็ต้องดับไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของธรรม จะเห็นโทษของการเกิดไหม

    อ.กุลวิไล ไม่เห็น เพราะว่า ขณะนี้ต้องมีตัวธรรมที่ปรากฏ แต่ถ้าเราไม่รู้ลักษณะของธรรมที่ปรากฏ แต่ละอย่าง แต่ละทาง แล้วเราจะรู้การเกิด และดับไปของธรรมได้อย่างไร เรายังยึดถือสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา นี่คือ เป็นผู้ที่ยังมีทุกข์อยู่ เพราะตราบใดที่ยังมีความยึดถือด้วยความเห็นผิด หรือด้วยความสำคัญตน หรือว่าด้วยตัณหา และเมื่อไม่ได้สิ่งนั้นเพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อไม่ได้สิ่งนั้นก็ย่อมเป็นทุกข์นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ทุกข์ใจเกิดจากกิเลส แต่ทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรม แต่ทั้งหมดไม่ว่า ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นทุกข์ และไม่ใช่เฉพาะทุกข์กาย ทุกข์ใจ เท่านั้น ธรรมที่มีจริงในขณะนี้เป็นทุกข์


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567