พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 753


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๕๓

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ถ้าค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะถึงวันหนึ่ง ที่จะใส่ใจหรือเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยว่า สภาพที่เห็นก็คือ ขณะนี้เองที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้น มีธรรมที่ปรากฏทั้งวัน แต่สติสัมปชัญญะ ความเข้าใจไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ เลย เพราะความเข้าใจไม่พอ ด้วยเหตุนี้ “ปริยัติ” การฟังจนกระทั่งเป็นการรอบรู้ เข้าใจจริงๆ ด้วยความละ ยิ่งรู้ยิ่งละ ไม่ใช่ฟังแล้วยิ่งอยาก ถ้าฟังแล้วยิ่งอยากนั่นคือ ไม่ได้ตั้งจิตไว้ชอบ ไม่รู้เลยว่า ฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ เพราะไม่คุ้นเคยกับการที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะได้มีการฟังพระธรรม และพิจารณาว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องไหม เป็นจริงไหม เมื่อเป็นจริงอย่างนี้ แต่ปัญญาขั้นฟังยังไม่ถึงขั้นรู้ชัด จะต้องมีการเข้าใจขึ้นๆ อีกมาก

    กว่าจะเป็นการรู้ชัดจริงๆ คือ แม้ปกติอย่างนี้ก็สามารถที่จะรู้ได้ ไม่มีความสงสัยในสภาพที่มีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นธาตุที่กำลังเห็นหรือสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ต้องอาศัยการเวลา และการอบรม ที่ใช้คำว่า “ภาวนา” คือ การอบรม ไม่มีใครสามารถที่จะไปดึง จิต เจตสิก ให้ไปอยู่ที่ นามธรรม รูปธรรม ให้รู้แจ้งชัด ให้เกิดขึ้น แต่ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามการอบรม ที่ว่า “น้อมไป” ไม่มีใครไปน้อมได้ เพราะเวลานี้ เห็นก็เห็น แข็งก็แข็ง เสียงก็มี ได้ยินก็มี แต่ไม่ได้รู้ “ตรง” ลักษณะที่กำลังเป็นอย่างนั้นสักอย่าง เพราะกำลังเพียงฟังเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ แต่การฟัง และความเข้าใจ ไม่ใช่เราเลย แต่ขณะนี้ที่เข้าใจ กำลังค่อยๆ น้อมไปสู่การที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยการละความไม่รู้ เพราะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่หนทางอื่น

    ผู้ฟัง เหมือนกับเรารู้แต่สภาพของอารมณ์ที่จิตรู้

    ท่านอาจารย์ เรารู้ เข้าใจหรือเปล่าว่า เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็รู้ว่า เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ ลืมไม่ได้เลย ลืมแล้วก็ไม่เข้าใจอีกว่า เป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น กว่าคำนี้ “ความเข้าใจ” จะค่อยๆ จรดเยื่อในกระดูก ไม่สงสัยเลยเป็นสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น ขณะใดที่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งนั้นมีจริงๆ และเป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น จะละความที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่า “เป็นเรา” โดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้เลย แม้ทางตาที่กำลังเห็นก็ต้องมีการเริ่มเข้าใจขึ้นด้วย

    อ.ธิดารัตน์ ทุกท่านพอฟังธรรมแล้วก็อยากจะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ รู้ลักษณะของรูปว่า เป็นอย่างไรใช่ไหม แล้วยังรู้ลักษณะของนามธรรมอีก ยังไม่ได้มีสติที่มีกำลัง หรือว่ามีปัญญาที่มีกำลัง และสภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏแต่ละอย่างกับปัญญาจริงๆ เหมือนกับเวลาเห็น เห็นแล้วก็เหมือนกับมี ทั้งสภาพรู้ ทั้งสิ่งที่ปรากฏพร้อมกัน ความเป็นจริงก็คือ เป็นอย่างนี้ เพราะว่า เป็นความรวดเร็วของจิต แล้วเราก็คิด แต่สภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ ปรากฏทีละอย่างกับจิต

    เมื่อไหร่ที่รูปปรากฏกับสติ และปัญญา ขณะนั้นปัญญาก็จะรู้ลักษณะของรูปธรรมนั้นตามความเป็นจริงที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือลักษณะของนามธรรมที่จะปรากฏกับจิต นามธรรมก็ต้องปรากฏกับจิต ขณะที่เห็นหรือว่าขณะที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ที่เป็นอารมณ์ของสติ และปัญญา แต่ขณะที่รู้ธาตุรู้ก็มีแต่เพียงธาตุรู้ที่เป็นอารมณ์ของจิต ที่ประกอบด้วยสติ และปัญญาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมก็ต้องเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรม ก็ต้องเป็นรูปธรรมแต่ละชนิดๆ ไม่ปะปนกัน

    ท่านอาจารย์ กำลังไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังสงสัยในลักษณะของสภาพที่กำลังเห็น จะละความเป็นตัวตนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    อ.วิชัย ความใคร่ต้องการที่จะรู้กับขณะที่มีการพิจารณาตรึกถึงสิ่งที่ปรากฏคือ มีความละเอียดว่า บุคคลนั้นไม่ได้ฟังที่ท่านอาจารย์กล่าวเตือนสักครู่นี้ ก็จะรู้ไม่ได้เลย ขณะที่มีความต้องการที่จะรู้ เพราะเหตุว่า ขณะที่ต้องการที่จะรู้ ขณะนั้นไม่รู้ตัวว่า ขณะนั้นก็เป็นไปด้วยความต้องการโดยที่ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แข็งปรากฏเป็นปกติ คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลยจะรู้ไหมว่า ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน

    อ.วิชัย ไม่ฟังธรรมเลยไม่มีทางรู้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางรู้ ฟังบ้าง เข้าใจบ้าง แล้วเวลาที่กำลังรู้สิ่งที่แข็ง จะรู้ไหมว่า ขณะนั้นเป็นธาตุซึ่งไม่ใช่เรา

    อ.วิชัย ก็เริ่มเข้าใจขึ้นว่า มีแข็งแล้วเป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ โดยอาศัยการฟัง เพราะฉะนั้น จะเห็นความต่างของการที่ไม่ฟังเลย แล้วก็ฟัง แต่ลักษณะที่แข็งก็ปรากฏเป็นปกติ แต่เวลาที่ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ เวลาที่สภาพนั้นปรากฏ ไม่ต้องรออะไรเลยใช่ไหม ก็สามารถที่จะเข้าใจในความเป็นธาตุซึ่งปรากฏคือ แข็ง

    เพราะฉะนั้น ต้องอาศัย “ปริยัติ” การฟังอย่างมาก ผู้ที่เป็นสาวกหรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็น “พหุสฺสุต” ต้องเป็นผู้ที่ฟังมาก เข้าใจมาก เพราะฉะนั้น การสะสมการฟังเป็นปัจจัยที่สำคัญ ที่จะทำให้เมื่อมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรม เข้าใจแล้วมากจากการฟังก็สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นตรงตามที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กรุณาถามว่า มีหรือเปล่า ก็ตอบได้ว่า มี แต่ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เห็นอะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เห็น ไม่เป็นเห็น

    ท่านอาจารย์ โกรธหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ ชอบหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ เบื่อไหม

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เบื่อ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากเป็นสิ่งเดียวที่สามารถปรากฏให้เห็นได้

    ผู้ฟัง ก็ฟังมาเป็นแบบนี้

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจอย่างนี้หรือยัง

    ผู้ฟัง ยากที่สุดตรงที่เริ่ม

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า อยากจะเข้าใจมากๆ ประจักษ์การเกิดดับแต่ว่า เริ่มเข้าใจอย่างนี้หรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ ก็เริ่มเสียก่อน

    ผู้ฟัง ถามอย่างที่อยากถามว่า เริ่มอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจว่า มีจริงๆ กำลังปรากฏให้เห็นจริงๆ เป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏให้เห็นว่า มีจริงๆ สิ่งนี้มีจริงๆ ไม่เหมือนขณะที่ฝัน เหมือนเห็นแต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างขณะนี้จริงๆ

    เพราะฉะนั้น นี่คือ ความต่างกัน สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ ให้เห็น ไม่ใช่ให้คิด และจำอย่างในฝัน แต่ปรากฏให้เห็นได้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ในสังสารวัฏฏ์ก็จะต้องมีสิ่งที่มีจริงปรากฏให้เห็นทางตาอย่างนี้ เพียงชั่วขณะที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็เป็นของใคร จับสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ก็แค่นั้น แค่ปรากฏให้เห็น

    อ.กุลวิไล ขณะนี้เป็นคนจนหรือเปล่า จิตเป็นอกุศลขณะนั้นก็เป็นคนจน

    ท่านอาจารย์ คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลยใช่ไหมนอกจากตัวเอง มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในพระรัตนตรัยมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีศรัทธาเลย เป็นคนรวยหรือเป็นคนจน เพราะฉะนั้น คนอื่นจะตอบไม่ได้เลย นอกจากตัวเอง ศรัทธาที่นี้หมายความถึง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีศรัทธาในการที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นคนรวยหรือเป็นคนจน ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมานั่งคิดถึงตัวเองว่า รวยหรือจน แต่ให้ทราบตามความเป็นจริงว่า ผู้ใดก็ตามที่มีทรัพย์สินเงินทองมาก เข้าใจว่า เป็นผู้ที่ร่ำรวยมหาศาล แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีประโยชน์อะไร นำความทุกข์มาให้หรือเปล่า เป็นความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า หวงแหน อยากได้ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็พลัดพรากจากไปเมื่อถึงเวลา หรือว่าถึงแม้ว่า จะมีทรัพย์สินเงินทองจนตาย แต่ก็ไม่สามารถที่จะนำไปได้เลย นี่ก็คือ แสดงให้เห็นคุณค่าของการเข้าใจธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้เรามานั่งคิด พอทรงแสดงธรรมเรื่องอะไรก็ “เดี๋ยวนี้เราเป็นใคร คนรวยหรือคนจน” ก็เลยอยู่ตรงนั้นเอง แต่ว่า ตามความเป็นจริงก็คือ เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า พระธรรมที่กำลังได้ฟังในขณะนี้ เข้าใจแค่ไหน ส่องถึงศรัทธาที่มั่นคงขึ้น ที่ได้สะสมมาแล้ว แต่ว่า ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจเพียงเล็กน้อย นั้นก็เป็นเครื่องวัดศรัทธาได้ว่า ศรัทธายังไม่มีกำลัง พอที่จะพิจารณา พอที่จะไตร่ตรอง แล้วไม่หันเหไปทางอื่น ซึ่งโลภะชวนเก่ง นำเก่ง พาไปเก่ง แทนที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    เพราะเหตุว่า แม้มีจริง แต่ก็ยากที่จะถึงการรู้ลักษณะที่เป็นธรรม แต่ต้องอาศัยการฟังเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความต้องการ จนกระทั่งสามารถที่จะมีปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ตรงตามที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ตรงไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า สิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริงอย่างไร ก็ส่องถึงความจริงที่เป็นตัวธรรมจริงๆ ว่า เป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง แล้วถ้าจะไม่จนก็ต้องเริ่มต้นที่ศรัทธา จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ดูเหมือนว่า ถ้าฟังเข้าใจก็ทำให้ศรัทธาเกิดในการฟัง แล้วจริงๆ เหตุปัจจัยที่ทำให้ศรัทธาเกิดเป็นอย่างไร คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ศรัทธาคืออะไรก่อน

    ผู้ฟัง ศรัทธา คือ ลักษณะที่ผ่องใส ในที่นี้คือ เชื่อมั่น เชื่อในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ กุศลจิตเกิดเมื่อไรเพราะมี “ศรัทธา” สภาพธรรมที่ผ่องใส และทำให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วยผ่องใสไม่เป็นอกุศล จะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่มีการสะสม เหมือนกับชาตินี้ทุกคนเกิดมาต่างกัน เพราะอะไร ก็ตามการสะสม เพราะฉะนั้น แม้ศรัทธาก็จะไปพ้นจากการสะสมในอดีตหรือ แล้วใครจะไปรู้ว่า อดีตเคยเป็นใคร เคยฟังธรรมที่ไหน แล้วได้ฟังธรรมมากน้อยแค่ไหน และเข้าใจแค่ไหน การที่จะรู้คือว่า เดี๋ยวนี้มีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง และสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจแค่ไหน ไม่ต้องไปเท้าความถึงนานแสนนานมาแล้ว กว่าศรัทธาค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง จนกระทั่งมีการได้ฟังอีก และได้เข้าใจ เพียงแต่ว่า ขณะนี้ศรัทธาที่จะเข้าใจคำที่ได้ฟังว่า หมายความถึง สภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ตรงตามที่ได้ฟังหรือเปล่า และค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่อย่างนั้นโลภะก็พาไปอีกแล้ว พาไปง่ายมาก คิดเรื่องอื่น

    ผู้ฟัง คนที่ชอบงานอดิเรกอาจจะไปตีกอล์ฟ จะทำอะไรก็ได้ที่ชอบ ก็บอกว่า ไม่มีเวลาฟังพระธรรม ทั้งๆ ที่บอกว่า พระธรรมมีประโยชน์ ดูเหมือนว่า ยังไม่เห็นประโยชน์พอที่จะเกิดศรัทธาให้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเวลาสำหรับพระธรรมใช่ไหม มีเวลาคิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ทุกคนก็ต้องคิดถ้าไม่หลับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาคิดนั่นแหละคือ การเข้าใจพระธรรมได้ แล้วจะบอกว่า ไม่มีเวลาสำหรับพระธรรมได้อย่างไร

    ผู้ฟัง แต่ถ้าคิดไปในอกุศล

    ท่านอาจารย์ ก็เพราะเหตุนั้น คนที่บอกว่าไม่มีเวลาสำหรับพระธรรม ก็ย้อนถามไปว่า มีเวลาสำหรับคิดหรือเปล่า แล้วที่คิดเรื่องอื่นทำไมคิดได้ แต่บอกว่า ไม่มีเวลาที่จะสำหรับคิดพระธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วคุณอรวรรณหรือใครก็ตาม ไม่กังวลถึงคนอื่น แม้แต่คำถามในขณะนี้ก็ไม่กังวลถึงว่า “ทำไมเข้าใจธรรมได้” หรือ “ทำไมยังไม่เข้าใจ” หรือว่า “ทำไมเข้าใจเพียงแค่นี้ ไม่เข้าใจมากกว่านี้” ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มัวไปนั่งเสียเวลาคิดเรื่องนั้น แต่ว่าขณะนี้เป็นการแสดงอยู่แล้วว่า ต้องมีการสะสมที่จะทำให้ได้ยินได้ฟังพระธรรม และขณะที่ทุกคนกำลังได้ยินได้ฟังพระธรรม ความเข้าใจของแต่ละคนต่างกันไปตามการสะสม จะไปให้ทุกคนมีความเข้าใจเหมือนกันหมด แม้แต่คำที่กล่าวได้ยินเหมือนกันหมด แต่ความเข้าใจก็ต่างกันไป

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องย้อนถอยไปมากมาย เพียงแค่เดี๋ยวนี้ก็ต้องรู้แล้วว่า แม้แต่การที่จะเข้าใจก็ต้องมีเหตุปัจจัย แต่ถ้ามัวไปนั่งคิดถึงเหตุปัจจัย ก็เลยไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้อย่างนี้ก็ต้องตามการสะสมว่า ใครจะกลับไปคิดเรื่องนั้น เรื่องนี้ หรือว่ากำลังฟังแล้วเข้าใจคำที่ได้ยินว่า หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ย้ายไปอื่นเลย ขณะนี้ก็คือ ธรรม เห็นไหมกว่าจะมาถึงว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ขณะนี้เป็นธรรม ที่กำลังปรากฏเป็นธรรม ที่กำลังเห็นเป็นธรรม ที่กำลังได้ยินเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ดูเหมือนว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสะสม เช่น ที่เป็นอยู่ตรงนี้ก็หมายความว่า ต้องสะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงขณะนี้ แล้วแต่ว่า สะสมอะไรมา

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ฟังหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ฟัง

    ท่านอาจารย์ ฟังอะไรบ้าง ที่ไหนบ้าง เมื่อไรบ้าง

    ผู้ฟัง ตอนเช้าศึกษาอิณสูตรว่า เป็นคนจนแล้วเป็นหนี้ก็ต้องใช้ดอก

    ท่านอาจารย์ ก่อนนั้นฟังหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก่อนนั้นก็ฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ลองไล่เรียงตั้งแต่เมื่อวานนี้ฟังธรรมเมื่อไหร่บ้าง ก่อนมาที่มูลนิธิฯ ก็ฟัง ที่มูลนิธิฯ ก็ฟัง กลับไปฟังรึเปล่า เพราะฉะนั้น เห็นการสะสมไหม เพียงแค่นี้จากก่อนฟังที่มูลนิธิฯ ก็ได้ฟัง ฟังแล้วสะสมแล้ว มาฟังที่มูลนิธิฯ อีกก็สะสมอีก พอไม่ได้ฟังที่มูลนิธิฯ ฟังที่อื่นอีกก็สะสมอีก แล้วจะไม่เข้าใจเรื่องการสะสมได้อย่างไร ถ้าเว้นไม่ฟังเสียเลยเป็นอย่างไร สะสมหรือเปล่า ก็ไม่ได้สะสม ถูกต้องไหม เมื่อไหร่ฟังเมื่อนั้นก็สะสม ค่อยๆ สะสมไปที่จะเข้าใจ ธรรมที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้นแล้วก็เป็นแต่เพียงชื่อ เป็นแบบเพียงเรื่องตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่ตัวสภาพธรรมก็ปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง เมื่อทราบว่า ทุกคนสะสมกุศลมามากก็เหมือนกับตอนนั้นเป็นคนจน แต่ถ้าเมื่อไหร่ล่วงออกมาเป็นทุจริต ทางกาย ทางวาจา ก็เริ่มเป็นหนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก็เป็นคนจน เดี๋ยวเป็นโน่น เดี๋ยวก็เป็นนี่ ก็คิดแต่เรื่องนั้นใช่ไหม แต่ประโยชน์ก็คือว่า ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้นเป็นประโยชน์สูงสุด เดี๋ยวนี้แวะข้างไหนหรือเปล่า ซ้ายขวาฝั่งโน้นฝั่งนี้กำลังแวะอยู่หรือเปล่า นี่คือ ประโยชน์จริงๆ ที่จะรู้ว่า ทั้งหมดก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง กำลังรู้ ไม่ต้องไปคิดว่า “แล้วขณะนั้นเป็นคนจนหรือเป็นคนรวย” “เป็นท่อนไม้ที่กำลังอยู่ฝั่งโน้นหรือฝั่งนี้” ไม่ต้องคิดอย่างนั้นเลย ทุกอย่างที่ได้ฟังเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏโดยไม่ไปติดเรื่องราว ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพราะว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า ลักษณะนี้เป็นธรรม จะเล็กน้อยชั่วคราวสักเท่าไหร่ก็สะสม ที่เข้าใจว่า นี่ก็คือ ธรรม เพียงเป็นธรรมที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ลืมไปก็ไม่เป็นไร ก็ฟังอีกแล้วก็ค่อยๆ จำได้ ค่อยๆ จำได้ จนกว่าแม้ไม่ได้ยินก็เกิดเข้าใจ ระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่า เพียงปรากฏ แล้วก็หมดไป เมื่อวานนี้ไม่ปรากฏเลย ชาติก่อนไม่ปรากฏเลย ชาตินี้ก็ไม่ปรากฏอยู่เรื่อยๆ เพียงปรากฏสั้นมากแล้วก็หายไปๆ แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ จนทำให้ไม่เห็นการเกิดดับของสภาพธรรมซึ่งเป็นจริง สามารถที่จะรู้ได้

    ผู้ฟัง อย่างน้อยก็คือ ละความไม่รู้ที่ ถ้าไม่ฟังก็จะไม่มีวันรู้เลย

    ท่านอาจารย์ มีแข็งปรากฏไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ขณะที่แข็งปรากฏๆ กับอะไร

    ผู้ฟัง กับจิตที่รู้แข็ง

    ท่านอาจารย์ สภาพที่กำลังรู้แข็ง เพียงเท่านี้แล้วก็รู้แข็งจริงๆ ที่ปรากฏ พร้อมกันนั้นก็รู้ธาตุรู้ที่กำลังรู้แข็งในขณะที่ฟัง เพราะกำลังพูดเรื่องแข็งที่ปรากฏ มีแน่ๆ และแข็งนั้นปรากฏกับธาตุหรือสภาพธรรมที่กำลังรู้ แข็งจึงได้ปรากฏ ถ้าขณะนั้นไม่คิดเรื่องอื่นเลย พอที่จะเริ่มเข้าใจไหม แม้ยังไม่เห็นความเป็นธรรมซึ่งเกิดดับ แต่ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ในขณะที่แข็งกำลังปรากฏไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย แม้ว่าความเชื่อความจริงยังไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ความเข้าใจถูกเริ่มเข้าใจถูก ว่านี่คือ “โลก” หรือ “โลกะ” ที่ใช้ ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นปรากฏของสภาพธรรม โลกไม่มีเลย ไม่ว่าโลกไหนก็ไม่มี แต่เมื่อเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ และเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว จึงไม่ได้เข้าใจลักษณะที่แข็ง ชั่วขณะนั้นเป็นใคร เป็นแข็ง มีจริงๆ ชั่วคราว เพราะเหตุว่า แข็งแล้วก็นึกถึงอย่างอื่นต่อไป

    เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะเข้าใจสภาพธรรมทั้งหมด ไม่สงสัยเลย เพราะว่า เพิ่มความเข้าใจขึ้นในสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ละเอียดไหม สืบต่อกันเร็วไหม แต่ก็ยังสามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้ว่า ความจริงก็เป็นอย่างนี้ ส่วนจะรู้มากกว่านี้ก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้ค่อยๆ เป็นอย่างนั้น ไม่ไช่ว่า “ทำอย่างไร” หรือ “อยากจะรู้” แต่ยังไม่รู้ ยังไม่รู้ก็คือ ไม่รู้ๆ ก็เป็นความจริง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะว่า “เราไม่รู้” เพราะฉะนั้น ก็จนกว่าจะหมดความเป็นเรา

    ผู้ฟัง เหตุปัจจัยของศรัทธาจริงๆ แล้วคือ ท่านอาจารย์ก็ไม่ได้กล่าวอย่างอื่นเลย นอกจากฟังให้เข้าใจ นั่นก็คือ ทุกอย่างทุกอย่างเริ่มจากฟังให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า ยังไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม จะเข้าใจปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาพธรรมนั้นได้อย่างไร เข้าใจเพียงเรื่องราวใช่ไหม แต่ขณะนี้เห็น ก็ยังไม่ได้ปรากฏว่า เป็นธาตุที่กำลังรู้คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ แต่ละหนึ่งขณะของสังสารวัฏฏ์ จะขาดไปไม่ได้เลยสักขณะเดียว เป็นการสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก แต่ก็ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกว่าจะละคลายความไม่รู้ สภาพธรรมจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ พอได้ยินคำใหม่ ไม่ใช่ภาษาไทย “อินทรียสังวร” หรือที่ใช้คำว่า “อินทรีย์สังวร” เข้าใจได้ไหม หรือต้องไปหาคำแปลอะไรมาอีก ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ พอได้ยินคำนี้ก็เข้าใจเลยใช่ไหม อะไรไม่ใช่อินทรีย์ในขณะที่กำลังเห็น ไม่มีใช่ไหม ตาเป็นอินทรีย์ สิ่งที่ปรากฏเป็นหรือเปล่า นี่คือ พยายามไปเรียนจำชื่อ เรื่องราว แล้วก็ต้องมานั่งทบทวนว่า ใช่หรือไม่ใช่ เป็นหรือไม่เป็น ใช่ไหม แต่ว่า สภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเข้าใจแล้วก็สามารถที่จะตรงต่อลักษณะนั้นตามความเป็นจริงได้ ไม่คลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ของการฟังคือ เข้าใจสภาพธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567