พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 733


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๓

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พ และพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    อ.กุลวิไล กราบเรียนถามท่านอาจารย์ถึง สภาพธรรมที่เร่าร้อน ที่มากกว่า และน่ากลัวกว่าความเร่าร้อนในนรก กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ใครไม่มีกิเลสบ้าง ไม่มี เพราะฉะนั้น รู้จักความเร่าร้อนกันทุกคน ใช่ไหม ถ้าขณะใดที่กิเลสไม่เกิด ขณะนั้นไม่เร่าร้อนแน่นอน แต่เวลาใดที่กิเลสเกิด ขณะนั้นก็เป็นความเร่าร้อนตามลักษณะของกิเลสนั้นๆ เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่า ตามความเป็นจริงไม่รู้ว่าความเร่าร้อนนั้นมาจากไหน เพราะเหตุว่า เกิดมาแล้วเร่าร้อน เพราะฉะนั้น ความเร่าร้อนนั้นมาจากไหน ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่เร่าร้อน และถ้ายังมีกิเลสอยู่ก็ยังต้องเกิด

    เพราะฉะนั้น ทุกคนขณะนี้กำลังมีกิเลส และก็เคยเร่าร้อนมาแล้วด้วย จะเร่าร้อนมากน้อยประการใดเรื่องใดก็ผ่านมาแล้ว ไม่ชอบเลยใช่ไหมความเร่าร้อน เพราะฉะนั้น เอาตัวรอดดีไหม เอาตัวรอดฟังดูเหมือนกับเห็นแก่ตัว แต่ความจริงเอาตัวรอดจากความเร่าร้อน เอาตัวรอดจากกิเลส เพราะว่าจริงๆ แล้วถ้าเรายังคงแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม เราไม่พ้นจากกิเลส ไม่พ้นจากความเร่าร้อน

    เพราะฉะนั้น ขณะกำลังฟังเดี๋ยวนี้ต้องรู้ความจริงว่า เป็นการเอาตัวรอดจากกิเลส กิเลสนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งหมด ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขสบาย หรือสิ่งที่มาปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่น่าพอใจเลย และก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย แล้วก็จะเร่าร้อนกันต่อไปอีก ขณะที่กำลังเอาตัวรอดจากกิเลสคือกำลังฟังพระธรรมให้เข้าใจ ขณะนี้ไม่ปรากฏความเร่าร้อนเมื่อมีความเข้าใจ แต่ตราบใดที่ยังคงมีกิเลสอยู่ให้ทราบว่า มีทางเดียวคือคนอื่นช่วยไม่ได้เลย นอกจากทุกคนต้องเอาตัวรอดจากกิเลสด้วยปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งขณะนี้ธรรมก็ปรากฏ แต่เมื่อปัญญายังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ สภาพธรรมจะปรากฏไหมว่า นี้ทุกข์ เดี๋ยวนี้คือทุกข์

    เพราะเหตุว่า เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นขณะนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาก็จะมีความคิดที่ไกล ไม่ใช่เพียงแต่พ้นทุกข์ชั่วคราว กำลังเร่าร้อนก็หาทางง่ายๆ เร็วๆ ที่จะพ้นทุกข์ แต่ว่าก็ต้องเกิดมีทุกข์อีกร่ำไป เพราะฉะนั้น ทางที่มั่นคงที่สามารถที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ ก็คือปัญญาที่มีความเห็นที่ถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และขณะใดที่ฟัง และมีความเข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็เป็นทางเดียวที่จะรอดจากความทุกข์ และความเร่าร้อน เพราะว่าตราบใดที่ยังไม่เป็นพระโสดาบัน ไปนรกก็ได้ ไปเป็นเปรตก็ได้ ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ไปเป็นอสูรกายก็ได้ นี่คือจากมนุษย์ไปสู่นรก แม้จากสวรรค์ก็ยังไปสู่นรกได้

    เพราะฉะนั้น ประมาทธรรมไม่ได้เลย แต่ละขณะที่ได้ฟังได้มีความเข้าใจก็คือกำลังที่จะรอดพ้นจากกิเลสซึ่งเป็นความเร่าร้อน แล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่ายังไม่เร่าร้อน แต่จริงๆ ไม่รู้เลยว่ากำลังสะสมที่จะให้ความเร่าร้อนปรากฏเมื่อมีกำลังพอที่จะปรากฏ เพราะว่าถ้าเพียงนิดเดียว เล็กๆ น้อยๆ นิดหน่อยก็มองไม่เห็น แต่ถ้ามากๆ ก็เห็น และสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็ยอมรับกันว่าเป็นความจริง ทุกสิ่งนี้เกิดเพราะมีปัจจัยแล้วก็ดับไป ยอมรับ เห็นด้วย เชื่อว่าเป็นความจริง แต่เดี๋ยวนี้ธรรมเกิด และดับ ความจริงต้องเป็นความจริงที่สามารถที่จะเข้าใจยิ่งขึ้นได้ โดยไม่ใช่ความเป็นเราที่รีบร้อน ที่อยากจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะว่า อกุศลที่สะสมมามากมาย แล้วก็นานๆ ครั้งกุศลก็จะเกิด แล้วปัญญาก็เริ่มที่จะสะสมความเข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรงก็คือว่า รู้ว่าธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา การที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนฉับพลันทันทีแบบไม่มีกิเลสเลยได้ไหม จากกิเลสที่สะสมมามากๆ แล้วฟังวันนี้อยากจะไม่มีกิเลสเลย ฟังวันนี้ก็อยากจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม หาทางว่าทำอย่างไรนั่นคือไม่เข้าใจธรรมเลย ขณะนั้นก็เป็นความเร่าร้อนเพราะกิเลสที่อยากจะเข้าใจธรรม แสวงหาดิ้นรนคิดว่าฟังอย่างไร ทำอย่างไร ก็คือว่า ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า อกุศลทั้งหลายความไม่รู้ทั้งหลายที่สะสมมามาก จะหมดสิ้นไปได้ ไม่ใช่โดยฉับพลัน แต่ขณะนี้ทุกขณะที่เข้าใจธรรมขึ้น เข้าใจธรรมขึ้น เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งโดยไม่รู้ว่า เมื่อไหร่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ได้สะสมเหตุ คือความเห็นที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่อดทน เมื่อวานนี้ก็ได้ไปสนทนาธรรมที่องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ก็มีชาวต่างประเทศท่านหนึ่ง ท่านเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก และท่านก็บอกว่าทำอย่างไรถึงจะได้เข้าใจธรรมอย่างนี้ คืออย่างที่ได้ยินได้ฟัง คำตอบก็คือว่าอดทน ถ้าใครขาดความอดทนจะสามารถเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ไหม เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรงคือ ขณะนี้กำลังเห็น ผู้ที่ตรัสรู้ทรงแสดงว่า เห็นเกิดแล้วดับ

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่ประจักษ์การเกิด และดับของเห็นขณะนี้ก็เป็นผู้ที่อดทน ที่จะฟังเข้าใจ และไม่หวัง นี่เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะว่าความหวังคือโลภะ ซึ่งติดตามอยู่ตลอดเวลาเกือบไม่เว้นโอกาสเลย ทางตาเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาดับเร็วมาก แต่แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ ความติดข้องก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น นอกจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นับประมาณไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่อดทนจริงๆ ที่จะค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดแล้วตามปกติ นี่คือสิ่งที่ยาก เดี๋ยวนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ แล้วก็กำลังคิดเรื่องอื่น ไม่ได้รู้ตรงลักษณะของเห็น

    เพราะฉะนั้น วิตกเจตสิก เป็นเจตสิกที่ตรึกหรือจรดในอารมณ์ ปกติวิตกเจตสิกก็เกิดหลังจากที่จักขุวิญญาณจิตเห็น โสตวิญญาณจิตได้ยิน ฆานวิญญาณจิตได้กลิ่น ชิวหาวิญญาณจิตลิ้มรส กายวิญญาณจิตที่กระทบสัมผัส ดับแล้ว ขณะจิตต่อไปวิตกเจตสิกเริ่มเกิด เห็นไหมว่าเกิดตลอดเวลา แล้วเกิดบ่อยๆ แต่จรดในอะไร ตรึกถึงอะไร ไม่ไช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เลย ทั้งๆ ที่ฟัง แล้วก็มีเห็น แต่กว่าที่จะให้วิตกเจตสิก ซึ่งชำนาญ ถนัด คุ้นเคย ที่จะจรดในอารมณ์อื่นทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ทำให้กว่าการได้ยินได้ฟังเป็นความเข้าใจ เป็นสังขารขันธ์ที่สะสมมีกำลังพอที่จะให้วิตกไม่ตรึกนึกถึงอารมณ์อื่นตามที่เคยนึกถึง เนืองๆ บ่อยๆ ตลอดเวลาก็ว่าได้ ค่อยๆ รู้ลักษณะของเห็นที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และไม่ใช่แต่เฉพาะเห็น ไม่ว่าจะเป็นได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึกรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส หรือแม้แต่กำลังคิด

    เพราะฉะนั้น เป็นงานใหญ่ ภาระที่จะต้องอบรมเจริญปัญญาซึ่งไม่ใช่เรา แต่ให้เข้าใจความเป็นจริงว่า ยากยิ่งกว่านั้นก็คือว่า ไม่ใช่ตัวตน ต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยของสภาพธรรมแต่ละอย่าง แม้แต่วิตกจะห้ามไม่ให้ไปตรึกนึกถึงอย่างอื่น ให้มารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏไม่มีใครทำได้ เพราะสะสมมา กว่าการฟังเข้าใจจะเป็นปัจจัยให้วิตกซึ่งเป็นสัมมาสังกัปปะ ในมรรคมีองค์ ๘ จรดหรือรู้เฉพาะอารมณ์คือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งทุกคนก็รู้ วันนี้มีสภาพธรรมมากมาย เห็นก็มี ได้ยินก็มี ได้กลิ่นก็มี เสียงก็มี คิดนึกก็มี ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี ทั้งหมดวิตกเจตสิกยังไม่ได้จรดที่แต่ละลักษณะของสภาพธรรม ที่จะเข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ หรือสภาพรู้ ซึ่งกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นชั่วคราวจริงๆ จะไม่รู้เลยว่าขณะนี้ดับเร็วไม่เหลือเลย และอวิชชา และโลภะก็ติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย ทุกอย่าง ทุกขณะ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเข้าใจได้ใช่ไหมว่า กำลังเอาตัวรอดจากอกุศล จากกิเลสซึ่งจะนำไปสู่ภพภูมิต่างๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะนรก แม้สวรรค์ ก็เป็นทุกข์ เพราะเกิดแล้วก็ดับไม่มีอะไรเลยที่เที่ยง เมื่อเกิดแล้วต้องดับ

    ผู้ฟัง เพื่อความเข้าใจความละเอียดของพระธรรม กราบท่านอาจารย์ช่วยให้ความละเอียดว่า การเสพจนคุ้น การพิจารณานามทางตาจนคุ้น และการพิจารณานามทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจนคุ้น แล้วก็รูปด้วย กราบท่านอาจารย์ให้ความละเอียดด้วย

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังธรรมเดี๋ยวนี้เสพคุ้นอะไรหรือยัง คือทุกอย่างต้องเป็นขณะนี้เราถึงสามารถที่จะเข้าใจข้อความใดๆ ได้ ทั้งหมด กำลังคุ้นหูกับคำว่าธรรม กำลังคุ้นหูกับคำว่าทุกอย่างขณะนี้ปรากฏเพราะเกิดแล้วก็ดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ลืมไหม พอไปข้างนอกที่ไหนๆ ก็ลืมหมดเลย ว่าขณะนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏให้เห็นว่ามี ชั่วคราวแสนสั้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเสพคุ้นแม้ขั้นฟังเข้าใจ เพราะว่าเราในสังสารวัฏฏ์นี้สัญญาความจำ จำหมดเลยทุกเรื่องที่ผ่านมา แล้วก็ชาตินี้ก็ยังจำไว้หมด เพราะฉะนั้น ก็คุ้นเคยกับการจำเรื่องราวต่างๆ และการฟังธรรมนี้ก็ไม่มาก ชั่วขณะที่กำลังเอาตัวรอดจากกิเลสด้วยการฟังให้เข้าใจ แต่ว่าเสพคุ้นแค่ไหน ซึ่งแต่ละคนก็ต้องรู้จักตามความเป็นจริงว่า เสพคุ้นเพียงคำ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ แต่ว่าเสพคุ้นด้วยการรู้ลักษณะที่เป็นธรรมบ้างหรือยัง มากคือน้อย โดยความเป็นปกติ

    ในพระไตรปิฎกจะใช้คำว่าพิจารณา หรือทำความเพียร หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ให้ทราบว่าทั้งหมดเป็นธรรม ทรงแสดงความเป็นจริง อย่างกล่าวกับท่านพระราหุลว่า จงเจริญกายานุปัสสนาสติปัฐาน หรือว่าระลึกรู้ลักษณะของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แม้อากาศธาตุ แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ท่านพระราหุลทำการรู้ตรงนั้นขณะนั้น แต่มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าขณะนี้มีอะไร และอะไรควรเป็นสิ่งที่ควร และอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควร

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกคนกำลังเสพคุ้นกับธรรมที่ควรอบรมเจริญ แต่ไม่ได้หมายความว่า สามารถที่จะไปรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ อย่างที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้ได้ จนกว่าเมื่อไหร่ถึงกาลที่กำลังเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าใครพูดว่าสติขั้นทาน ก็เข้าใจว่าไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ขณะนั้นคือกำลังให้ทานต้องมีสติเป็นไปในการให้ ขณะที่กำลังวิรัติทุจริต ขณะนั้นก็ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะเหตุว่า ขณะนั้นเว้นการกระทำที่ไม่ดีทางกาย ทางวาจา แต่ขณะใดที่ฟังธรรมเข้าใจ ก็สามารถที่จะเป็นคนตรงที่จะรู้ว่า กำลังฟังเรื่อง เพื่อเพิ่มความเข้าใจถูกว่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วไม่ใช่เรา จนกว่าขณะใดที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม คนนั้นก็จะรู้ว่าไม่ใช่เพียงขั้นฟัง เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่เป็นภาษาบาลีไม่ใช่กล่าวถึงโดยที่สภาพธรรมไม่เกิด ไม่ปรากฏ แต่หมายความว่าขณะนี้เป็นอย่างไรก็เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ เป็นผู้ที่ตรง

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็จะเข้าใจความหมายของคำว่าปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน เฉพาะตนๆ ถึงจะดูว่าสภาพธรรมเป็น ๑ ไม่เป็น ๒ เกิดขึ้น ๑ แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้ แล้วสภาพธรรมเมื่อสักครู่นี้ไปไหน และอยู่ที่ไหน ดับคือไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่กลับไปอีกด้วย แล้วก็เป็นอย่างนี้ นี่คือกำลังเสพคุ้นกับความจริง ซึ่งเป็นสัจจธรรมจนกว่าจะมั่นคงเป็นสัจจญาณ

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงการเสพคุ้น โดยปกติพูดถึงบัญญัติ ปกติแล้วก็อัตโนมัติของบัญญัติที่จะเกิดขึ้นเป็นไปเพราะว่า การเกิดดับของสภาพธรรมรวดเร็วมาก เมื่อพูดถึงความที่ไม่คุ้นเคย เพราะส่วนใหญ่ก็จะคุ้นเคยบัญญัติแล้วก็ความเป็นตัวเรา ดังนั้นไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ จริงๆ แล้วเป็นสภาพธรรม แต่ก็เป็นตัวตน แต่ขณะที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ยึดถือบัญญัตินั้นว่าเป็นเราจริงๆ ซึ่งในชีวิตประจำวันก็เป็นการพิสูจน์ว่า เร่าร้อนโดยที่ไม่รู้สึกว่าเร่าร้อน เป็นการเสพคุ้นที่เร่าร้อน แต่ท่านอาจารย์ก็กรุณาให้พิจารณาสภาพธรรมซึ่งน้อยนิดท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าการเสพคุ้นจำเป็นจะต้องรู้จักลักษณะของปรมัตถธรรมหรือไม่ เพราะว่าลักษณะของโทสะปรากฏเข้าใจ มีลักษณะ อย่างเช่นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าลักษณะอย่างนั้นก็เป็นสัตว์บุคคลตัวตนทันทีทันใดมันไม่เสพคุ้น

    ท่านอาจารย์ โทสะเกิดแล้วเร่าร้อนใช่ไหม

    ผู้ฟัง โดยสภาพ

    ท่านอาจารย์ ถ้าขณะนั้นเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง จะเร่าร้อนไหม เปลี่ยนลักษณะของโทสะไม่ได้ แต่จิตที่เกิดต่อไม่เร่าร้อน

    ผู้ฟัง ก็ไม่คุ้นกับสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง ถ้ามีคนบอกว่าคุณชุมพรคุ้น น่าอัศจรรย์ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่คุ้นจริงๆ ถึงแม้ไม่สามารถที่จะเสพคุ้นในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมจริงๆ ปลอดจากสัตว์บุคคลจริงๆ แต่ว่าความเป็นจริงก็คือ สัตว์บุคคลตลอด จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการเห็นโทษหรือว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แสวงหาทางจะคุ้น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ก็ตัวตนใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ฟังให้เข้าใจ ขณะที่เข้าใจขณะนั้นละความไม่รู้ และไม่เข้าใจ บางคนก็บอกว่าฟังมาตั้งนานไม่เห็นละอะไรเลย ไปละอะไร เพราะเหตุว่า ขณะที่พูดไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่พูด ละไม่ได้ แต่ขณะใดก็ตามที่เข้าใจขณะนั้นแหละ ละ ไม่ใช่ขณะอื่น ไม่ใช่พยายามจะมีตัวตน รีบๆ ฟัง ฟังมากๆ จะได้ไปละ แต่ว่าขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นเองละความไม่เข้าใจ และความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจในขณะนั้นเท่านั้น ถ้ามากขึ้น มากขึ้น ก็สามารถที่จะละไม่ว่าจะมีการเห็นการได้ยินก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าขณะนั้นก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรมแล้วเข้าใจ เข้าใจจริงๆ เข้าใจขึ้น สามารถที่จะบอกกล่าวคนอื่นให้ฟังให้เข้าใจด้วยได้ไหม เพราะว่าผู้กล่าวมีความเข้าใจของตัวเอง แต่ถ้าจะเพียงฟังเพื่อที่จะจำคำทั้งหมดไปบอกคนอื่น แสดงว่าคนนั้นไม่สามารถที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจได้ เพราะว่าแม้ขณะนั้นก็เป็นเพียงความจำ ไม่ใช่ความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละ ๑ แม้แต่เอตทัคคะของบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย บางท่านก็เป็นผู้ที่กล่าวถ้อยคำได้ละเอียด บางท่านก็กล่าวได้ไพเราะมากมาย นี่ก็เป็นความหลากหลาย เพราะฉะนั้น แต่ละ ๑ จะให้เป็นอย่างอื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดความเข้าใจพอหรือยัง ไม่ต้องไปคิดหาทางที่จะไปจำเอาไว้เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่น แต่ในขณะนี้ที่กำลังฟังไม่ต้องทำอะไรเลย แต่รู้ตรงตามความเป็นจริงว่าเข้าใจแค่ไหน และฟังเดี๋ยวนี้เข้าใจขึ้นหรือเปล่าจากเมื่อสักครู่นี้ ก็ค่อยๆ มีความเข้าใจขึ้นจากการฟัง

    ผู้ฟัง อีกคำหนึ่งที่ท่านอาจารย์ตอบชาวต่างประเทศไปว่า อยากจะเข้าใจธรรมก็คืออดทน ก็อยากจะเรียนถามว่า อดทนด้วยความเป็นตัวตนที่คิดว่าเข้าใจ กับอดทนที่เข้าใจจริงๆ จะต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ อดทนที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ก็เป็นตัวเราที่ยังอดทน

    ท่านอาจารย์ ก็จนกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา นั่นคือความอดทน

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ใช่เราที่อดทนก็คือ ขณะที่อดทนก็เป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ มีความเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมกล่าวได้เลย ทั้งวัน ถ้ายังสงสัยแม้เล็กน้อย ก็ไม่ใช่ปัญญาที่อบรมแล้วที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล เพราะว่าพระโสดาบันบุคคล ดับความไม่รู้ ความสงสัย ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ที่มีมากสักแค่ไหนในสังสารวัฏฏ์จนไม่เหลือเลย

    อ.วิชัย จริงๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจตั้งแต่ต้น แม้แต่ธรรมเอง ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวว่า ความละเอียดของธรรมคือ แต่ละคำที่เราได้ยินได้ฟัง สามารถที่จะเข้าใจคำนั้นมากน้อยแค่ไหน แม้ในเรื่องของธรรมก็ตาม เพราะเหตุว่า ขณะที่ดู ขณะที่คิด ขณะที่พิจารณา ขณะที่พิมพ์อะไรต่างๆ ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งถ้าเรามีความละเอียดว่า ความรู้ความเข้าใจไม่ใช่เป็นสิ่งที่คาดหวังว่า เมื่อกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วความรู้ความเข้าใจจะเกิดขึ้น แต่ขณะที่ตรงนั้นเอง คือขณะที่ฟัง ขณะที่พิจารณาตรงนั้นเองว่า เข้าใจมากน้อยแค่ไหน

    เพราะเหตุว่า บางครั้งก็มีเรื่องของการที่จะคาดหวังว่ากระทำสิ่งนั้น หรือว่ากระทำสิ่งนี้ อย่างงั้น อย่างนี้แล้ว ความรู้ความเข้าใจหรือว่าปัญญาจะเกิดขึ้น ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะเหตุว่า ความรู้ ความเข้าใจ ตั้งแต่เริ่มต้นขณะที่ได้ยินได้ฟัง ขณะที่ฟังเข้าใจมากน้อยแค่ไหน และสิ่งที่ฟังไม่ใช่เพียงเรื่องต่างๆ ซึ่งไม่มี เพราะเหตุว่า เรากล่าวถึงธรรม หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ งั้นคำแต่ละคำไม่ใช่เพียงคำ แต่ว่าคำนั้นสามารถที่จะส่องถึงลักษณะของสิ่งนั้นจริงด้วย อย่างเช่นกล่าวว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เพียงคำว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่ามีลักษณะจริงๆ ของธรรมที่กำลังปรากฏทางตาอยู่ ฉะนั้นความรู้ความเข้าใจไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจว่ากำลังมี ขณะนี้ทุกท่านก็รู้ว่ากำลังมีอยู่ แต่ว่าขณะนี้มีเพียงความเข้าใจว่ากำลังมี แต่ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567