พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 740


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีอวิชชา และเมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงมีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งความจริงเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แล้วถ้าจะระลึกถึงสภาพของสิ่งที่จักขุวิญญาณเห็น จะไม่เป็นรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถกระทบกับจักขุปสาท เพราะฉะนั้น ความหมายที่ลึกซึ้งของธรรมที่กำลังปรากฏ คือ เป็นเพียงสภาพธรรมที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท ไม่เป็นรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่สามารถกระทบกับจักขุปสาทได้แล้วดับไป แต่การเกิดดับไปอย่างเร็ว และไม่รู้ จึงมีความยินดีติดข้อง เป็นชีวิตประจำวัน เห็นแล้วชอบ แต่ไม่รู้จักอวิชชา เพราะเป็นสภาพที่ตรงกันข้ามกับปัญญา เพราะฉะนั้น อวิชชาไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่โลภะเป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง

    เพราะฉะนั้น จะเห็นอะไรในชีวิตประจำวัน เห็นโลภะ แต่ไม่รู้ว่า มีอวิชชา ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจะรู้ไหม ว่าอวิชชาอยู่เมื่อไหร่ แต่ถ้าฟังแล้ว ในขณะนี้เองที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบจักขุปสาท รูปยังไม่ดับ อวิชชาก็เกิดร่วมกับอกุศลในรูปที่ยังไม่ดับ และรูปที่เกิดดับซ้ำกัน จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตสัณฐานต่างๆ แล้วก็ยังเป็นตั้งหลายคน เพราะฉะนั้น อกุศลจะมากมายสักแค่ไหน ทั้งอวิชชา และโลภะซึ่งเปรียบเสมือนมารดา เป็นผู้ที่ให้กำเนิด และกรรมเป็นเหมือนบิดา คือ เจตนาที่จงใจที่จะกระทำตามความพอใจ แล้วแต่ว่า จะเป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะฉะนั้น ธรรม ๔ อย่าง ซึ่งเริ่มจาก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นมารดา และกรรมเป็นบิดา นี่เป็นคำอุปมา เพราะเหตุว่า เราสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า เกิดมามีทั้งมารดา และบิดา จะมีแต่บิดาก็ไม่ได้ มีแต่มารดาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงโดยนัย ๔ อย่าง อวิชชามีแน่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ยังต้องมีมารดา ในชาติต่อๆ ไปด้วย มารดาจริงๆ ซึ่งทำให้เกิดไม่ว่า ในภพไหน ภูมิไหน

    เพราะฉะนั้น ความจริงจึงครอบคลุมไปหมดไม่ว่า จะภพไหน ภูมิไหน แต่ในภพภูมิของมนุษย์ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า การเกิดก็ต้องมีมารดาบิดา จึงทรงแสดงโดยนัยที่ให้เข้าใจได้ว่า เพราะมีอวิชชา มีตัณหา มีอุปาทาน เหมือนมารดา มีไหมเดี๋ยวนี้ แล้วก็มีเจตนาซึ่งเหมือนบิดาเป็นเหตุให้กระทำกรรม ไม่ว่า จะเป็นกุศลหรืออกุศลในขณะนี้

    อ.กุลวิไล ขณะนี้เองถ้าหากว่า ไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง ยังคงต้องมีนาม และรูป ซึ่งเรารู้ไหมว่า นาม และรูปไม่ใช่เรา เพราะว่า อวิชชาที่ไม่ให้รู้ธรรมตามความเป็นจริง และถ้ายังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม นามรูปก็ต้องมีนั่นเอง

    อ.อรรณพ เป็นโอกาสที่ดีมาก ที่วันนี้การสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม จะได้สนทนาถึงสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิด นามธรรม รูปธรรม ซึ่งสนทนาเป็นประเด็นไป ตอนนี้สนทนาถึงนัยโดยทั่วไปที่ครอบคลุมถึงสภาพธรรมที่เป็นปัจจัย ให้นามธรรม และรูปธรรมเกิดขึ้น ซึ่งการเกิดขึ้นของ นามธรรม รูปธรรม ทั้งในปฏิสนธิขณะ คือ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด หรือแม้กระทั่งเป็นรูปปฏิสนธิของพรหมที่เป็นอสัญญสัตตาพรหมก็ตาม คือ ในขณะปฏิสนธิด้วย และในขณะหลังจากปฏิสนธิ คือ ในปวัตติกาลด้วย นามธรรมรูปธรรมก็เกิดขึ้นตามปัจจัย ปัจจัย คือ สภาพธรรมหลักๆ ที่ทำให้ นามธรรม รูปธรรม เกิดขึ้น โดยทั่วไปได้แก่ อวิชชานี้แน่นอน เพราะอวิชชาเป็นเงื่อนต้นของสังสารวัฏฏ์ ใช่หรือไม่ เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ กรรม เพราะฉะนั้น จึงมีกิเลส อวิชชาเป็นกิเลสหลักที่ทำให้เกิดกรรม คือ กุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง อันนี้แน่นอน และกรรมที่เป็นกุศลกรรมบ้างหรืออกุศลกรรมบ้าง กรรมที่มีกำลังจะเป็นชนกกรรม คือ กรรมที่เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิเกิดขึ้นในภพหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น “ชนกกรรม” ถ้าแปล คือ กรรมที่เป็นพ่อ

    เพราะฉะนั้น ที่ท่านอธิบายโดยนัยว่า “บิดา” คือ กรรมที่มีกำลังที่เป็นชนกกรรม ที่เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่กรรมต้องอาศัยว่า ยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น มารดาเปรียบเสมือน อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน อวิชชา คือ โมหะ ตัณหา คือ โลภะ อุปาทาน คือ โลภะที่มีกำลังขึ้นจนมีสภาพของความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร คือ อวิชชาเป็นปัจจัยให้มีการกระทำกรรม ที่เป็นกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง ที่เป็นไปในวัฏฏะ ส่วนตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน เพราะโลภะที่ติดข้องมากเข้าๆ เป็นสภาพโลภะที่ยึดถือจึงเป็นปัจจัยแก่กรรม คือ กรรมภพ ซึ่งจะนำมาซึ่ง อุปัตติภพ เพราะฉะนั้น ตัณหา อุปาทาน จึงเป็นปัจจัยให้เกิดกรรมภพ

    เพราะฉะนั้น กรรมที่เป็นพ่อ ก็ต้องอาศัยแม่ ถ้ามีแต่พ่อซึ่งเป็นชายอย่างเดียว ก็ไม่มีทางที่จะมีลูกได้จึงต้องอาศัยแม่ ซึ่งแม่ที่ท่านเปรียบเทียบไว้จึงเหมือนมารดาซึ่งเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ทารก อาศัยบิดาซึ่งเป็นกรรมจึงมีการขึ้นของบุตรฉันใด เพราะว่ามีอวิชชาจึงเป็นปัจจัย มีตัณหา อุปาทาน จึงเป็นปัจจัยให้กรรมเป็นชนกกรรมได้ และหลังจากที่เกิดแล้วในปวัตติกาล ขณะนี้มีนามธรรม รูปธรรมอยู่ นามธรรม รูปธรรมที่มีเพราะอะไร จะบอกว่า เพราะยังมีอวิชชาอยู่เป็นอนุสัยก็ถูกต้อง มีโลภะที่ยังไม่ได้ดับ มีอุปาทานที่ยังไม่ได้ดับ และยังมีกรรมอยู่

    เพราะฉะนั้น จึงเหมือน มารดา บิดา ที่ทำให้สังสารวัฏฏ์นี้เป็นไป เป็นการอธิบายโดยนัยทั่วไปของสภาพธรรม ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิด นามธรรม รูปธรรม ในขณะนี้ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดลึกซึ้ง

    อ.ธิดารัตน์ ข้อความที่อธิบายท่านยกตัวอย่าง การเห็น การได้ยิน เพราะจริงๆ แล้ว การอาศัยกันของนามธรรม รูปธรรม ถ้าหากว่า ไม่มีจักขุปสาท โสตปสาท ซึ่งเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรม นอกจากกรรมจะเป็นชนกกรรม ที่ทำให้มีปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ยังเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปด้วย ถึงแม้ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ทุกๆ ขณะนี้มีรูปที่เกิดเพราะกรรม และยังมีวิบากจิต ซึ่งเป็นผลของกรรมอยู่ เพราะฉะนั้น จึงมีกรรมซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้มี การเห็น การได้ยิน ในขณะนี้ เพราะท่านแสดงว่า กรรมเป็นบิดาและกิเลสยังไม่ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นโลภะหรือความไม่รู้ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ ซึ่งทุกขณะท่านแสดงถึง เหตุของการเกิดขึ้นของนามรูปในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น ทุกขณะจิตที่เกิดขึ้นก็มีการอาศัยกันของ นามธรรม รูปธรรม และท่านยกตัวอย่างว่า เป็นบิดาบ้าง เป็นมารดาบ้าง เพราะว่า สภาพธรรมจะต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย และท่านแสดงว่า เหตุปัจจัยนั้นๆ ที่อุปการะให้มีนามธรรม มีรูปธรรม ขณะนี้ ท่านก็ยกตัวอย่างว่า สภาพธรรมใดเป็นบิดาบ้าง เป็นมารดาบ้าง จริงๆ คือ สภาพธรรมที่อุปการะให้มีสภาพธรรมเกิดขึ้น เพราะว่าถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าในพระสูตรต่างๆ ท่านแสดง และยกตัวอย่างโดยกว้างขวาง ถ้าเราเข้าใจว่า ธรรมใดเป็นปัจจัยให้ธรรมอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น โดยความเป็นที่อาศัยบ้าง โดยความเป็นปัจจัยซึ่ง เป็นกรรมเป็นปัจจัยบ้าง ก็จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้เพิ่มขึ้น

    อ.วิชัย นามรูปที่เกิดดับเป็นไปขณะนี้เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนั้นถ้าขณะนี้กำลังเห็นอยู่ แต่ว่า ขณะที่เห็นไม่มีอวิชชา คือ ความไม่รู้ เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ที่เป็นปัจจัยแก่การเห็นขณะนี้ อวิชชานั้นอยู่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปฏิสนธิ จะมีเห็นไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิมาจากไหน

    อ.วิชัย หมายถึงว่า ความเป็นปัจจัยของอวิชชา คือ แม้อวิชชานั้นดับไปแล้วหรือ แม้ไม่มีอยู่

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับไปที่เป็นกุศล และอกุศล จะสะสมสืบต่อ นอนเนื่องอยู่ในจิต

    อ.วิชัย เพราะฉะนั้น ความเป็นปัจจัยของธรรม คือ ธรรมเป็นอย่างนี้ใช่ไหม แม้ธรรมนั้นดับไปแล้ว แต่ความเป็นปัจจัยของธรรมนั้นยังอยู่โดยสืบต่ออยู่ในจิตใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมจะเกิดโดยไม่มีปัจจัยได้ไหม

    อ.วิชัย ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยโดยนัยต่างๆ จะเหมือนกันไม่ได้ ใช่ไหม อย่างเหตุปัจจัยไม่ใช่ปกตูปนิสสยปัจจัย

    อ.วิชัย แต่ทรงแสดงปัจจัยหลากหลายมาก

    ท่านอาจารย์ ตามสภาพลักษณะของธรรมนั้นๆ

    อ.กุลวิไล ธรรมจะเกิดโดยไม่มีปัจจัยไม่ได้ จิต เจตสิก และรูป เป็นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัย

    ผู้ฟัง จากการฟังว่า เพราะมีอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน เปรียบเหมือนมารดาที่ทำให้เกิด และมีกรรมที่อุปมาเหมือนกับบิดาที่ทำให้มีการเกิด ที่ยกตัวอย่างขณะนี้ คือ เห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้ ท่านอาจารย์บอกว่า เพราะความไม่รู้ ทุกวันนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่จึงเกิดมา จนกระทั่ง เป็นรูปนามถึงปัจจุบันขณะนี้ ความไม่รู้ตรงนี้ดูเหมือนว่า เมื่อรู้ว่า ไม่รู้ คือ ตัว “ไม่รู้” เขาไม่สามารถรู้ตัวเองว่า ไม่รู้ เหมือนจะต้องเริ่มต้นจากการฟังก่อนว่า ความเป็นจริงขณะนี้ เป็นอย่างไรจึงจะรู้ว่า การที่มีนามรูปนั่งอยู่จนถึงขณะนี้ได้เพราะมีความไม่รู้ ในเมื่อความไม่รู้สะสมมา มีมา และทำให้รูปนามเกิด แต่เมื่อรู้ว่าไม่รู้แล้วจะทำให้ไม่เกิดได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จนกระทั่งไม่มีความไม่รู้เลย ก็ไม่มีเหตุที่จะให้เกิด

    ผู้ฟัง หมายความว่า เริ่มต้นคือ ศึกษาให้ทราบก่อนว่า ที่เป็นอยู่ขณะนี้เพราะความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่รู้ก่อนแล้วมาศึกษา

    ผู้ฟัง และเมื่อรู้แล้วก็ยังไม่ทำให้ไม่เกิด ต้องรู้ถึงขั้นมีกำลังมากพอที่ดับ

    ท่านอาจารย์ จนกว่าหมดความไม่รู้เมื่อไร ก็ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นอีกเลย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น จึงมั่นคงในเรื่องฟัง รู้ว่าก่อนที่จะฟังธรรมตรงนี้ ก็ไม่รู้ มีชีวิตไปวันๆ ไม่รู้ว่า เกิดมาอย่างไร ไปจากไหน มาจากไหน และจะไปไหน แต่เมื่อเริ่มฟังจึงทราบว่า มีอวิชชา มีตัณหา มีอุปาทาน มีกรรม เป็นสาเหตุ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีเราจริงๆ ที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เราจริงๆ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีแต่ธรรม

    ผู้ฟัง มีแต่ธรรม แต่ว่า ธรรมนี้ คือ มีสาเหตุให้เกิดเพราะว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ จะเกิดลอยๆ ไม่มีปัจจัยเลยไม่ได้สักอย่าง

    ผู้ฟัง ซึ่งถ้าไม่ศึกษาจะไม่มีทางรู้เพราะว่า ไม่มีใครนอกจากพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้เช่นนี้

    ท่านอาจารย์ คิดเองได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้กำลังมีอวิชชา ที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะคิดเองได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ หรือแม้แต่ติดข้องพอใจแล้วในสิ่งที่ปรากฏ คิดเองได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อทราบเช่นนี้ คือ ตั้งต้นจากไม่รู้เลย คือ ฟังแล้วเริ่มรู้ แล้วค่อยสะสมความรู้ให้มี ถ้าไม่ใช้ศัพท์ คือ ความรู้ รู้อะไร รู้เข้าใจ เห็นถูกในความจริง จนมีกำลังมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาฟังธรรมแล้วเริ่มเข้าใจถูกจริงๆ ความเข้าใจถูกนั้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลง และสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมนั้นแม้ว่า จะกล่าวโดยนัยอื่น ซึ่งต่อไปก็จะมีการกล่าวว่า แม้อวิชชาก็เป็นมารดา และบิดาด้วย นี่คือ ความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งคิดเองก็ไม่ได้ใช่ไหม ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจตามลำดับ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาให้มั่นคงว่า ไม่เคยรู้มาเลยแล้วได้ฟังจึงรู้ และสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร อวิชชาจึงเป็นทั้งมารดา และบิดา เพราะเหตุว่า เราไม่ต้องคิดถึง บิดามารดาอย่างที่เราเคยคิด แต่คิดว่า เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิด ไม่ว่าจะโดยนัยประการใดๆ ทั้งสิ้นก็เป็นปัจจัย นั่นคือ ความหมายรวมว่า เป็นอะไรก็ได้ จะเรียกว่า บิดา จะเรียกว่า มารดา แต่หมายความว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิด

    ผู้ฟัง เมื่อมาศึกษาจึงรู้ว่า การสะสมความไม่รู้มีมากจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ก็รู้ตัวแล้วใช่ไหมว่า กว่าจะรู้จริงๆ ไม่ใช่ว่า จะรู้โดยความรวดเร็ว แต่เริ่มเข้าใจว่า อวิชชามหาศาลเปรียบเทียบไม่ได้เลย ทั้งจักรวาล ทั้งเขาสิเนรุ หรืออะไรก็ตาม และจะเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง และเห็นประโยชน์ จึงเป็นหนทางเดียวที่จะพ้นจากอวิชชา ใครไม่อยากพ้นหรือใครอยากพ้น แต่ธรรมเป็นความจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงการสะสมของแต่ละคนไม่ได้ แล้วแต่บุคคล

    เพราะฉะนั้น ปุถุชน คือ ผู้ที่ไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้ แต่ว่า ถ้าได้ฟังสิ่งที่ควรรู้ ก็จะมีความเข้าใจที่จะทำให้พ้นจากการเป็นผู้ที่หนาหรือหนักด้วยกิเลส แต่ละคนหนักแค่ไหนด้วยกิเลสไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น กิเลสเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ทุกวันนี้ก็ยังเปรียบเทียบไม่ได้กับทุกขณะที่เห็น ทุกขณะที่ได้ยินก็มีกิเลสเกิดสะสมมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงมีข้อความที่ว่า “หนักด้วยกิเลสเหมือนน้ำ”

    เพราะฉะนั้น เหมือนกับว่า ถ้าจะถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องด้วยการเอาน้ำออกไปจนเบา จึงสามารถที่จะถึงนิพพานได้ มีคำอุปมามากมายหลายอย่าง แล้วแต่ว่า ใครจะเข้าใจธรรมโดยอุปมาใด แต่อุปมาใดๆ ก็เพื่อให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงหรือยั่งยืนเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะมีปัจจัยทำให้เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็สืบต่อ ไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น เพียงฟังอย่างนี้แล้วเข้าใจ ก็จะเห็นอวิชชาว่ามากแค่ไหน เพราะว่า ไม่ได้รู้จริงๆ อย่างนั้นเลย จนกว่าจะเริ่มเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจ ไม่ใช่หวังชื่อต่างๆ สติสัมปชัญญะ โพธิปักขิยะ สติปัฎฐาน ฯลฯ ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ว่า ให้มีความรู้ถูกต้อง ให้มีความเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ตัวอย่างว่า ความไม่รู้นี้หนาแน่นมาก เพราะว่า ได้ฟังเทปเยอะตอนอยู่บ้าน และท่านอาจารย์ได้กล่าวมาตลอดว่า เป็นลักษณะสภาพธรรม แต่ลักษณะที่มีเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับทันที ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ ถ้าฟังเข้าใจ เห็นดับไหม

    ผู้ฟัง เห็นดับ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ กลับมาอีกสักอย่างหรือเปล่า หายไปไหน

    ผู้ฟัง ก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่เหลือเลย แล้วจะมีเราหรือจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร นี่คือความจริง นี่คือสัจจธรรม นี่คือปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น กว่าจะได้เข้าใจ ต้องอาศัยกาลเวลาที่ฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วก็เห็นประโยชน์ คนส่วนใหญ่ต้องการอย่างอื่น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข วันก่อนมีการถามเรื่อง ต้องการตำแหน่ง ใช่ไหม ยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ว่าจริงๆ แล้ว ได้แล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุข และความจริงติดข้องแล้วในสิ่งนั้น และไม่มีทางที่จะพ้นจากความติดข้องในสิ่งนั้นได้เลย ตราบใดที่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น หนักมาก เวลาที่โลภะเกิดความติดข้อง บอกว่า ละได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง ฐานะ ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ให้ละเสีย ละได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางที่จะละได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงกว้างๆ อย่างนั้น เพียงละความพอใจซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้น เดี๋ยวนั้น ละได้ไหมที่จะไม่ติดข้อง ทั้งๆ ที่สภาพความพอใจนั้นก็ดับแล้วก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะละความติดข้องได้เลย

    เพราะฉะนั้น จะเห็นว่า อกุศลทั้งหลายเมื่อมีกำลัง ปัญญาที่น้อยมากไม่สามารถที่จะดับหรือละอกุศลนั้นได้เลย ทุกคนรู้ดีใช่ไหม เวลาที่มีความพอใจอย่างมากในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ปัญญาที่สะสมมาที่จะรู้ว่า เป็นแต่เพียงธาตุหรือเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป และไม่กลับมาอีก ปัญญาขณะนั้นไม่สามารถที่จะละความติดข้องนั้นได้ นอกจากความเข้าใจขึ้นตามลำดับด้วย อย่าคิดจะละโลภะ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ว่า ประการแรกที่สุด คือ ละความไม่รู้ ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ถ้ายังไม่ได้ละไม่ต้องพูดถึงเลย จะไปทรมานตัว จะไปทำอะไรต่างๆ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

    เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ วิธีที่ทุกคนแสวงหา เช่น ถามว่า “แล้วจะทำอย่างไร” “แล้วจะปฏิบัติอย่างไร” สติสัมปชัญญะ ปัญญาถึงจะเกิด จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ คิดดู เห็นอะไรถูกต้องหรือเปล่าในขณะนั้น โลภะอยู่ไหน ไม่เห็นเลย ว่าพูดเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งกำลังไม่รู้ คิดดู กำลังไม่รู้ในขณะที่เห็น กำลังไม่รู้ในขณะที่แข็งปรากฏ กำลังไม่รู้ในขณะที่เสียงกำลังปรากฏแล้วก็ดับไป ถ้ายังคงเป็นความไม่รู้อยู่ อะไรจะละความติดข้องได้ แม้เพียงสิ่งที่เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานที่น่าพอใจต่างๆ ก็ไกลแล้วใช่ไหม เพราะว่า ปรากฏเป็นนิมิตแล้ว ไม่สามารถที่จะรู้ และเข้าใจในสภาพที่กำลังปรากฏจริงๆ

    เพราะฉะนั้น การที่ สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสภาพธรรมที่จะละกิเลสได้ ต้องเริ่มจากการที่ฟังเข้าใจ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจสำคัญที่สุด ไม่ต้องไปใช้คำว่า ปัญญาหรืออะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า ถ้าใช้คำว่า ปัญญา แต่ไม่รู้ว่าปัญญารู้อะไร ไม่รู้ว่าปัญญาเข้าใจอะไร ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง และสามารถจะรู้ได้ จากความไม่รู้ค่อยๆ รู้ขึ้นจากขั้นการฟัง จนกระทั่งเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม นี่คือ การเจริญขึ้นตามลำดับที่จะละอวิชชา และการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตนตามลำดับ มิฉะนั้นกิเลสใดๆ ก็ดับไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า การเริ่มต้นที่จะเจริญปัญญาที่จะให้ดับกิเลสได้ คือ ตั้งต้นที่ฟัง ให้เข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมขณะนี้ เห็นแล้วคิด ได้ยินแล้วคิด


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567