พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 747


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๗

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ มีปัญญาที่มั่นคงที่เห็นโทษว่า การติดข้องใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ นำมาซึ่งอะไร แต่ว่าถึงอย่างนั้น ก็ไม่พ้นจากการที่จะต้องมีการเห็นอีก ได้ยินอีก ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตาม นี่คือธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้เลยว่า ที่เกิดของสัตว์โลก ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีภพภูมิอื่น ตามควรแก่กรรมนั้นๆ ด้วย แต่ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หนทางที่จะดับความยินดี ติดข้อง ทุกอย่างเป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย สงบไหม สบายไหม ถึงได้ไหม แต่ต้องด้วยปัญญา ความเห็นถูก ตามลำดับ เพราะว่าต้องเป็นผู้ที่รู้สภาพธรรมที่สะสมมาตามความเป็นจริงแล้วรู้ว่าแม้ขณะนี้ กำลังเห็น ก็ยังไม่รู้เลยว่าติดข้อง ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะละได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่พึ่งจริงๆ ก็คือว่าความเข้าใจธรรม ตามความเป็นจริงโดยถูกต้อง จึงสามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา

    อ.กุลวิไล และอภิธรรมก็ไม่พ้นขณะนี้ จะเห็นได้ว่า แม้ท่านทรงแสดงถึงเรื่องภูมิ ที่หมายถึงระดับของจิตบ้าง หรือว่าที่เกิดของหมู่สัตว์บ้าง ก็ไม่พ้นชีวิตประจำวันนั่นเอง ท่านอาจารย์กล่าวถึง ติดข้องตลอดเวลา ด้วยความไม่รู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แม้ทางใจ ติดข้อง ถ้ายังเป็นไปกับรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ยังไม่พ้นกามาวจรภูมิ

    อ.อรรณพ เราก็สนทนากันในเรื่องของตน ซึ่งประโยชน์สำหรับผู้ศึกษาธรรม ก็คือความเข้าใจ ไม่เช่นนั้นเราก็จะสับสนกับคำ พอได้ยินคำว่า ตน ภาษาบาลีก็ อัตตา เราก็สับสน เพราะว่าบางนัย พระองค์ท่านก็ทรงแสดงว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน พอมาพบข้อความที่พระองค์ท่านทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจ โดยที่อาศัยสมมติของชาวโลก แล้วลึกลงไปถึงสภาพธรรม ก็มีข้อความว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ผู้ที่ไม่เข้าใจ และไม่มีความละเอียด ไม่มีศรัทธาที่จะศึกษาให้เข้าใจ ก็จะคิดว่าค้านกันว่า ต้องมีอัตตา แล้วไม่เช่นนั้น ใครจะเป็นที่พึ่ง หรือที่เราสนทนาใน "อัตตทีปสูตร" คือ ตนเป็นที่พึ่ง ก็ได้ความเข้าใจว่าตนคือ สภาพธรรม ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ต้องมีสภาพธรรม และถ้าไม่มีสภาพธรรม จะสมมติเรียกว่าเป็นตน เป็นคนโน้นคนนี้ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่ท่านพูดถึงว่าสภาพธรรมทั้งหลาย เป็นตน ซึ่งมีทั้งสภาพธรรมที่ยังเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วยโลกทั้ง ๓ โลก ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วสภาพธรรมที่พ้นจากโลก แต่เป็นสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น แม้สิ่งที่เป็นที่พึ่ง ก็จะต้องเป็นสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ตนก็มีหลายอย่าง หลายอย่างคือ มีทั้งตนที่อยู่ในระดับจิตที่เป็น กามวจรจิต กามาวจรภูมิ หรือระดับที่เป็น รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ ตามระดับของจิต ถ้าขณะที่อกุศลเกิด ขณะนั้นไม่ได้เป็นที่พึ่ง แต่ทำให้ เสียหายด้วยซ้ำไป ใช่หรือไม่ แต่ในขณะที่เป็นกุศล กุศลเป็นที่พึ่ง และกุศล ที่จะเป็นที่พึ่งจริงๆ คือ ปัญญา ซึ่งได้สนทนา พระสูตรสัปดาห์ก่อนว่า ปัญญาคือยอดของบทแห่งธรรม ในบรรดาสภาพธรรมที่เกิด และดับ ปัญญาเป็นเลิศกว่าบทแห่งธรรมทั้งหลายนั้น ตั้งแต่ปัญญาที่เป็นโลกียธรรม คือ ปัญญาที่ยังเกี่ยวเนื่องด้วยโลก ปัญญาที่เข้าใจธรรมขณะนี้ ก็เป็นโลกียธรรม ปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้แต่ละขณะ ก็เป็นโลกียธรรม แต่เป็นโลกียธรรมที่นำไปสู่การถึงที่พึ่ง เพราะว่า โลกียธรรมประการนี้คือปัญญา อบรมเจริญแล้ว มีกำลัง มีความชัดเจนขึ้น มีความสมบูรณ์ขึ้น จากตน คือปัญญาที่เป็น สัจจญาณ ก็เป็นตนคือปัญญาที่เป็น กิจจญาน แล้วก็เป็นตนคือปัญญาที่เป็น กตญาณแต่ละขั้น จนเป็นโลกุตรธรรม คือปัญญานั้นเป็น โลกุตตรปัญญา ก็จะถึงที่พึ่งจริงๆ ก็คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่พึ่งที่เป็น โลกุตตรธรรมที่ ไม่เกิด ไม่ดับเลย แม้ปัญญาจะเป็นสภาพธรรมที่เกิด และดับ แต่ถ้าถึงโลกุตตรปัญญา แม้เกิดดับ แต่ในขณะนั้น ปัญญาที่เกิดดับ แต่เป็นระดับโลกกุตตร ก็สามารถที่จะกระทำถึงที่พึ่ง คือพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่พึ่งจริงๆ ได้

    ผู้ฟัง ชาวโลกแน่นอนว่าทุกคนเต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์จากผิดหวัง ทุกข์ เกิด แก่เจ็บ ตาย ต่างๆ ทุกคนก็แสวงหาที่พึ่งทั้งนั้น ไม่ใช่เฉพาะชาวพุทธหรือใครๆ ก็ต้องแสวงหา บางทีแสวงหาจากป่าบ้าง ภูเขาบ้าง ศาสดาบ้าง หมอดูบ้าง ผู้มีอำนาจพิเศษบ้าง ล้วนแต่เป็นการแสวงหาที่พึ่ง ที่จะปลดทุกข์จากความทุกข์อันนั้น แต่ว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคได้อุบัติขึ้นแล้ว ตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงว่ามีที่พึ่งอย่างหนึ่ง ที่พึ่งที่แท้จริง ก็คือปัญญาที่รู้ความจริง รู้สภาพธรรม เมื่อเข้าใจความจริงแล้วก็จะดับซึ่ง ชาติ ชราต่างๆ ดับซึ่งความทุกข์ ร่ำไร ต่างๆ แม้แต่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงว่า ธรรมคือ ปัญญา เป็นที่พึ่งที่แท้จริง แล้วก็ดับทุกข์ได้จริง แต่ชาวโลกก็ไม่ได้ต้องการ

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์ต้องการไหม

    ผู้ฟัง ต้องการ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ต้องคิดถึงคนที่ไม่ต้องการ เพราะขณะที่คิด มีคนนั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเป็นแต่เพียงความคิดของคุณนิรันดร์

    ผู้ฟัง ไม่มีคนนั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ กำลังคิดเรื่องคน ชาวโลกใช่ไหม แต่จริงๆ ในขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ คือ คิด

    ผู้ฟัง ธรรมของพระพุทธเจ้าแม้จะเป็นที่พึ่ง และดับทุกข์ได้จริง แต่ก็ไม่เหมาะหรือว่าไม่สาธารณะกับชาวโลกที่มีความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง

    ท่านอาจารย์ แม้แต่คำว่า รัตนตรัย ถ้าไม่มีผู้เคารพกราบไหว้ สิ่งนั้นก็หาเป็นรัตนะไม่

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หมายถึงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พระรัตนตรัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ พวกเดียรถีย์ ความคิดอื่น ความเห็นอื่น กราบไหว้นมัสการ นับถือเป็นรัตนะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีบุคคลใดที่กราบไหว้เคารพนับถือ แม้สิ่งนั้นถึงเป็นพระรัตนตรัยจริงๆ ก็ไม่เป็นพระรัตนตรัยสำหรับคนที่ไม่รู้คุณค่า

    ผู้ฟัง เมื่อปัญญาที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดได้ง่าย และต้องอาศัยการฟัง ความเข้าใจ อาศัยเวลานานมาก จึงไม่เหมาะสำหรับคนทั่วไปที่ต้องการอะไรที่สามารถที่จะดับทุกข์ได้ เหมือนเวลาไม่สบาย เป็นไข้ไปหาหมอ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจว่าสามารถที่จะดับทุกข์ได้โดยเร็ว เป็นความเห็นที่ถูกต้องหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ปัญญา

    ผู้ฟัง ในระหว่างนั้นก็ต้องยอมรับว่า ตัวเองต้องเป็นทุกข์ไปอย่างนั้น และไม่มียาใดๆ ที่จะรักษา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ยอมรับอะไรเลยทั้งสิ้น สภาพธรรมเกิดแล้วต้องเป็นไป มีปฎิสนธิคือการเกิดแล้ว ที่จะไม่เป็นไป เป็นไปไม่ได้เลย เพราะแม้ขณะที่เกิด ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด เมื่อเกิดแล้วก็ยังมีปัจจัยต่อไปๆ ที่จะให้เป็นไปตามปัจจัยนั้นๆ ตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ ก็เป็นไปตามปัจจัยทั้งหมด แล้วก็ยังมีปัจจัยด้วย ที่จะต้องต่อไปอีก ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง เช่นนี้ผู้ที่มีความทุกข์ ต้องยอมรับว่า พระธรรมไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้ในทันที

    ท่านอาจารย์ คนที่ไม่มีความทุกข์แต่อยากจะรู้ความจริงมีไหม หรือต้องไปทุกข์ก่อน

    ผู้ฟัง ไม่เป็นทุกข์แต่อยากรู้ความจริงก็มี

    ท่านอาจารย์ เพราะสะสมมาที่เห็นประโยชน์ของการรู้ความจริง อยู่ในโลก มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จะมีประโยชน์อะไร นอกจากมีอกุศล คือความไม่รู้ และก็มีโลภะเกิดร่วมด้วย มีโทสะเกิดร่วมด้วย มีมานะเกิดร่วมด้วย มีสารพัดสิ่งที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วย แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วก็สิ่งที่เกิดแล้วไม่ได้หายไปเลย เกิดแล้วดับก็จริง แต่สะสมสืบต่ออยู่ในจิตขณะต่อๆ ไปทำให้แต่ละคน มีอุปนิสัยต่างๆ กัน ศึกษาธรรมเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นที่พึ่งหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เข้าใจกับไม่เข้าใจ อะไรเป็นที่พึ่ง

    ผู้ฟัง ความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อรู้ความจริง ซึ่งเป็นความเข้าใจของคุณนิรันดร์ ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่มีกับมี ต่างกันหรือเหมือนกัน

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เป็นที่พึ่งไหม

    ผู้ฟัง เพิ่งจะเริ่มรู้สึกว่า ธรรมเป็นที่พึ่งได้ที่แท้จริง ก็เมื่อระยะเร็วๆ นี้

    ท่านอาจารย์ เมื่อเริ่มเข้าใจจริงๆ เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง เพราะก่อนหน้านี้ก็มีทุกข์ ก็ต้องไปหาหมอโรคจิต แม้แต่ศึกษาธรรมแล้ว ฟังเรื่องของสติปัฎฐานแล้ว ก็ยังไม่พ้นที่จะมีความทุกข์ เพราะกิเลสครอบงำ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้พบที่พึ่งที่แท้จริงหรือยัง

    ผู้ฟัง คิดว่าตัดสินใจไม่ผิด เมื่อได้มาสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ เข้าใจว่าเป็นธรรมเป็นธรรม เริ่มรู้สึกว่าเป็นที่พึ่งที่แท้จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่พึ่งจากการสนทนาคืออะไร

    ผู้ฟัง ความเข้าใจ แม้แต่คนที่เริ่มฟังธรรมแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่า ปัญญา จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะเข้าใจเพียงนิดเดียว และเหตุที่จะให้ไม่เข้าใจมากมาย และเหตุที่จะให้เป็นทุกข์มากมาย แล้วก็จะเอาสิ่งที่เข้าใจนิดเดียวไปพึ่งอย่างไร

    ผู้ฟัง อย่างผู้ฟัง ทุกคนมีความโกรธ ความไม่พอใจ ความแค้นอยู่ในใจ ทุกคนแสวงหาทางที่จะดับความโกรธ เมื่อถามว่าจะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้โกรธได้ แต่อาจารย์ตอบว่าทำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็น อนาคามีบุคคล

    ผู้ฟัง นั่นก็แสดงให้เห็นว่า คำตอบคือ ธรรมไม่สามารถเป็นที่พึ่ง ที่จะให้พ้นทุกข์จากความโกรธได้

    ท่านอาจารย์ ปุถุชนจะไม่โกรธเป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ พระโสดาบันจะไม่โกรธเป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ พระสกทาคามีบุคคล จะไม่โกรธเป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ พระอนาคามิบุคคล ไม่โกรธได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ นี่ก็แสดงถึงความเข้าใจว่า เราเป็นใคร ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปคิดว่าจะไม่โกรธ ก็คิดที่จะเข้าใจธรรม ถูกต้องกว่าหรือเปล่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมกี่พรรษา

    ผู้ฟัง ๔๕ พรรษา

    ท่านอาจารย์ มากหรือน้อย

    ผู้ฟัง มาก

    ท่านอาจารย์ รู้นิดเดียว รู้ทั่วถึงธรรมที่ทรงแสดงหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ จะหมดทุกข์ทันทีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    อ.วิชัย การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะหรือที่พึ่ง ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ คือปัญญาของแต่ละท่านด้วย เช่นถ้าเป็นปุถุชน มีความเข้าใจเล็กน้อย ก็อาจจะไม่มั่นคงเหมือนอย่างพระอริยบุคคล

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมเลย ได้ยินคำว่าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระคุณหรือเปล่า หรือเพียงได้ยินชื่อ ถ้าไม่ศึกษาธรรมจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ จะรู้จักพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม

    อ.วิชัย ไม่สามารถจะรู้ได้เลย

    อ.อรรณพ คุณวิชัยเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ความเป็นที่พึ่ง ตามระดับปัญญา ถ้าเป็นปัญญาระดับที่เป็นโลกียะ คือขณะฟังธรรมขณะนี้ ฟังแล้วเข้าใจ ก็เป็นที่พึ่งได้ในระดับหนึ่ง ปัญญาที่ระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรม ก็เป็นที่พึ่งเพิ่มขึ้น ความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาในแต่ละขั้น ถ้ายังไม่ถึงขั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา ก็เป็นที่พึ่งได้ในระดับที่เป็นโลกิยปัญญา แต่ถ้าปัญญานั้นสมบูรณ์พร้อมถึงความเป็นโลกุตตรปัญญาเป็นครั้งแรกก็คือ โสตาปัตติมรรคเกิด ถึงความเป็นโลกุตตระ

    เพราะฉะนั้น พระโสดาบันท่านก็เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวแล้ว เพราะว่าถึงสรณะที่เป็นโลกุตตระ แต่ผู้ที่เป็นปุถุชน ถึงจะกราบไหว้พระรัตนตรัย ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ๔ อสงไขยแสนกัปป์ บำเพ็ญพระบารมีมา แล้วทรงแสดงพระธรรม เพราะมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรมได้ พระสาวกผู้ที่ฟังตามนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจแล้วก็แสดงธรรมได้ แม้จะเข้าใจอย่างนี้ แต่ไม่ได้เป็นสรณะที่เป็นโลกุตตระ แต่เป็นเพียงโลกียสรณะ เพราะระดับความเข้าใจ คือระดับปัญญา เป็นเพียงโลกียปัญญา ไม่ใช่โลกุตตรปัญญา จะกระทำสรณะนั้น พระไตรลักษณ์ให้เป็นโลกุตตรสรณะไม่ได้เพราะปัญญาไม่ได้เป็นถึงขั้นนั้น

    ผู้ฟัง กราบเรียนถาม ธรรมที่เป็นหนทาง หรือว่าเป็นมรรค ซึ่งเป็นธรรม ไม่ทราบว่าเป็นธรรมกี่ประเภทบ้าง เช่น กุศลจิตทั้งหมดเป็นทางไหม หรือว่าอกุศลเป็นทางด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ คงไม่ใช่ตอบคำเดียวใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ไม่มีความเห็นถูก มีทางที่จะไปไหนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ เพราะว่าความเห็นสำคัญ ความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ มีความเห็น ๒ อย่าง ความเห็นถูก กับ ความเห็นผิด ถึงอย่างไร แม้ไม่มีความเห็น หรือว่ามีความเห็นถูก หรือมีความเห็นผิด ไปไหนหรือเปล่า ทางคือทางไป เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้ว มีทางไปไหนหรือเปล่า หรือว่าเกิดมาไม่ได้ไปไหนเลย อยู่กับที่ตลอดเวลา ไม่ได้ไปไหนเลย แต่ความจริงไปทุกขณะ

    ผู้ฟัง ขณะที่เห็นหลังจากเห็น ก็เป็นธรรมที่เป็นหนทาง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจ ว่าส่วนหนึ่งของชีวิต ก็คือเกิดมาเป็นผลของกรรม แม้เห็น แม้ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ชีวิตทั้งวัน ทุกวันก็มีการเห็น การได้ยิน ก็เป็นผลของกรรม แต่ว่าอกุศล และกุศลที่สะสมมาอยู่ในจิตทุกขณะ แม้ในขณะปฏิสนธิ ยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิด ก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด เป็นขณะแรก กุศลจิตจะเกิดต่อ หรือ อกุศลจิตจะเกิดต่อทันทีไม่ได้ แต่ต้องถึงกาละ เมื่อมีการคิดนึก หรือว่ามีการเห็น เห็นแล้วที่จะไม่ให้กุศล และอกุศลที่สะสมมาในจิตเกิดไม่ได้เลย ถึงเวลาที่จะเกิด หลังจากที่เห็นแล้ว กุศลหรืออกุศลก็ต้องเกิด เพราะฉะนั้น ไปไหนหรือเปล่า ขณะที่เป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะเหตุว่า เมื่อวานนี้เราพูดถึงจิต แต่ละขณะ จิต ๑๐ คือ จิตเห็นที่เป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบาก ๒ จิตได้ยิน ๒ จิตได้กลิ่น ๒ จิตลิ้มรส ๒ จิตรู้เย็นหรือร้อนอ่อนหรือแข็ง ปรากฏที่กาย ๒ คือกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ห้าทางรวมเป็น ๑๐ เกิดขึ้นโดยมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ประเภท แป็นผลของกรรมจริงๆ ที่เกิดมาแล้วต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเห็นอย่างนี้ ต้องได้ยินอย่างนี้ แต่กุศล และอกุศลที่เกิดต่อจากนั้น ตามการสะสมว่า จะเป็นกุศลเป็น หรือ อกุศล ขณะนั้นไปแล้ว แต่ไปไหน เพราะว่าเป็นกุศลหรือ อกุศล ยังมีเหตุที่จะต้องไปไหม ตราบใดที่ยังเป็นกุศล และอกุศล ก็เป็นเหตุ เป็นทางที่จะนำไปสู่ การเกิด

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม อย่าคิดเอง คิดเองผิด คิดเกินจากที่ฟังที่เข้าใจ ขณะนั้นใครคิดเกิน มาจากไหนความคิดเกินนั้น มาจากความเข้าใจ ความละเอียด หรือว่า อย่างไร นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเป็นความเข้าใจที่ละเอียด ละเอียดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ไม่ใช่ไปเพิ่มเติม เป็นความละเอียดจากการคิดเอง ถ้าจากการคิดเอง จะคิดให้ละเอียดสักเท่าไหร่อย่างไรก็ไม่ถูก เพราะว่าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำที่ได้ฟังเป็นคำที่เป็น วจีสัจจะ ที่ทรงแสดงอนุเคราะห์

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำถ้าจะคิดได้ตรองให้ละเอียดก็คือในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ใช่ได้ฟังแค่นี้แล้วก็ไปคิดถึงเรื่องอื่น ต่อไปอีก ซึ่งไม่มีทางที่จะทำให้ เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแล้วละเอียดขึ้น ด้วยเหตุนี้แม้แต่ว่าขณะเกิด เป็นผลของกรรม ขณะนั้นหลังจากที่จิตนี้ดับไปแล้ว กุศล และกุศลก็ยังเกิดไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิด ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงวาระของการที่จิตจะเกิดขึ้น เห็นบ้าง ได้ยินบ้างว่า เมื่อมีสิ่งต่างๆ ปรากฏ กุศล และอกุศลที่สะสมมาก็ถึงเวลา ที่จะเกิดขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น ขณะที่นอนหลับสนิท ไม่มีทางที่กุศลจิต และอกุศลจิตจะเกิด ถ้าถามถึงทางไป ตราบใดที่ยังมีกิเลส ต้องมีกรรม เมื่อมีกรรมก็แล้วแต่ว่าจะพาไปทางไหน กุศลกรรมก็ไปทางหนึ่ง อกุศลกรรมก็ไปทางหนึ่ง

    อ.กุลวิไล อาจารย์อรรณพ ช่วยให้ความเข้าใจ กับท่านที่มาใหม่ด้วยว่า เจ้ากรรมนายเวรนั่นคืออะไร

    อ.อรรณพ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม เราก็มีความคิด แบบรื่องราวไป ด้วยความติดข้องบ้าง ด้วยความกลัวบ้าง เราก็คิดว่าต้องมีเจ้ากรรมนายเวรมา คอยติดตาม เรียกว่าตามรบกวน หรือว่าตามมาให้ใช้กรรม ก็คิดไปอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วธรรมต้องเป็นธรรม ถ้าเราคิดว่าถ้ามีเจ้ากรรมนายเวร ตอนนี้เราเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร วันๆ หนึ่งไม่ต้องทำงาน จะต้องไปหนี หรือจะไปแก้กับเจ้ากรรมนายเวรคนโน้นคนนี้ หรือคนที่เราเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร ก็คงยุ่งไปหมด ว่าใครเป็นเจ้ากรรม ใครเป็นนายเวรของใคร ถ้าคิดอย่างนั้นก็คงไม่มีการดำเนินชีวิตไป แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเข้าใจธรรมที่เป็นสภาพธรรมก็จะหมดปัญหา เพราะว่ากรรมคืออะไรก่อน เวรคืออะไรก่อน กรรม และเวร ติดปากคนไทยแต่ไม่เข้าใจ กรรมเป็นธรรม เป็นสภาพความจงใจ คือเจตนา เป็นสภาพที่เกิดกับจิต เป็นเจตนาเจตสิก ถ้าพูดถึงกรรมโดยความหมายที่หมายถึง กรรมที่จะให้ผลได้ต่อไป ก็คือกุศลเจตนา เป็นกุศลกรรม อกุศลเจตนาเป็นอกุศลกรรม แล้วเป็นทาง อกุศลกรรมก็เป็นทาง เพราะพาไปในทางไม่ดี กุศลกรรมก็เป็นทาง ที่จะทำให้ไปในทางที่สะดวกสบาย

    เพราะฉะนั้น กรรมคือเจตนา ถ้ามีอกุศลเจตนาที่เบียดเบียผู้อื่น ทำไปแล้วสำเร็จล่วงไปแล้ว กรรมที่เป็น อกุศลเจตนานั้น เกิดแล้วดับแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นนามธรรม ก็สะสมไว้ในจิต เมื่อมีโอกาส มีเหตุปัจจัย กรรมที่สะสมไว้ในจิตนั้นก็ให้ผล โดยมิต้องมีใครมาทำเลยก็ได้ อกุศลเจตนาที่เคยทำไว้ตั้งแต่ชาติก่อนหรือว่าเมื่อวันก่อน เดือนก่อนที่สะสมไว้ เมื่อได้เหตุปัจจัย ทำให้ติดลิฟท์ได้ไหม

    เพราะฉะนั้น กรรมที่สำเร็จแล้วสะสมไว้ในจิต เมื่อมีโอกาส มีเหตุปัจจัย กรรมนั้นก็ให้ผลตามสมควร เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีเจ้ากรรม นายเวร เจ้ากรรมไม่มีแล้ว เพราะกรรมคือสภาพธรรม เวร ก็คือ การล่วงทุจริตกรรมต่างๆ ในทางอกุศลกรรม เป็นการก่อเวร ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ หักประโยชน์ผู้อื่น คืออกุศลกรรม เป็นเวร แต่กรรมกว้าง เพราะว่าเป็นกุศลกรรมก็ได้ อกุศลกรรมก็ใด้ กรรมก็มีความหมายที่กว้างอีกหลายนัย พูดถึงกรรมที่จะให้ผลเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ส่วนเวร คือ อกุศลกรรมทั้งหลาย

    เพราะฉะนั้น ทำแล้ว สำเร็จแล้ว ก็สะสมไว้ เพราะฉะนั้นไม่มีสัตว์ บุคคลที่จะมาติดตาม จริงอยู่การจองเวรอาจมี ที่เราว่าจองเวร จองอะไรกัน เป็นการสะสมของจิตที่เคยไม่ชอบคนนี้ แล้วก็ไม่ชอบนี้ แล้วก็คิดที่จะมาทำอันตรายกับคนนั้น ก็เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไป อย่างผูกเวรกัน คือมีความคิดประทุษร้าย ที่จะทำให้เกิดเวรภัย อาจมีได้ในบางกรณี ที่มีความผูกพันกันในทางที่เป็นโทสะ แต่ทั้งหมดก็เป็นธรรม เกิดแล้วดับ ถ้าไม่มีบาปอกุศลกรรมแล้ว ไม่มีอกุศลกรรมที่ทำไว้ในอดีต ใครจะทำร้ายอย่างไรก็ทำไม่ได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567